Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 469
หนึ่งเดือนต่อมา ณ หมู่บ้านที่พังทลายจากฝีมือของฝูงซอมบี้และได้กลุ่มของชูฮันเข้ามาช่วยเหลือทันเวลา ตอนนี้ชูฮันกำลังนั่งอยู่บนหลังคาของห้องห้องหนึ่งเพื่อจัดเตรียมตารางการฝึกซ้อม เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนกำลังคนของทีมฝึกไปตามแต่ละเดือน หลิวยู่ติงกำลังจัดระเบียบข้อมูลของคนทั้งหนึ่งร้อยคนในทีมอยู่
ภายในเวลาหนึ่งเดือน การเดินทางทั้งหมดถูกควบคุมโดยชูฮัน พวกเขาเดินเส้นทางสำเร็จไปแล้วหนึ่งในสามที่วางแผนไว้ อีกทั้งระยะห่างระหว่างถนนแต่ละเส้นนั้นก็ไม่ได้แย่มาก แค่นี้หลิวยู่ติงก็ตกใจมากแล้วที่ทุกอย่างสำเร็จไปภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หลิวยู่ติงเองก็ออกตัวไว้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่พอหนึ่งเดือนต่อมาเขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะกลายมาเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างที่ชูฮันคาดการณ์ไว้ดำเนินไปอย่างแม่นยำและพัฒนาไปอย่างสมบูรณ์ตามที่ชูฮันคาดการณ์ไว้ทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย
และเมื่อสองวันก่อน ชูฮันได้เรียกทุคนมารวมตัวและเปิดโปรแกรมฝึกอบรมเสมือนจริงขึ้นเป็นครั้งแรก โปรแกรมฝึกนี้ทำให้หลิวยู่ติงรู้สึกกลัวที่จะดำเนินการตาม เขากลัวว่ามันจะมีอุบัติเหตุร้ายๆเกิดขึ้น อย่างไม่คาดคิดทีมทหารของชูฮันหนึ่งร้อยคนต่างเดินทางตามมาถึงที่หมู่บ้านนี้ตามตารางเวลาอย่างแม่นยำ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ทุกคนมาถึงกันหมดอย่างพร้อมเพรียง!
ชูฮันเพียงแค่ยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกๆ โดยปกติแล้วนิสัยความเคยชินของมนุษย์จะคงค้างอยู่ที่สิบห้าวัน ดังนั้นเวลาหนึ่งเดือนนั้นมากพอแล้วที่จะสร้างความคุ้นชินกับจิตใต้สำนึกและทำให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ในการต่อสู้จริง ชูฮันได้ฉีดอัดข้อมูลมากมายเข้าไปในหัวของทุกคนตั้งแต่เดือนที่แล้วมาเรื่อยๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ในเวลานี้การปล่อยโปรแกรมฝึกออกไปอย่างกระทันหันไม่เพียงแต่เพื่อต้องการฝึกฝนทหารทุกคนแต่ยังเพื่อปล่อยให้ทุกคนได้มีเวลาผ่อนคลายล่วงหน้าก่อนเพราะพวกเขาคงจะไม่มีโอกาสได้หาเวลาผ่อนคลายกันแบบนี้แล้วเมื่อเข้าไปในเมือง
และเพียงแค่ครั้งแรกแม้เนื้อหาที่แท้จริงของโปรแกรมการฝึกจะทำให้หลิวยู่ติงเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกดดันและหวาดกลัวแต่ตอนนี้มันก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะตามมาทีหลัง
“ข้อมูลถูกคัดแยกออกแล้ว” หลิวยู่ติงรายงาน
ณ จุดนี้เรียกได้ว่าหลิวยู่ติงคือมือขวาของชูฮันก็ว่าได้ ถึงแม้เขาจะไม่แข็งแกร่งและมีความสามารถที่น่ากลัวเท่ากับเฉินช่าวเย่ แต่ในด้านการจัดการประสิทธิภาพของทีมนั้นไม่มีใครเทียบเท่าหลิวยู่ติงได้
ชูฮันรับเอกสารที่หลิวยู่ติงส่งมาไว้ ซึ่งมันก็คือการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในแต่ละทีมตามการบันทึกอย่างละเอียด
“คนทั้งหมด 30 คนได้รับการกระตุ้นจนพัฒนาเป็นวิวัฒนาการจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมา” หลิวยู่ติงค่อยๆพูด “จำนวนของมนุษย์สายพันธ์ใหม่ในทีมตอนนี้มีมากกว่าครึ่ง ทั้งหมดคือ 68 คน”
มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ คือคำเรียกของ…วิวัฒนาการและพรสวรรค์ แม้ว่าคำคำนี้จะยังไม่ได้ถูกมาใช้อย่างเป็นที่นิยมในจีนทว่าชูฮันนำมันมาใช้เมื่อเขาเริ่มทำการจัดเก็บข้อมูลของลูกทีมเขา
“การเพิ่มขึ้นโดยรวมทั้งหมดอยู่ในระดับที่ดี” ชูฮันพยักหน้า “ซอมบี้สิบตัวและการฝึกสังหารหมู่สี่ครั้งทุกๆสิบวันตลอดไปอีกสองเดือน แต่เราจะไม่ใช้ถนนเส้นทางเดิมอีก คราวนี้เราจะเข้าไปในเมืองกันแทน”
หลิวยู่ติงกลืนน้ำอึกอย่างกังวล เขาเคยเห็นตารางการฝึกของชูฮันแล้ว เขาไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างในนั้น แต่ก็เหมือนกับซูเฟิง…หลิวยู่ติงรู้สึกหวาดกลัว โปรแกรมการฝึกของเดือนที่แล้วถือว่าน่ากลัวและแย่พอแล้ว สำหรับการกระตุ้นให้คน 30 กลายเป็นวิวัฒนาการ ลองนึกภาพดูว่ามันต้องฝึกฝนอย่างเดิมๆซ้ำอยู่กี่ครั้งถึงสำเร็จได้
แต่นี้มันเป็นแค่ปฐมบทเท่านั้นเมื่อเทียบกับโครงการที่จะตามมา การฝึกปีศาจที่แท้จริงพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
“นี่เรารวมถึงลูกทีมที่ค่ายไปด้วยหรือยัง?” จู่ๆชูฮันก็ถามออกมา
หลิวยู่ติงไม่เข้าใจความคิดของชูฮัน หากเขาก็พยักหน้า “สถิติของเรายังไม่ได้รวมคนที่ค่ายเขี้ยวหมาป่า นี้เป็นแค่จำนวนของกลุ่มคน 200 คนเท่านั้น ซึ่งมีวิวัฒนาการและพรสวรรค์อยู่บางส่วน ไปกันเถอะ”
ชูฮันยกมือขึ้นแตกคาง “เราช่วยแก้ปัญหาฝูงซอมบี้ให้ แล้วคนพวกนี้ว่าอะไรบ้าง?”
“ขอบคุณ” หลิวยู่ติงพูดพลางย่นคิ้วจนหน้าขมวด “แต่มีหลายคนที่ไม่พอใจ พวกเขาสูญเสียพวกพ้องไปพอสมควรและการขออาหารจากพวกเราก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง บางคนมาเคาะประตูแทบจะทุกนาทีและเมื่อพิจารณาถึงจำนวนของคนที่ไม่มีความละอาย มันมากเกินกว่าที่ทีมพวกเราจะทนไหว อีกทั้งคนของพวกเราก็เหนื่อยล้ามากพออยู่แล้วเป็นทุนเดิมจากการสู้รบ”
ชูฮันเลิกคิ้ว “มันมากเกินไป และบางครั้งการระงับอารมณ์รุนแรงของเราเอาไว้ก็ดีกว่าการเปลืองน้ำลาย”
หลิวยู่ติงบิดมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าชูฮันจะพูดแบบนี้
“แล้วทัศนคติของวิวัฒนาการและพรสวรรค์ 20 คนจากซางจิงเป็นยังไง?” จู่ๆชูฮันก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“นายต้องการโน้มน้าวคนพวกนั้น?” หลิวยู่ติงรู้ทันความคิดของชูฮันและพยายามจะห้าม “อย่าเชียวนะ คนพวกนั้นอยู่กับพวกกลุ่มผู้ลี้ภัยมานาน บุคคลิกของคนพวกนั้นยากที่จะดึงตัวมาได้ ดึงพวกเขาออกมาจากครอบครัว มันคือการกระทำที่ไร้คุณธรรมและบรรทัดฐานอย่างสิ้นเชิง และถึงแม้ว่าต่อหน้าคนพวกนี้จะแสร้งทำเป็นซาบซึ้งในบุญคุณ แต่ฉันเกรงว่ามันจะไม่ง่ายต่อการควบคุมการทำงานของทั้งทีม”
“มันฟังดูสมเหตุสมผลดี งั้นเรียกรวมทุกคนและคนสองร้อยคนของหมู่บ้านออกมา ฉันมีเรื่องบางอย่างจะพูดกับพวกนั้น” หลังจากพูดประโยคนั้นออกไปหลิวยู่ติงก็นิ่งไปพักหนึ่ง ชูฮันมองไปที่โปรแกรมการฝึกอันต่อไปบนตารางฝึก—–
การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด
หลิวยู่ติงมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สิบนาทีต่อมา พื้นที่โล่งเพียงจุดเดียวในหมู่บ้านเล็กๆก็ถูกเติมเต็มจนล้น สมาชิกหนึ่งร้อยคนในทีมของชูฮันยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ หน้าตาเรียบนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่มีใครเปิดปากพูดคุยหรือแม้แต่สายตาก็ยังไม่มีการขยับล่อกแลก
ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนได้เปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นกองทัพนักรบที่แท้จริงแม้พวกเขาจะยังอยู่ห่างไกลจากข้อกำหนดของชูฮันแต่แค่นี้พวกเขาก็ถือว่าห่างไกลจากทีมทั่วไปมากพอแล้ว โดยเฉพาะทีมที่พลัดถิ่นมาแบบนี้
ในขณะนี้ศูนย์กลางของสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย คนสองร้อยส่งเสียงดังวุ่นวาย ทุกคนยืนรวมตัวกันด้วยสีหน้าปกติของเหล่าผู้ลี้ภัยในโลกาวินาศหรือบางคนก็นั่งอยู่ที่พื้น พวกเขาไม่สนใจว่าพวกเขาจะสกปรก ไม่สนใจว่ากลุ่มทหารของชูฮันที่ยืนอยู่ด้านข้างจะมองพวกเขายังไง พวกเขาต้องเพียงแค่อาหารและผู้หญิงเท่านั้น
ติงเซวและชูเซี่ยที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดท่ามกลางกลุ่มทหารหนึ่งร้อยคนของชูฮัน พวกเธอถูกจับจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าจากสายตาของพวกผู้ลี้ภัยทั้งสองร้อยคน สายตาที่เต็มไปด้วยความโลถและความกระสันที่มองมาอย่างหยาบโลน
ถึงเช่นนั้น แต่ติงเซวและชูเซี่ยกลับมีท่าทีไม่แยแส ทว่าแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของพวกเธอแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ภายในที่ขุ่นมัวอย่างไม่พอใจ
และเมื่อชูฮันเดินออกมาจากตัวบ้าน เขาก็ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น แววตาของทั้งสองสาวที่เป็นประกายคมวาวและทั้งพื้นที่ที่เต็มไปด้วยวุ่นวายของผู้ลี้ภัยสองร้อยคน
“เงียบ!” หลิวยู่ติงเดินตามหลังชูฮันออกมาพร้อมกับเอกสารในมือที่เต็มไปด้วยข้อมูล และทันทีที่หลิวยู่ติงเห็นภาพตรงหน้าเขาก็ตะโกนลั่นออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดทันที “ทุกคนเงียบ! ท่านมีเรื่องจะพูด!”
ใครจะสนใจ? คิดว่าแค่ใส่เครื่องแบบทหารแล้วดีนักเหรอไง?
ไม่มีใครสนใจคำพูดของหลิวยู่ติงแถมเสียงก็ยิ่งดังหนวกหูขึ้นกว่าเดิมอีก หลายคนเริ่มแหกปากตะโกนใส่ชูฮันและมองด้วยสายตาหยาบคาย
เหล่าทหารทั้งหนึ่งร้อยนายของชูฮันก้าวเดินเขยิบเข้ามาอย่างพร้อมเพียงเป็นจังหวะเดียวกันด้วยท่าทีคุกคาม หลังจากการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทัศนคติที่มีต่อชูฮันได้เปลี่ยนไปแล้ว คำสั่งของท่านคือที่สุด ขัดขืนไม่ได้!
เหล่าคนต่อต้านในฝูงชนเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ หลายคนเริ่มกังวลกับท่าทีเรียบนิ่งของเหล่าทหารรอบๆ หากเสียงจากฝูงชนก็ยังคงดังน่ารำคาญอยู่ดี
ชูฮันเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกมาห้ามนายทารหนึ่งร้อยคนที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจเอาไว้ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวอันพร้อมเพรียงและน่าประหลาดใจสลายไปทันที
เมื่อได้เห็นภาพนั้น เหล่าผู้ลี้ภัยสองร้อยคนก็ยิ่งมีท่าทีหย่ิงผยองและอวดดีมากกว่าเดิม จากสายตาดูถูกไปจนถึงการก่นด่า