Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 571
“เอ่อ แน่นอนครับ เขาถือสมุดบันทึกไว้ในมือแน่นราวกับสมบัติล้ำค่า สายตาจับจ้องมาที่ชูฮันด้วยความเคารพสุดหัวใจ “แต่ที่ผมทำสำเร็จก็ต้องขอบคุณข้อมูลที่ได้จากหัวหน้าชูฮัน แม้มันอาจจะดูเหมือนข้อมูลทั่วไป แต่มันได้มอบแนวทางสำคัญในการวิจัยให้ผม โอ๊ะใช่เลย เถาวัลย์เหม็นนั่น ท่านรู้ได้ยังไงว่ามันคือวัตถุดิบหลักครับ?”
ชูฮันเพียงแค่ยิ้มให้เจียงโจวเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขารู้จากเอกสารงานวิจัยของซาวชุนฮุยที่ถูกทิ้งไว้และเอกสารมากมายที่เขาหาข้อมูลมาได้ในชาติที่แล้ว
เพียงแค่นั้น จากนั้นชูฮันก็หยิบเอกสารส่งให้เจียงโจว “ผลผลิตของการวิจัยในขั้นแรกประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ ขั้นตอนต่อไปจะยากหน่อย ฉันยังหางานวิจัยของพันธุกรรมและเซลล์ทางชีววิทยาไม่เจอ แต่มันมีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องทางเคมี เพราะฉะนั้นเริ่มขั้นตอนทำการทดลองดูก่อน”
เจียงโจวดันแว่นขึ้นสันจมูก และเปิดดูเอกสารที่ชูฮันส่งมาให้อย่างกระตือรือร้น เขาตื่นเต้นอย่างมากและเอ่ยถาม “จุดประสงค์ของการวิจัยนี้คืออะไรครับ?”
ชูฮันยิ้มมุมปาก เหยียดนิ้วออกมาสองนิ้ว ตามมาด้วยประโยคที่ทำให้คนที่ได้ยินขนลุก “ยายกระดับวิวัฒนาการของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่และยากระตุ้นพลังของพรสวรรค์”
วัตถุดิบ…คริสตัลของซอมบี้
การกระตุ้นพลังของพรสวรรค์นั้นไม่ใช่แค่เพียงหลังจากกลืนคริสตัลของซอมบี้ระยะสองลงไป 2 ชิ้นแล้วเท่านั้น ซึ่งการใช้ยากระตุ้นนั้นสามารถรับรองความปลอดภัยและเป็นทางแก้ไขที่เชื่อถือได้ มนุษย์สายพันธุ์แบ่งออกเป็นสองประเภท วิวัฒนาการนั้นมีพลังความสามารถน้อยกว่าพรสวรรค์หลายเท่า ทว่าในทางกลับกันขั้นตอนในการเข้าสู่การเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ของวิวัฒนาการนั้นก็ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่า ต่างจากพรสวรรค์ที่ต้องได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรงในจังหวะที่เกิดอันตรายถึงชีวิตร่างกายที่จะเกิดการกระตุ้นพรสวรรค์ออกมาเท่านั้น
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นนิรันดร์และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ภูมิปัญญาของมนุษย์สามารถแสดงความยิ่งใหญ่ได้ทุกที่ทุกเวลา การศึกษาเรื่องการตื่นตัวของเภสัชศาสตร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
แผนกวิจัยของค่ายเขี้ยวหมาป่าเป็นส่วนสำคัญของเป้าหมายในอนาคตของชูฮัน ทั้งการยกระดับวิวัฒนาการและการกระตุ้นพรสวรรค์นั้นจำเป็นต้องเร่งความเร็วขึ้น นี่เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับค่ายเขี้ยวหมาป่าในการจะก้าวไปข้างหน้า
เมื่อชูฮันพูดประโยคนั้นออกมา เจียงโจวก็ตกอยู่ในภาวะซบเซา ยังคงไม่ได้สติ จนกระทั่งชูฮันจากไปแล้วพร้อมกับซางจิ่วตี้และหยางเทียนที่เดินตามไปอย่างไร้สติ หลังจากนั้นเจียงโจวก็หลับตาลง เขาพยายามระงับจังหวะการเต้นของหัวใจที่แทบจะเหมือนจะกระโดดออกมาจากอก และเริ่มดูเอกสารที่ชูฮันส่งมาให้เขา
พวกนั้นไม่ใช่แค่เพียงเหล่างานวิจัยที่ล้มเหลวที่ซาวชุนฮุยเคยวิจัยเท่านั้น แต่มันยังเป็นข้อมูลบางอย่างที่ชูฮันรู้มาจากประสบการณ์ในชาติที่แล้วด้วย โดยเฉพาะประเด็นหลังที่มีค่าอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับทั้งจีนเท่ากับตัวชูฮันแล้วในชาตินี้
ชูฮันไม่ใช่นักวิจัย แต่เขารู้หลายอย่างและข้อมูลที่เขาเก็บไว้ในหัวตัวเองนั้นก็ยากที่หาใครเทียบได้
ชูฮันที่ออกไปจากห้องแล็บแล้ว ก็เดินมุ่งหน้าต่อไปที่อาคารซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการหลักของค่ายทันทีโดยไม่หยุดพัก ซางจิ่วตี้ได้เตรียมห้องทำงานแยกส่วนตัวไว้ให้เขาแล้ว ภายในมีเอกสารจำนวนมากที่ชูฮันจำเป็นต้องตรวจทานดู เนื่องจากซางจิ่วตี้ไม่มีอำนาจพอที่จะจัดการและมันเป็นประเด็นเกี่ยวการทางแก้ไขต่างๆ และเนื่องจากชูฮันออกไปจากค่ายเป็นเวลากว่าครึ่งปี ดังนั้นเขาจึงมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ
ชูฮันรู้สึกล้าอย่างมาก เขาพึ่งจะกลับมาแต่เขายังไม่ได้นอนพักเลยด้วยซ้ำ แม้แต่กินก็ยังไม่ได้กิน!
ด้านนอกของอาคาร หลิวยู่ติงยังคงแนะนำกฏระเบียบของกองทัพเขี้ยวหมาป่าให้กับคนจำนวนมากฟังอยู่ ชูฮันที่ต้องเดินผ่านเพียงแค่เคลือบมองไวๆและรีบเดินเข้าไปในอาคารทันที หากเขาก้าวไปได้แค่เพียงสองก้าวก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังที่ทำให้ต้องหยุดชะงัก
“ไม่รู้วิธีการแสดงความเคารพเมื่อเห็นท่านพลเอกชูฮันหรือไง?” เสียงของหลิวยู่ติงเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหง “ทุกหน่วยลุกนั่ง 50 ครั้งปฏิบัติ ห้ามหัวเราะ ห้ามส่งเสียงใดๆทั้งนั้น ห้ามยิ้ม ห้ามให้ฉันเห็นฟัน!”
ชูฮันส่ายหัว สายตาของเขามีร่องรอยความสงสารให้แก่เหล่าคนมาใหม่ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินในอาคาร
สีหน้าของซางจิ่วตี้แสดงความหวาดกลัวออกมา เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา หลิวยู่ติงคนนี้ เธอรู้จักเขา เขาคือพลตรีแห่งซางจิง มันแปลกมากที่ได้เห็นผู้ชายคนนี้กลับมาพร้อมกับชูฮัน แต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้นหลิวยู่ติงยังโดนกระตุ้นระบบประสาทอีก?
“ทุกอย่างอยู่ที่นี่” ภายในห้องทำงาน ซางจิ่วตี้อึดอัดเล็กน้อยที่จะต้องวางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะ “ไล่ประเด็นสำคัญจากบนลงล่าง ค่ายเขี้ยวหมาป่าต้องได้รับการควบคุมโดยท่านพลเอก เพราะฉะนั้นมันจึงมีเอกสารจำนวนมากที่ต้องทำขึ้นใหม่ค่ะ”
เมื่อชูฮันมองไปที่กองเอกสารที่สูงกว่าครึ่งเมตรตรงหน้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตาลายและอยากจะอ้วกออกมาเป็นเลือด
“ไม่ต้องกังวลค่ะ” ในตอนนั้นซางจิ่วตี้เผยยิ้มบางๆออกมา “ส่วนใหญ่ได้รับการตรวจสอบแล้ว คุณสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันทีที่เปิดดู แต่คุณยังต้องเซ็นต์อนุมัติมันก่อนค่ะ”
จังหวะการหายใจของชูฮันเริ่มคล่องตัวขึ้น สีหน้าบิดเบี้ยวเริ่มผ่อนคลายลง “ขอบคุณเธอมาก ไม่อย่างนั้นฉันคงเป็นกังวลแย่ แต่เธอสามารถเลียนแบบลายมือฉันได้มั้ย”
เขาไม่อยากจะมานั่งเซ็นต์เอกสารอยู่ในนี้ทั้งวัน มือเขาต้องเป็นตระคริวกินแน่!
พ้ะ!
ในตอนนั้น จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออก ตามมาเสียงแหกปากของติงซือเย้า “ท่านครับ ค่ายตวนมาพร้อมกับทหารเต็มไปหมด พวกเขาขนของมาเต็มเฮลิคอปเตอร์สิบลำ เขาบอกว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับการก่อตั้งค่าย”
เฮือก!
“อะไรน่ะ?” ซางจิ่วตี้สะดุ้ง น้ำเสียงหลง สักพักหนึ่งเธอก็หาเสียงตัวเองเจอ “ของขวัญขนาดนี้? เขาขออะไรเป็นการตอบแทนมั้ย?”
“ไม่ครับ” ติงซือเย้าส่ายหัวรัวๆ “เขาเพียงแค่นั่งรออยู่ในห้องโถงและบอกว่าต้องการพบท่านพลเอกชูฮันครับ”
ซางจิ่วตี้รีบหันไปมองหน้าชูฮันทันที จากนั้นก็เหลือบดูมุมโต๊ะที่ชูฮันกำลังจมอยู่กับกองเอกสารอยู่ เกิดอะไรขึ้น? เรื่องมันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมสีหน้าของชูฮันถึงดูแย่แบบนั้น?
ติงซือเย้าทนไม่ไหวจนแสดงความร้ายของตัวเองออกมา น้ำเสียงเด็ดขาดและดุดัน จ้องไปที่ชูฮัน “ท่านพลเอกครับ คนคนนั้นต้องไม่พอใจมากแน่ เราควรทำยังไงดีครับ?”
ชูฮันสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปที่แววตาลุกโชนของติงซือเย้า จากนั้นก็ส่งยิ้มแปลกๆออกมา “ในเมื่อเขาส่งของขวัญมาให้เรามากมายขนาดนี้ ผู้คนต้องอยากจะเห็นแน่ อีกฝ่ายจะมองเราในแง่ร้ายถ้าเราไม่ต้อนรับเข้าดีๆ จะให้อีกฝ่ายกลับไปเลยก็ไม่ได้ แล้วเราก็ไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายค้างคืนโดยไม่ได้กินอาหารอร่อยๆ ติงซือเย้านายกลับไปกับพวกเขา กลับไปที่ค่ายตวนและไปขอบคุณตวนเจียงเหว่ยด้วยตัวเองต่อหน้า”
“อ่า—-?” ติงซือเย้าตะลึง ชี้นิ้วใส่ตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ผมเหรอครับ?”