Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 392
“แค่ก! แค่ก!”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถอธิบายได้ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ
ตำแหน่งที่ขึ้นต้นด้วยนายพลของเขา วิวัฒนาการระยะ 3 ถูกเขวี้ยงทิ้งโดยเด็กหนุ่มที่ไม่มียศตำแหน่งอะไรเลย!
อึก!
เสียงกลืนน้ำลายอึกดังไล่จากคนแล้วคนเล่าดังไล่ต่อๆกันมา ทั้งคนธรรมดาและวิวัฒนาการที่มาลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกองทัพต่างเดินถอยหนีกันไปคนละก้าวทันที ทุกคนกลัวจนตัวหด กลัวผลกระทบที่จะได้รับเมื่อความโกรธของพลตรีสิงโตดูท่าจะระเบิดออกมาร่อมร่อ
หลินเทียนซีและจูเล่อเลอเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ขาของพวกเขาสั่นเทิ้ม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวและเริ่มเหนือการควบคุม ในตอนนี้ถ้าพวกเขาไม่ยืนอยู่ที่เดิมเฉยๆก็ต้องรีบเข้าไปดึงชูฮันไว้ให้หยุด!
แต่…
ใครจะกล้า?
ไอ้หนุ่มที่สามารถปราบพลตรีสิงโตที่เป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 3 ได้ภายในพริบตาเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีทางเผชิญหน้ากับไอ้หนุ่มนี้ได้แน่นอน ไม่จำเป็นต้องรอการยืนยันอะไรทั้งนั้น!
ณ ตอนนี้ความกลัวและวิตกได้ก่อตัวขึ้นทั้งถนน ทุกคนไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไรออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ทุกคนได้แต่มองมาที่ชูฮันและพลตรีสิงโตตรงกลางถนนอย่างเดียว
ทันทีที่พลตรีสิงโตยืนขึ้น เลือดที่คั่งอยู่ในปากก็ไหลทะลักออกมาทันที
“มึง!” สายตาของพลตรีสิงโตเต็มไปด้วยความโกรธอัดแน่น พร้อมกับแหกปากร้องใส่ชูฮัน “ไอ้สั*! มึงต้องโดนโทษตาย—–“
“ปัง!”
ทันใดนั้นเท้าของชูฮันข้างหนึ่งก็ฟาดเข้าที่หน้าของพลตรีสิงโตทันที ท่าทางของชูฮันดูนิ่งและธรรมดามาก ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำนอกจากเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็มองไปที่ทหารหญิงคนสวยที่ยืนถือวิทยุสื่อสารไว้ในมือ
ทหารหญิงกลัวมาก ขณะที่มันมีเสียงดังของคลื่นวิทยุดังออกมาจากวิทยุสื่อสารในมือของเธอท่ามบรรยากาศที่เงียบสงบ
“สวัสดี? ได้ยินมั้ย? ตอบด้วย! ตอบด้วย!” มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังลอดวิทยุสื่อสารออกมา ซึ่งน้ำเสียงที่พูดนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและความกังวล
พลตรีสิงโตใช้พละกำลังที่เหลือแหกปากให้เสียงเข้าไปหาวิทยุสื่อสาร “อ๊ากกก!! มัน @#$*&#%ฉัน– ฉัน—ฉันคือพลตรีสิงโต! มาที่นี่! มานี่! มาที่สำนักงานลงทะเบียนของกองทัพ! มีข้าศึกโจมตี—–“
ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสนิท เสียงของพลตรีสิงโตนั้นดังก้องและชัดเจนไปทั่วและผ่านทะลุเข้าไปในวิทยุสื่อสาร และชูฮันก็ไม่ได้คิดจะห้ามการกระทำของพลตรีสิงโตเลยสักนิด ยิ่งเฉพาะคำว่า ข้าศึกโจมตี ยิ่งทำให้ชูฮันพอใจ”
ชูฮันเคยเจอกับคนซื่อบื้อและใช้แต่กำลังอย่างสิ้นเปลืองเปล่าๆมามาก แต่เขาไม่เคยเจอคนที่โง่เง่าและทำให้ตัวเองเดือดร้อนอย่างโง่ๆแบบนี้มาก่อน
พลตรีสิงโตรู้แล้วว่าวันนี้เขาน่าจะเจอกับคนมีฝีมือเข้าจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลย แรงกดดันมหาศาลที่ไหลออกมาจากคนตรงหน้าทำให้พลตรีสิงโตรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
แต่มันไม่สำคัญ ถึงแม้ไอ้นี่มันจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่เขาจะขยี้มันให้จมดิน เขาจะให้ทหารทั้งหน่วยจัดการกับมันทันที ต่อให้มันจะแข็งแกร่งมาจากหรือต่อให้จะเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 4 มันก็จบเห่แล้ว กองทัพไม่มีทางยอมให้คนแบบนี้มีอำนาจแน่นอน
แถมเขาได้ดำเนินแผนการไปแล้ว การพูดว่ามีข้าศึกโจมตีจะดึงดูดทหารมาได้เป็นจำนวนมาก แถมสภาพที่น่าสงสารของเขาในตอนนี้ก็แน่นอนว่าจะทำให้ทุกคนเชื่อได้อย่างแน่นอนว่าไอ้เวรนี้จงใจทำร้ายเขา แล้วผลที่ตามมาก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง
พลตรีสิงโตพยายามกดความขุ่นเคืองที่มีในอกไว้ และสาบานว่าเมื่อเวลาของเขามาถึงเขาจะจัดการกับไอ้เวรตรงหน้าเขานี่ด้วยตัวเอง มันกล้าจะเหยียบหน้าเขา เขาจะเอาชีวิตมัน!
“ศัตรู?” มันมีความตื่นตระหนกและวุ่นวายอยู่ในน้ำเสียงของคนที่ติดต่อผ่านวิทยุสื่อสาร ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่วิ่งกรูกันกึกก้อง คนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี้แล้ว
ฟึบ! ฟับ! ฟึบ! ฟับ!—-
ไม่นานกลุ่มทหารที่แต่งกายเต็มยศก็วิ่งหรูกันมาจากทางหัวมุม
“ศัตรู! ศัตรู!”
“สถานที่คือสำนักงานลงทะเบียน! ด้านหน้า!”
“ระวังภัยๆ! ศัตรู!”
ทั่วทั้งเมืองกลายเป็นตื่นตระหนก แม้แต่ระดับนายพลต่างก็ตื่นตัวกันหมดกับสัญญาณเตือนภัย
“ลูกผสมเหรอ? มันหน้าตายังไง? มีใครเห็นบ้าง?” ร้อยโทคนหนึ่งชักดาบขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยปากถามลูกน้องของตัวเองอย่างพร้อมจะออกรบ
ลูกน้องของร้อยโทได้แต่ตอบ “ผมไม่รู้ครับ”
“ข้าศึกเหรอ?” ผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงที่อยู่ในศูนย์บัญชาการผุดลุกขึ้นและเอ่ยถามเจิ้งท่าวที่เป็นคนเข้ามารายงานสถานการณ์
“ครับท่าน! พลตรีสิงโตเป็นคนรายงานเข้ามาครับ!” เจิ้งท่าวตอบกลับไปอย่างกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงถูกข้าศึกโจมตี แถมยังเกิดขึ้นตรงเมืองชั้นในอีก จึงยิ่งทำให้เจิ้งท่าววิตกกังวลและกระวนกระวายเข้าไปอีก
“เหอเฟิง! ไปดูสถานการณ์สิ!” ผู้บัญชาการมู๋ออกคำสั่งทันที “เลาหมิง เรียกประชุมฉุกเฉิน!”
“ครับ!”
ในตอนนั้นเอง ตรงด้านนอกของทางเข้าของสำนักงานลงทะเบียน กลุ่มคนที่มาลงทะเบียนต่างยืนเงียบนิ่งอย่างตะลึงมาเป็นเวลาพักใหญ่พอสมควร ทุกคนต่างจับจ้องสายตาไปที่ชูฮันกันหมดด้วยความอึ้ง
ทหารหญิงคนสวยที่ถือวิทยุสื่อสารไว้แทบจะเป็นลม เธอแทบจะอดไม่ไหวจนอยากจะตบพลตรีสิงโตให้ตาย เขาตะโกนออกไปแบบนั้นได้ยังไง ถึงแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะทำผิดจริงๆและทำกับพลตรีอย่างอวดดี แต่เขามีแค่ตัวคนเดียว ตรงไหนคือคำว่าข้าศึก?
ไหนคือความสง่างามของการเป็นทหาร?!
หลินเทียนซีและจูเล่อเลอเองก็ตะลึงเช่นกัน พวกเขาตัดสินใจที่จะยืนนิ่งอยู่ด้านข้างแทน ในเมื่อทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าแล้วว่าใครผิดใครถูก
และในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับสถานการณ์อยู่ เท้าของชูฮันที่เหยียบอยู่ที่หน้าของพลตรีสิงโตก็ยังไม่ขยับไปไหนเลย มันมีเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากระยะไกลและกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงโห่ร้องที่ดังก้อง—
“ไหนข้าศึก? กูจะจัดการมันเอง!” พลตรีนายหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามา ชื่อของเขาคือ หลิวยู่ติง ในมือมีแท่งเหล็กขนาดใหญ่แต่เขายังดูหนุ่มมาก ปีนี้หลิวยู่ติงมีอายุ 22 ปี ใบหน้าเหี้ยมโหดพร้อมฆ่าฟัน ด้านหลังตามมาด้วยหน่วยเจ้าหน้าที่ทหาร ในมือของทุกคนมีอาวุธพร้อมรบ
เพียงแค่วิ่งดาหน้าเข้ามาได้ครึ่งทาง กลุ่มทหารก็หยุดชะงักทันทีและมองไปที่สถานการณ์ด้านหน้าอย่างตะลึง พลตรีสิงโตที่ถูกเหยียบคาไว้ที่พื้น ผิวหนังบวมช้ำและมีเลือดไหล เท้าที่เหยียบคาไว้ที่หน้าของพลตรีทั้งใหญ่และเย่อหยิ่งแถมยังเป็นรองเท้าบู้ทคุณภาพดีเยี่ยมอีก
สีหน้าของพลตรีหลิวยู่ติงดูกลายเป็นโง่เง่าทันท แท่งเหล็กในมือร่วงหล่นลงพื้น มือหนึ่งสั่นเทาขณะชี้ไปที่ชูฮันอย่างตกใจ