Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 508
“ฟู่~”
หยางเทียนพยายามควบคุมอารณ์ของร่างกายตัวเองให้คงที่ ตัวของหยางเทียนเหมือนกับลูกบอลที่โดนอัดลมแน่นจนแทบจะระเบิดอยู่ร่อมร่อ เขาไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดไปมากกว่านี้ ตัวของหยางเทียนสั่นเทิ้มขณะจ้องไปที่ชายสองคนที่มาใหม่ “คุณ พวกคุณเป็นใคร?”
หลูฮงเชิงมองไปที่ผู้ชายผมขาวตรงหน้าด้วยแววตาบางอย่าง จากนั้นก็กระพริบตา…ตายก่อนวัยงั้นเหรอ? ช่างน่าสงสาร!
เหล่าสมาชิกของทั้งสองทีม…กุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าพลันหัวใจเต้นรัว คนพวกนี้ก็มาตามหาหยางเทียนเหมือนพวกเขา? นี่มันเรื่องบังเอิญหรือไง?
เบื้องหลังแว่นตาของซูชิง แววตาของซูชิงนั้นดิ่งลึกพร้อมกับนิ่วหน้าเล็กน้อย “ป่ายหวีเนอส่งข้อความมาหาเรา บอกว่าหัวหน้าสั่งให้เรามาที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าแล้วให้ตามหาคนที่ชื่อหยางเทียน”
ซูชิงไม่ได้เปิดเผยชื่อของชูฮันหรือบอกข้อมูลมากเกินไป หลังจากเอ่ยชื่อของป่ายหวีเนอออกไป เขาก็เฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของคนพวกนี้
“ป่ายหวีเนอ?!” แน่นอนว่าหยางเทียนตกใจจนกรามแทบหลุด แววตาฉายความกลัวออกมา จากนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าวและจับเข้าที่มือของซูชิงด้วยความตื่นเต้นจัด “คุณใช่เหอซางใช่มั้ย? อัจฉริยะที่มีไอคิว 205 คนนั้น? ผมรอคุณนานมาก ยินดีต้อนรับ!”
หลูฮงเชิงยืนเงียบและสังเกตไปที่ซูชิงและผู้ชายผมขาวที่มีท่าทีตื่นเต้น ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่กำลังจะตายแต่สายตายังไม่ดีอีกด้วย…ซูชิงดูเหมือนพระเหรอไง?
กลุ่มคนด้านหลังหยางเทียนยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่า ไอคิวของผู้ชายคนนี้สูงถึง 205 เลยเหรอ? สุดยอด? คนฉลาดแบบนี้มาทำอะไรที่นี่กัน?
รอยยิ้มที่มุมปากของซูชิงหุบลงทันที แววตาหลังเลนส์แว่นเป็นประกายวาบอย่างไม่พอใจและชักมือออกฝ่ามือของหยางเทียนที่มีท่าทีตื่นเต้นช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันไม่ใช่เหอซาง ฉันชื่อว่าซูชิง และฉันไม่มีไอคิว 205 แล้วก็ไม่ใช่อัจฉริยะอะไรนั่นด้วย”
อึก! คอของหยางเทียนแข็งทันทีด้วยความรู้สึกอับอายอย่างมาก “แหะ แหะ แหะ ขอโทษทีนะ ผมเข้าใจผิดไปเอง”
ซูชิงยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปอีก แม้เขาอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างเหอซางแต่เขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ ที่มากไปกว่านั้นเขาได้เรียนรู้ทักษะจากเหย่โม่มาแล้วครึ่งหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ดูถูกเขาแบบนี้ได้ยังไง?
“เอ่อ ในเมื่อคุณป่ายหวีเนอบอกให้พวกคุณมา งั้นก็เข้ามาด้านในก่อนสิ” หยางเทียนไม่รู้ว่าซูชิงคิดยังไง หากเขาก็พยายามสุภาพกับทั้งสองคน “นี่คือค่ายเขี้ยวหมาป่า เป็นยังไง มันสุดยอดมากใช่มั้ย?”
ซูชิงกวาดสายตามองทั้งค่ายตรงหน้าเขา จากนั้นก็ลอบยิ้มมุมปากและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ใครเป็นคนที่ออกแบบประตูนี้? เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด มันง่ายกว่าถ้าจะทำประตูปกติดีกว่าทำไม่ถูกต้องแบบนี้ มันใช้งานลำบาก จะดีซะกว่าถ้าโละทิ้งแล้วสร้างขึ้นใหม่”
ทุกคนตรงนั้นตะลึงค้างกันหมด โดยเฉพาะหยางเทียนที่ตะลึงกว่าใคร ประตูนี้…สร้างขึ้นจากฝีมือและแรงงานของคนจำนวนมาก
“แล้วค่ายนี้!” ซูซิงตัดสินใจจะให้บทเรียนแก่คนพวกนี้ “ใครคือคนที่ออกแบบค่ายทั้งหมด? สมองหายไปแล้วเหรอไง? ค่ายแบบนี้สร้างขึ้นมาเพื่อฟักไข่เหรอไง? สร้างขึ้นใหม่เลยยังดีซะกว่า เปลืองทรัพยากร เปลืองพื้นที่ และเปลืองกำลังคน น่าหงุดหงิด!”
ทุกคนอึ้งอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะหยางเทียนที่ไม่พอใจ ไอ้เด็กนี่ มันมาเพื่อสร้างความเกลียดชัดๆ? มันบอกว่าค่ายของเราสร้างไม่ได้เรื่อง!
และในขณะที่หยางเทียนมีท่าทีไม่พอใจและวางแผนจะอัดซูชิงอยู่ในหัว จู่ๆประตูของค่ายก็เปิดออก ร่างงดงามสมส่วนค่อยๆก้าวเดินออกมาช้าๆ และพอหยางเทียนได้เห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ เขาก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกไปทันทีและยืนนิ่งแสดงถึงความเคารพ
แววตาของคนอื่นๆเองก็เต็มไปด้วยความเคารพเช่นกัน แววตาของสมาชิกของทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าเต็มไปด้วยความคิด คนที่มาใหม่อาจจะมีท่าทีอีกแบบ พวกเขารอดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า
ซางจิ่วตี้ที่แต่งกายในชุดลำลอง เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ซูชิงและหลูฮงเชิง “ซูชิงและหลูฮงเชิง ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
หยางเทียนประหลาดใจอย่างมากที่ได้เห็นภาพนี้ ซางจิ่วตี้รู้จักกับซูชิงและหลูฮงเชิงเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ซูชิงและหลูฮงเชิงรีบดึงอารมณ์ต่อต้านที่มีต่อหยางเทียนลงทันทีพลางยิ้มให้ซางจิ่วตี้อย่างสุภาพ “ไม่เจอกันนานนะครับ”
ซางจิ่วตี้ยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น หลังจากนั้นเดินต่อมาอีกไม่กี่ก้าว สายตาของเธอก็เป็นประกายแววเมื่อได้เห็นรถเหล็กขนาดยักษ์ที่โดดเด่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ “นี่ใช่ G55 ใช่มั้ย?”
ซูชิงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว รถของหัวหน้า ผมปรับแต่งตัวรถใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ข้างในยันข้างนอก มันทรงพลังอย่างนึกไม่ถึง ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ล้วนๆ และรถ Wrangler นั่นเทียบไม่ติดเลย”
“ดูน่าเกรงขามมาก” ซางจิ่วตี้พูดยกย่องและหันมาเอ่ยยินดีกับทั้งสอง “ยินดีต้อนรับการกลับมา ฉันจะแนะนำให้ นี่คือรองหัวหน้าค่าย…หยางเทียน”
ขณะพูดซางจิ่วตี้ก็กำลังตวัดสายตามองไปที่หยางเทียนและจังหวะที่เธอหมุนตัวกลับมาเพื่อสบตากับหยางเทียนเธอก็ต้องตกใจ “หยางเทียน คุณ คุณร้องไห้ทำไม?”
หยางเทียนเอามือขึ้นมาแตะตาตัวเองอย่างงงๆ “ไม่มีอะไรครับ ผมเป็นคนประหลาดแบบนี้แหละ” ซางจิ่วตี้อึ้ง ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมชูฮันถึงทำดีและดูแลหยางเทียนมาเสมอ หยางเทียนที่ร้องไห้เหมือนกับผีกำลังร้องไห้อยู่ตอนนี้ เธอได้ประจักษ์แล้ววันนี้…
————–
ในขณะเดียวกันนั่นเอง ณ ประตูทางเข้าของค่ายผู้รอดชีวิตหนานตู้ กลุ่มคนยืนต่อคิวเพื่อลงทะเบียนท่ามกลางลมหนาว
“ต่อไป” ผู้คุมตรงประตูนั้นคำถามอย่างหมดความอดทน “เร็วเข้า ไม่ต้องกัวล ไม่ต้องคิดหาโอกาสอะไรทั้งนั้น ทุกคนต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน!”
เหอซางและเสี่ยติงอยู่ตรงกลางของกลุ่มคน มันมีคนมากกว่าสองร้อยคนที่ต่อคิวอยู่ด้านหน้า เขาคาดว่าด้วยความเร็วระดับนี้มันคงไม่เสร็จภายในคืนนี้เป็นแน่
เสี่ยติงส่ายขาอย่างหมดความอดทนและจับหัวล้านของตัวเองต่อหน้าเหอซาง “ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่ต้องอยากมาที่เมืองทางใต้นี่ด้วย? ในจีนมีค่ายตั้งมากมาย พี่เองก็ผ่านค่ายใหญ่ๆมาตั้งหลายที่ ทำไมต้องมาที่นี่อย่างยากลำบากแบบนี้ด้วย ทำไม?”
เพื่อที่จะไม่ทำให้เป็นที่โดดเด่น เหอซางจึงไม่ได้ใส่เกราะที่อัดแน่นไปด้วยอาวุธครึ่งตัวของเขา แต่เขายังคงใส่แว่นสายตาเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ เขาสูดความเย็นเข้าปอดจากนั้นก็เค้นเสียงพูดออกมา “ไอดอลบอกว่าเขามีน้องชายอยู่ที่นี่ ฉันก็เลยคิดอยากจะทำเพื่อไอดอลเพราะฉันเป็นแฟนคลับของเขา ฉันอยากช่วยลดภาระของไอดอล ฉันอยากจะช่วยเขา เพราะงั้นฉันก็เลยตัดสินใจมาที่นี่เพื่อพาตัวน้องชายของไอดอลไป”
เสี่ยติงขบคิดในหัวก่อนจะถามขึ้นมา “แต่น้องชายของไอดอลรู้มั้ยว่าพี่เป็นแฟนคลับของไอดอล?”
“ดูเหมือนจะไม่” เหอซางจิงส่ายหัวเพื่อตอบคำถามของเสี่ยติงอย่างรวดเร็ว
“ถ้างั้นแล้วทำไมน้องชายของเขาถึงจะยอมไปกับเรา?” เสี่ยติงกรอกตา
เหอซางยิ้ม “นายไม่เข้าใจ เขาไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยอะไรทั้งนั้น เพราะฉันจะลักพาตัวเขา!”
ทันใดนั้นเสี่ยติงก็ตระหนักได้ “สมเหตุสมผล!”
และระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ จู่ๆมันก็มีน้ำเสียงเข้มและแฝงไปด้วยการข่มขู่ดังขึ้น “ไอ้ล้านสองหัวนั่น พวกแกพูดว่าจะลักพาตัวใคร?!”
เมื่อเสียงนั่นตะโกนขึ้นมา คนที่แบ่งตัวออกหลายจุดเป็นกลุ่มก็นิ่งเงียบกันหมด เพราะสถานการณ์มันโดดเด่นและน่าสนใจ
เสี่ยติงมองกลับไปอย่างไม่พอใจและโพล่งออกมา “แกเรียกใครว่าล้าน?”
เหอซางเงียบไปครู่หนึ่ง หากเมื่อเขาหันกลับมา อีกฝ่ายก็ได้เปิดปากพูดเป็นครั้งที่สองแล้ว เสียงของอีกฝ่ายยังคงเต็มไปด้วยพลังอัดแน่นเหมือนเดิม “เรียกพวกแกสองคน หนึ่งหัวล้าน หนึ่งพระ!”