Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 515
เหย่จือโปรู้สึกตื่นเต้นมาก เขารีบยกแก้วไวน์ขึ้นและยิ้ม “เยี่ยม! ถ้างั้นเรามาคุยเรื่องประเด็นสำคัญกันก่อน โอ้! ใช่! ฉันยังเอาของกำนัลมาให้ด้วยเป็นของขวัญสำหรับการร่วมมือกันของเรา มันคือร่องรอยของชูฮัน ฉันคิดว่า…คุณมู๋จะต้องสนใจอย่างแน่นอน”
“ชูฮัน?” แววตาของมู๋เย๋เยือกเย็นและแฝงไปด้วยอารมณ์รุนแรง
ทันใดนั้นเหย่จือโปก็พลันเริ่มเหงื่อตกและนิ่งไป เขาได้แต่จ้องค้างไปที่มู๋เย๋ที่อยู่ห่างอย่างน้อยสองเมตรออกไป แต่เขากลับไม่สามารถขยับตัวได้เลยสักนิดเพราะแรงกดในอากาศ
หลังจากที่จู่ๆพลังของมู๋เย๋ก็ปะทุออกมากระทันหัน มู๋เย๋ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกดขี่ “เป็นการพูดคุยที่น่าประหลาดใจมาก แต่เรื่องของชูฮันนี่มันน่าอับอายจริงๆ ท่ามกลางคนมากมายทั่วทั้งจีน ฉันได้แต่ตามหาชูฮันไปทั่วและถึงกับส่งทีมไปติดตามเบาะแสของมันด้วยซ้ำแต่กลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยอะไรเลยสักนิด แล้วคุณมีข่าวนี่ได้ยังไงกัน? ด้วยความระแวดระวังของผู้ชายคนนี้ แม้จะเป็นซางจิงก็ไม่มีทางตามเส้นทางของชูฮันได้?”
“คุณมู๋รู้งั้นเหรอว่าชูฮันได้ไปซางจิงมา?” เหย่จือโปพยายามกดความกลัวของตัวเองที่มีต่อมู๋เย๋ไว้และบังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นไม่กลัวอีกฝ่าย “ร่องรอยของชูฮันที่ซางจิง แน่นอนว่าไอ้พวกโง่ที่กินข้าวเป็นอาหารไม่มีทางรู้ แต่ตระกูลลึกลับนั้นต่างออกไป แน่นอนว่าตระกูลลลึกลับมีไพ่ไม้ตายและความสามารถที่ไม่มีใครรู้อยู่ และการตามหาตัวชูฮันนั้นเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับพวกเขา”
ขณะพูดเหย่จือโปก็หยิบเอกสารจากกระเป๋าเอกสารของเขาออกมาและค่อยๆวางมันลงบนโต๊ะ “นี่คือเบาะแสเฉพาะเจาะจงของชูฮันสำหรับตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แม้กระทั่งการคาดเดาเส้นทางต่อไปของชูฮัน ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”
มู๋เย๋มีท่าทางสงสัย แต่หลังจากได้ดูเอกสารแล้ว แววตาของมู๋เย๋ก็เป็นประกายแววบางอย่าง “ตระกูลเกาเองก็เกลียดชูฮันเหมือนกัน?”
“ไม่ใช่แน่นอน” เหย่จือโปยิ้มและพูดต่อ “ตระกูลเกาแค่ต้องการฆ่าเขาก็เท่านั้น แต่คุณมีความแค้นกับเขาไม่ใช่หรือไง? และนี่ถือเป็นการตอบแทนสำหรับการร่วมมือของเรา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” มู๋เย๋หัวเราะเบาๆอย่างพึงพอใจและทันใดนั้นก็สบตาเข้ากับเหย่จือโป “ตระกูลลึกลับนี่น่าทึ่งจริงๆ! ดูเหมือนว่าฉันน่าจะเป็นฝ่ายยินดีที่ได้ตระกูลเกามาร่วมมือด้วยสินะ”
“เมืองหยินภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์ลูกผสมมีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นธรรมดาที่ตระกูลลึกลับจะมองเห็นพวกคุณ”
เสียงเย็นชาของมู๋เย๋ ทว่าสีหน้ากลับนิ่งเรียบ “น่าเสียดายที่ความทะเยอทะยานของตระกูลเกานั้นยิ่งใหญ่เกินไป แถมยังเป็นการกบฏอีก แล้วอย่างนี้ตระกูลลึกลับอื่นๆจะไม่เข้ามาขัดขวางหรือไง? มันไม่ใช่ว่าพวกเขามีข้อจำกัดของกันและกันไว้และห้ามเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวกับมนุษย์รึไง?”
“นั่นมันข้อคือข้อบังคับในยุคศิวิไลซ์ แต่ตอนนี้โลกาวินาศปะทุขึ้นมาแล้ว โลกได้กลับหัวหลับหางด้วยพลังงานที่ไม่รู้จัก ใครจะมาคอยควบคุมข้อบังคับนั่นล่ะ?” เหย่จือโปยิ้ม “ยังไม่พูดถึง เมื่อตอนที่ฉันอยู่ในตระกูลเกา ฉันพบว่าทัศนคติของตระกูลเกาค่อนข้างจะดูถูกตระกูลลึกลับอื่นๆอย่างมาก ฉันเดาว่าตระกูลเกาน่าจะเป็นตระกูลระดับสูงท่ามกลางตระกูลลึกลับอื่นๆ ดังนั้นคุณมู๋ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย แน่นอนว่าในยุคของโลกาวินาศ ใครก็ตามที่มีพลัง…คนนั้นจะได้ครอบครองทุกอย่าง”
แสงในแววตาของมู๋เย๋ส่องสว่าง “ฉันชอบกฏนี้”
————
ในเวลาเดียวกัน ชูฮันได้นำพากองทัพเขี้ยวหมาป่าเดินทางมาได้สามในสี่ของการเดินทางทั้งหมดแล้ว เวลาได้เริ่มเข้าสู่ปีที่สองของโลกาวินาศ…ช่วงเวลากลางเดือนมีนาคม การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดครั้งที่สามได้สำเร็จและจบลงแล้ว จำนวนของสมาชิกทั้งหมดในตอนนี้อยู่ที่ 300 คน รวมจำนวนสมาชิกดั้งเดิมและคนที่ตามมาจากค่ายซางจิงและคนที่พบเจอเพิ่มเติมระหว่างทาง
กองทัพเขี้ยวหมาป่าได้เปลี่ยนแปลงไปมากในระยะเวลาสองเดือนครึ่งของการฝึกปีศาจ เมื่อสองวันก่อน…กลุ่มทหาร 300 คนได้ทำการกวาดล้างเมืองซอมบี้จนไม่มีเหลือซอมบี้เล็ดรอดแม้แต่ตัวเดียว เหลือเพียงแต่เมืองร้าง
จำนวนของซอมบี้ที่พวกเขาฆ่าไปทั้งหมดนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แม้จะเป็นเวลาระยะสั้นแต่ความจงรักภักดีที่ชูฮันได้รับอย่างมาก ทำให้คะแนนในระบบล่มสลายนั้นพุ่งกระฉูด โดยเฉพาะเวลาที่ทำการต่อสู้ ซึ่งมันได้สนับสนุนให้พละกำลังความแข็งแกร่งของร่างกายและความสามารถต่างๆของชูฮันไต่ขึ้นไปถึงระดับ 7 เพราะงั้นชูฮันจึงไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคะแนนไปอีกนานเลยในอนาคต และคริสตัลของซอมบี้ที่เก็บได้ก็จะนำไปลงทุนในการวิจัยหรือเปลี่ยนเป็นค่าเงินเหรียญล่มสลายแทน
เขาเพียงแค่ต้องรอจนกว่าจะได้เจอกับเสาหินและได้ชิ้นส่วนของระบบล่มสลาย เขาถึงสามารถยกระดับวิวัฒนาการได้
และตอนนี้การทำงานร่วมกันของทีมก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น กลุ่มคนที่ศรัทธาในตัวชูฮันมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนมาใหม่กลุ่มแรกที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามา ชูฮันค่อยๆฝึกฝันพวกเขาไปทีละขั้นๆจนกลายเป็นแข็งแกร่งและน่ากลัวแตกต่างไปจากแรกเริ่ม ทุกคนเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของชูฮันทุกอย่าง ต้องโจมตีตรงไหน ใช้กลยุทธ์แบบไหน คาดว่าจนถึงตอนนี้ชูฮันและกองทัพเขี้ยวหมาป่าน่าจะฆ่าซอมบี้ไปได้ประมาณ 3 ล้านตัวได้แล้ว
การฝึกฝนและวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของทีมของชูฮันนั้นแสนจะเรียบง่าย เริ่มด้วยการรับคนที่ต้องการเข้าร่วมเข้ามาและตรวจสอบเบื้องต้นก่อน และเข้ารับการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดครั้งต่อๆไป ทีละขั้นๆ การทดสอบและสแกนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจำนวนก็อยู่ที่ 300 คน
จากนั้นชูฮันก็จะพาพวกเขาไปเผชิญกับการต่อสู้จริงๆ ประกอบกับกฏระเบียบของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่จะไม่ทอดทิ้งสหายเด็ดขาด ดังนั้นมันจึงสร้างความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวขึ้นแก่ทุกคนและก็กลายเป็นความศรัทธาต่อกองทัพ
พวกเขาเชื่อว่าตัวเองเกิดมาเพื่อจงรักภักดีต่อกองทัพเขี้ยวหมาป่า และจะตายอย่างจิตวิญาณของนักรบเขี้ยวหมาป่า
บรรยากาศในกองทัพค่อนข้างดีทีเดียว การฝึกฝนตลอดสองเดือนกว่าทำให้พวกเขาใส่ใจต่อมิตรภาพระหว่างกันและกัน บนสนามรบมันคือท่านผู้บังคัญบัญชาและนักรบ บนสนามรบมันคือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน หากนอกสนามรบแม้แต่ท่านชูฮันหรือท่านเฉินช่าวเย่กลับพูดคุยกับทุกคนเป็นปกติ กินข้าวหม้อเดียวกัน มีปาร์ตี้รอบกองไฟบ้างนานๆที เฮฮาสนุกสนานด้วยกัน ไม่มีการถือตัว
แล้วใครจะไม่ชอบผู้บังคับบัญชาแบบนี้?
เฉินช่าวเย่เข้ากับทุกคนได้อย่างดี เช่นเดียวกับติงเซวที่ทุกคนให้เกียรติและเคารพเธอ และแน่นอนว่าหลิวยู่ติงยังคงเป็นปีศาจเหมือนเดิมในสายตาทุกคน
แผนกต่างๆในกองทัพได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง นอกเหนือจากแผนกกฏระเบียบทหารและแผนกเจ้าหน้าที่แล้ว มันยังมีแผนกโลจิสติกส์อีก ชูฮันใช้อำนาจของผู้นำและความเอาแต่ใจที่มีทำให้ติงเซวมีอำนาจในแผนกโลจิสติกส์ และการตัดสินใจครั้งนี้ไม่มีใครคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียว เพราะหนึ่งเลยความสามารถของติงเซวนั้นเป็นที่กระจ่างอยู่แล้ว และสองเธอไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนเก่าของชูฮันเท่านั้นแต่ยังเป็นภรรยาตามกฏหมายของเฉินช่าวเย่อีก
ใครจะปล่อยให้ภรรยาของน้องชายของชูฮันทนทุกข์กัน?
ที่มากไปกว่านั้น…เดิมทีทรัพยากรและวัตถุดิบอาหารทั้งหลายก็เป็นติงเซวที่ดูแลและจัดการอยู่แล้ว งานนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ มันทั้งยุ่งยากและวุ่นวาย ดังนั้นติงเซวซึ่งเป็นคนที่ได้รับความเคารพอย่างมากในทีมที่สุด รองจากหัวหน้าชูฮันและปีศาจหลิวยู่ติง จึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด
ท่ามกลางบรรยากาศอันดีงาม ชูฮันตัดสินใจจะพาทุกคนไปผ่อนคลาย ถึงอย่างไรแล้วการเดินทางก็แทบจะเหมือนเดิม การฝึกฝนก็แทบจะเหมือนเดิม และพวกเขายังมีเวลาเหลืออีกครึ่งเดือนสำหรับการฝึกฝนและเดินทาง
เพราะอย่างนั้น สองวันต่อมา ทหาร 300 คนจึงมาอยู่ที่หน้าประตูของค่ายขนาดกลางแห่งหนึ่ง