Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 398
บริเวณที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่จะเป็นพื้นที่แยกออกมา เมืองชั้นในของค่ายหรูหราจนเหล่าผู้รอดชีวิตไม่สามารถจินตนาการถึง มันเป็นอำนาจของตัวค่าย
ในขณะนี้ ชูฮันก็อยู่ในสถานที่หรูหราที่กล่าวถึง เขาอยู่ในบ้านหลังหนึ่งพลางเดินดูของตกแต่งในบ้านมากมายพร้อมกับคำนวณมูลค่าของมันไปด้วยในหัว ทำให้หวังไคได้แต่กรอกตาใส่กับความโลภของชูฮัน
มันมีอาหารอยู่ทุกจุดในบริเวณบ้าน แถมส่วนใหญ่ก็เป็นเนื้อสัตว์ มันคือบ้านพักของเฉินช่าวเย่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เฉินช่าวเย่ไม่ได้อยู่ที่นี้ มีเพียงแค่ทหารหญิงคนสวยยืนอยู่ขอบข้างสนามเนื้อตัวสั่นเทา เธอคือผู้ช่วยส่วนตัวของเฉินช่าวเย่ เธอเป็นสาวสวยและมีตำแหน่งร้อยโท
“หัวหน้า——“
ทันใดนั้น ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก มีชายร่างกลมอ้วนพุ่งเข้ามากอดขาของชูฮันและแหกปากร้อง “หัวหน้า ในที่สุดหัวหน้าก็มาที่นี้!”
หลิวยู่ติงที่ยืนอยู่ข้างชูฮันถึงกับยืนอึ้งค้างไปพักหนึ่ง มือของเขาถูกยกค้างอยู่กลางอากาศ เขาควรจะวันทยาหัตถ์เพื่อแสดงความเคารพต่อเฉินช่าวเย่แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม
ชูฮันหรี่ตาจากนั้นก็ยกเท้าขึ้น——-
“ปัง!”
เพียงเท้าเดียวของชูฮันส่งผลให้เฉินช่าวเย่พรสวรรค์ระยะ 3 ที่เป็นอันดับสูงสุดที่มีในจีนและมีน้ำหนักถึง 200 ปอนด์กลิ้งหลุนๆไปกับพื้นเหมือนกับลูกชิ้น จากนั้นก็กระแทกเข้ากับโซฟา
“เห็นมั้ยว่ามันอ้วน” ชูฮันยิ้มมุมปาก
“เฮ้เฮ้ โอ้ย!” เฉินช่าวเย่ไม่มีท่าทางโกรธหรือโมโหเลยสักนิด กลับกันเขาลุกขึ้นยืนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ทหารหญิงคนสวยที่ไม่กล้าปริปากพูดอะไรเลยมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงประหลาดใจอย่างมากกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า จากนั้นเธอรีบทำท่าวันทยาหัตถ์ตามระเบียบทหารอย่างไว “ท่านพลโท ท่านกลับมาแล้ว”
เฉินช่าวเย่มองหน้าทหารสาว “เซียเหว่ย ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี้อีก? ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเหรอไงว่าฉันไม่ต้องการผู้ช่วยส่วนตัว?”
ทหารหญิงคนสวยมีชื่อว่า เซียเหว่ย มีสีหน้าย่ำแย่ขณะพูดตอบ “หน้าที่ของดิฉันคือการดูแลชีวิตของท่านพลโทค่ะ”
“อืม” เฉินช่าวเย่พยักหน้า จากนั้นก็ออกคำสั่งตามใจตัวเอง “พาฉันไปหาหัวหน้าและนวดขาฉันด้วย”
“หึ!” ชูฮันยิ้มและมองไปที่แววตาที่ไม่มีวี่แววเอียงอายของเซียเหว่ย
โหนกแก้มของเซียเหว่ยขึ้นสี และจู่ๆเธอก็โค้งศีรษะคำนับและไม่กล้าสบตากับชูฮัน
หลิวยู่ติงที่นั่งอยู่ถัดไปคร่ำครวญอยู่ในอก…เขาไม่รู้ว่าเขาควรอยู่ตรงนี้ต่อไปหรือเปล่า
เฉินช่าวเย่พึ่งจะสังเกตเห็นหลิวยู่ติงที่อยู่ถัดไป จึงหันไปถามชูฮันทันที “หัวหน้า คนนี้เป็นลูกน้องคนใหม่ของหัวหน้าเหรอ?”
หลิวยู่ติงรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปรี๊ดไล่จากเท้าขึ้นมา ช่วยอธิบายคำว่า ‘ลูกน้อง’ ที? แต่เขาไม่อาจปฏิเสธคำพูดของพลโทเฉินช่าวเย่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มันก็เป็นเขาเองที่บอกว่าต้องการติดตามชูฮัน
ชูฮันตอบกลับไปอย่างสบายๆ ซึ่งคำพูดของชูฮันส่งผลให้หลิวยู่ติงตะลึง “เพื่อนในวัยเด็กฉันเคยอ้วนกว่าแกอีก”
เฉินช่าวเย่รีบมองไปที่หลิวยู่ติงทันที ร่างกายของหลิวยู่ติงตอนนี้เป็นร่างกายมาตราฐานสมส่วนตามคนทั่วไป “พี่ชาย พี่คงทำงานหนักมาก!”
หลิวยู่ติงสูดปากและปล่อยเสียงคำรามที่กลั้นไว้ออกมา “ชูฮันแค่ล้อเล่นนะ”
“เฮ้ย เฮ้ย!” เฉินช่าวเย่ยังคงยิ้มต่อ จากนั้นก็เงยหน้าพูดกับเซียเหว่ย “อย่าโง่สิ! ฉันจะกินมื้อเย็นอย่างน้อย 20 จาน ฉันต้องการกินมื้อเย็นดีๆกับหัวหน้า!”
“ค่ะ” เซียเหว่ยเชื่อฟังและเดินเข้าไปในครัว
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังอันน่าเย้ายวนใจของเซียเหว่ยที่กำลังเดินออกจากห้องโถงไปที่ห้องครัว ชูฮันก็หมุนตัวกลับไปหาเฉินช่าวเย่ สายตาของชูฮันดูเคร่งขรึมและน่ากลัว น้ำเสียงก็กดต่ำ “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีคนคอยสอดแนมอยู่รอบตัวแบบนี้?”
ร่างของหลิวยู่ติงแข็งค้างด้วยความตกใจพร้อมกับสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อมองไปที่เซียเหว่ยที่อยู่ในห้องครัว เซียเหว่ยเองก็มองมาที่ชูฮันและเฉินช่าวเย่ด้วยความช็อค แผ่นหลังของหลิวยู่ติงเปียกโชคไปด้วยเหงื่อ เซียเหว่ยเป็นสายลับงั้นเหรอ?
ชูฮันมองออกได้ยังไง?
หลิวยู่ติงในตอนนี้ไม่มีข้อกังขาในการตัดสินใจของชูฮันเลย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมั่นใจว่าสิ่งที่ชูฮันพูดจะถูกต้องก็ตาม
เฉินช่าวเย่แสยะยิ้มออกมาพร้อมพูดด้วยเสียงกระซิบ “ตั้งแต่แรกแล้ว ทางค่ายไม่เคยปล่อยให้ฉันได้อยู่คนเดียว จะมีผู้ช่วยถูกส่งตัวมาผลัดเปลี่ยนเสมอและทุกคนจะเป็นสาวสวย เอาล่ะ ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว!”
ชูฮันตบหัวเฉินช่าวเย่ “ฝีมือใคร?”
เฉินช่าวเย่กระพริบตา “นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ผมไม่รู้”
ชูฮันขมวดคิ้ว “เมื่อถึงเวลาที่นายจะไปกับฉัน ผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ตามไปด้วย”
“ถึงเราจะไม่พาผู้หญิงคนนี้ไป แต่ยังไงมันก็จะมีคนอื่นมาอยู่ดีด้วยเหตุผลหลายประการและ—-” ทันใดนั้นเฉินช่าวเย่ก็รีบพูดขึ้นมา น้ำเสียงดังขึ้นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “หัวหน้า ในที่สุดหัวหน้าก็จะพาผมไป ไปกัน!”
ชูฮันขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องปัญหานี้ต่อกับไอ้อ้วนโง่เง่า ชูฮันเปลี่ยนหัวข้อ “แล้วเหอเพ่ยหยวนและเฉินเสี้ยนกาวล่ะ?”
“โอ้ พวกเขาพักอยู่ในพื้นที่ของพลเรือน” เฉินช่าวเย่เปิดถุงที่ใส่ขาไก่ไว้พลางตอบคำถามชูฮันต่อ “ตอนกลางคืนเราจะไปบ้านของเฉินเสี้ยนกาว ตามแผนการที่หัวหน้าวางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับกองทัพ”
หลิวยู่ติงที่อยู่ด้านข้างตามบทสนทนาของทั้งคู่ไม่ทัน แถมทั้งคู่ยังเปลี่ยนหัวข้อเร็วมาก
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป—–
ชูฮัน เฉินช่าวเย่ และหลิวยู่ติงเดินอยู่บนถนนในค่ายซางจิงผ่านพื้นที่ของพลเรือน ทั้งสามคนได้เดินออกมาจากตัวเมืองชั้นใน
เมื่อมองไปที่ภาพข้างหน้าที่แตกต่างไปจากเมืองชั้นในอย่างสิ้นเชิง ชูฮันก็นิ่วหน้า “มันมีความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่พลเรือนของค่ายซางจิงกับเมืองชั้นในมั้ย?”
“ใช่” เฉินช่าวเย่ตอบ “ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีสถานที่สำหรับพักอาศัย แต่มันมีจำนวนของคนระดับสูงอยู่ไม่มากที่อาศัยอยู่ที่นี้ โอ๊ะใช่ คน 10 อันดับแรกในรายชื่อการประเมิณผลที่ไม่ใช่ทหารก็สามารถสมัครเข้ามาอยู่ในเมืองชั้นในได้ เพราะถึงอย่างไรแล้วเมืองชั้นในนั้นมีสภาพแวดล้อมที่ได้รับการฟื้นฟูจนแทบจะเหมือนในยุคศิวิไลซ์ ใครๆก็อยากจะอาศัยอยู่ในนั้นกันทั้งนั้น ทหารของกองทัพส่วนใหญ่ก็อยู่ในเมืองชั้นในเหมือนกัน ส่วนพลเรือนก็อยู่เมืองชั้นนอก”
“การแบ่งระดับชัดเจนมาก” ชูฮันกระพริบตา ไม่มีใครรู้ว่าชูฮันคิดอะไรอยู่
“มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก” หลิวยู่ติงเองก็อธิบาย “คนที่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในได้ถ้าไม่ใช่มีตำแหน่งทางทหารที่สูงก็ต้องมีพลังในการต่อสู้ที่สูง ความจริงก็คือพื้นที่ของพลเรือนมีจำนวนผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุด ส่วนวิวัฒนาการที่ทรงพลังและสมาชิกของครอบครัวทหารหลายคนก็อาศัยอยู่ที่อื่น ที่สำหรับคนรวยอยู่กัน”
“แล้วพื้นที่สำหรับผู้ลี้ภัยล่ะ?” ชูฮันถามต่อ
เมืองชั้นใน พื้นที่สำหรับคนรวย พื้นที่สำหรับพลเรือน และพื้นที่สำหรับผู้ลี้ภัย ทั้งหมดคือ 4 พื้นที่หลักของค่ายซางจิง
“พื้นที่ผู้ลี้ภัยไม่มีการปกครอง” เสียงของหลิวยู่ติงเหมือนจะแฝงไปด้วยความรังเกียจ “มีคนที่ต้องการจะจัดการจุดนั้นแต่มันมีปัญหามากเกินไป มันมีแต่คนเกี
ยจคร้านและคัดค้านที่จะร่วมมือในการสร้างสถาปัตยกรรมของค่ายหรืองานอื่นๆ แต่เมื่อพอถึงเวลาแจกอาหารฟรีพวกมันจะกระตือรือร้นมาก กองทัพจะทำอะไรได้ เราฆ่าคนพวกนั้นไม่ได้ เวลาผ่านไปเรื่อยๆพื้นที่ของผู้ลี้ภัยก็ก่อตั้งขึ้นมาเอง พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนพวกนั้นมีชีวิตรอดกันมาตลอดได้อย่างไร”
“อีกอย่าง” ทันใดนั้นชูฮันก็หยุดชะงักชั่วคราว น้ำเสียงของเขาดูสง่างาม “ช่วยฉันตามหาคนคนหนึ่งที เมื่อตอนยุคศิวิไลซ์เขาเหมือนจะเป็นร้อยโท ชื่อว่าฟางเฉิง”