Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 594 งานระดับเล็กๆ ฉันไม่ทำ
ในขณะเดียวกันทีมกุ้งเสือดำที่หนีมาจากที่กักขังได้ ฟานเจี้ยนที่มาที่ค่ายเจียนอี๋ได้แอบย่องเข้าไปในห้องทำงานของหลูอี๋เงียบๆ เขาเป็นวิวัฒนาการระยะ 6 ที่ลอบเข้ามาตัวคนเดียว มันจึงง่ายที่จะไปไหนมาไหน แม้แต่การลอบเข้ามาผ่านมาตราการป้องกันที่เข้มงวดอย่างนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ถึงการมาของเขาเลย
ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขายังเดินผ่านชูฮันไปถึงสองครั้งอีกด้วย ชูฮันซึ่งมีความสามารถของวิวัฒนาการระยะ 4 เท่านั้นทำให้การรับรู้ของชูฮันยังไม่สูงมากพอที่จะตรวจจับเขาได้ และเพื่อที่จะยืนยันสิ่งนี้ ฟานเจี้ยนจึงย้อนกลับไปอีกรอบเพื่อทดสอบชูฮัน
และเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าชูฮันไม่รับรู้ถึงการมาของตัวเขา ฟานเจี้ยนก็อยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นจนคลั่ง ข้อห้ามสูงสุดของเขาก็คือชูฮัน แต่แม้แต่ชูฮันก็ยังไม่รับรู้ถึงการมาของเขา แล้วใครที่ไหนในจีนจะรู้อีก? ไม่มีใครควบคุมเขาได้?
ฮ่าฮ่าฮ่า!
อย่างไรก็ตาม แผนการของเขายังต้องดำเนินการต่อ ท้ายที่สุดฟานเจี้ยนไม่เคยทำงานของเขาพลาด แม้ว่าเขาจะเมาหรืออะไรก็ตาม เขาจะทำงานของเขาให้สำเร็จเสมอ
เพราะฉะนั้น เมื่อฟานเจี้ยนเข้าไปในห้องทำงานของหลูอี๋คนเดียว หลูอี๋ที่กำลังนั่งทำงานอยู่อย่างตั้งใจก็งุนงง คนคนนี้เป็นใคร? เข้ามาได้ยังไ? เข้ามาตอนไหน? ทำไมเขาไม่รับรู้เลย? เป็นผีเหรอไง?
“สวัสดี” ฟานเจี้ยนเอ่ยทักหลูอี๋อย่างสุภาพ
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้มองเห็นรอยย่นบนหน้าผากมากมายของหลูอี๋ได้ มันแสดงถึงความประหลาดใจ ในมือซ้ายของหลูอี๋ถือข่าวล่าสุดจากทีมลาดตระเวนซึ่งส่วนใหญ่จำเป็นข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อของตำแหน่งกองกำลังต่างๆ และที่เหลือก็จะเป็นการเคลื่อนไหวและความวุ่นวายทั้งหลายรอบๆค่ายขนาดเล็กต่างๆ ขณะในมือข้างขวายังคงถือปากกาอยู่ ที่ด้ามปากกาของหลูอี๋มีปุ่มที่แทบมองไม่เห็นอยู่ ถ้าหลูอี๋เพียงแค่กดปุ่มนั้นเบาๆสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดของค่ายจะดังขึ้นทันที เหล่าทหารคุ้มกันจากทั่วทุกจุดในค่ายจะวิ่งเข้ามาในห้องทำงานของเขาเพื่อทำการช่วยทันที
และในจังหวะที่ฟานเจี้ยนปรากฏตัวขึ้น หลูอี๋ได้กดปุ่มไปแล้วโดยความเร็วราวกับสายฟ้า!
แต่เมื่อได้เห็นภาพชายหนุ่มที่ดูสุภาพและเอ่ยทักทายเขาอย่างมีมารยาท หลูอี๋ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในใจ อย่างไรการถ่วงเวลาก็เป็นเรื่องที่ดี ทหารคุ้มกันของเขาต้องใช้เวลากว่าจะมาถึง ก่อนอื่นเขาต้องถ่วงเวลาไว้ให้ได้ก่อน
หลูอี๋นั่งนิ่งไม่ขยับจากท่าทางเดิมเลยสักนิด เขามีท่าทีลังเลก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณ?”
ฟานเจี้ยนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “สวัสดีพลโท ฉันชื่อราชานักล่า ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะจะรู้จักชื่อฉันจากรายชื่อของเสาหินแล้ว?”
“คุณคือ ราชานักล่า งั้นเหรอ?!” ทันทีที่เสียงตกใจของหลูอี๋ดังขึ้น——-
“ปัง!”
ทันใดนั้นประตูก็ถูกกระแทกเปิดออกขัดจังหวะการสนทนาระหว่างทั้งสองคน หน่วยทหารคุ้มกันจำนวนมากพุ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ อาวุธพร้อมในมือ สีหน้าขึงขังและเหี้ยมโหดอย่างพร้อมจัดการกับศัตรู
“ท่าน?”
“ผู้ชายคนนี้คือใคร?
“จับมัน! มันลักลอบผ่านการป้องกันเข้ามาในนี้ได้ เจตนามันต้องไม่ดีอย่างแน่นอน!”
“ทุกคน!”
“ครับท่าน—-“
“เงียบ!” หลูอี๋ตะโกนสั่ง “มันไม่มีอะไร พวกคุณออกไปได้”
หลังจากได้ยินคำสั่งของหลูอี๋ ทหารคุ้มกันมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ระดับสูงเกือบ 50 คนที่รีบเร่งเข้ามาก็ตะลึงค้าง
“ท่านครับ? แต่คนคนนี้ไม่ใช่คนของค่ายเรา และทหารของเราก็ไม่มีใครได้รับการแจ้งเตือนถึงการเข้ามาของบุคคลภายนอกเลย ผู้ชายคนนี้เป็นบุคคลอันตราย!” หัวหน้าทหารคุ้มของกองทัพอดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลูอี๋ “ท่านครับ ท่านถูกข่มขู่อยู่รึเปล่าครับ? การแจ้งเตือนสูงสุด——“
“นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ พอมันตกลงพื้น ปุ่มก็เลยถูกกด” หลูอี๋หยุดคำพูดของหัวหน้าทหารคุ้มกันเอาไว้ “จริงๆ มันเป็นความผิดพลาดของฉันเอง ทุกคนทำงานหนักมาก ต้องขอโทษด้วย”
แม้จะไม่เข้าใจและอึดอัด หากหัวหน้าทหารคุ้มกันก็ยอมแพ้และเดินออกไปตามคำสั่ง แต่พวกเขาทุกคนก็ยังคงทำรออย่างกังวลอยู่หน้าห้องทำงานของหลูอี๋ไม่ไปไหน ปฏิกิริยาของท่านหลูอี๋ดูแปลกมากๆ พวกเขาหลายคนยังคงเชื่อว่าหัวหน้าของพวกเขาอาจจะถูกควบคุมอยู่
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลุ่มทหารคุ้มกันออกไปจากห้องทำงาน ภายในห้องก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“คุณคือราชานักล่า?” หลูอี๋ตื่นเต้นมาก “ฮ่าฮ่า ก่อนหน้านี้มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นกันนะ มาเถอะ มานั่ง”
เมื่อได้สีหน้าของหลูอี๋ ฟานเจี้ยนก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “ไม่คิดจะยืนยันตัวตนของฉันเหรอ?”
“ถ้าคนอื่นๆใช้วิธีการแจ้งเตือนแบบปกติเพื่อมาบอกว่าพวกเขาคือราชานักล่า ฉันคงไม่เชื่อ” หลูอี๋กระพริบตา “แต่คุณสามารถผ่านการป้องกันอย่างเข้มงวดของค่ายเจียนอี๋มาได้ และเดินเงียบๆเข้ามาฉัน แถมฉันถึงพึ่งจะรู้ตัวตอนคุณมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว 5 เมตร เพราะฉะนั้นถึงแม้คุณจะไม่ใช่ราชานักล่ามันก็ไม่สำคัญ แน่นอนว่าฉันเลือกที่จะเชื่อว่าคุณคือราชานักล่า”
“ความคิดชัดเจนมาก!” ฟานเจี้ยนเอ่ยชมหลูอี๋อย่างไม่ปิดบัง “เพราะงั้นคุณก็เลยกดปุ่ม เพราะคิดว่าฉันเป็นศัตรูงั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าความจริงคือมีคนมากมายที่อยากจะฆ่า” หลูอี๋ยิ้มบางๆ ความคิดของเขากลับคืนสู่สภาวะปกติแล้วหลังจากเจอกับความตกใจไปก่อนหน้านี้
“คุณคือผู้นำของค่าย?” ฟานเจี้ยนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถ้างั้นฉันจะพูดตรงๆเลยแล้วกัน”
“เชิญ” ตาของหลูอี๋เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “คุณมาหาผมถึงที่อย่างนี้ ต้องการจะเข้าร่วมกับค่ายเจียนอี๋หรือต้องการให้ผมช่วยอะไรล่ะ?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ฟานเจี้ยนทำให้หลูอี๋ประหลาดใจอีกครั้งกับคำตอบ “ฉันแค่มาเพราะต้องการถามคุณต้องการจ้างฉันทำงานแลกกับเงินมั้ย? ถึงอย่างไรแล้วคุณก็เป็นถึงพลโท แม้ว่าคุณจะมีกองกำลังทหารมากมายใต้อำนาจ แต่มันก็มักจะมีเรื่องส่วนตัวที่มักจัดการได้ยากอยู่”
หลูอี๋ตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าฟานเจี้ยนจะพูดอะไรแบบนี้
“ไม่ต้องแปลกใจ” ฟานเจี้ยนโบกมือปัด “ฉันไม่อยากจะเข้าร่วมกับค่ายไหนทั้งนั้น ฉันไม่อยากจะต้องทำงานใต้ใคร ไม่อยากเข้าร่วมกองทัพ แต่ฉันก็จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ฉันมีเป้าหมายที่ไล่ตาม เพราะงั้นในฐานะนักล่าที่สามารถลักลอบเข้าไปในค่ายของคุณได้โดยไม่มีใครรู้ ฉันคิดว่าคุณน่าจะอยากจ้างฉัน”
“นักล่า?” อีกครั้งที่หลูอี๋ทวนคำตามฟานเจี้ยน เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงไอเดียที่กระโดดเข้ามาในหัว หากเขาก็พยายามระงับมันเอาไว้ และปรับสีหน้าการแสดงออกของตัวอีกครั้ง “ถ้าอยากจะให้มีคนจ้าง คุณควรจะไปตามค่ายทั่วไปไม่ใช่เหรอ? ข้างนอกนั่นมีความต้องการใช้งานนักล่ามากมาย ฉันว่า——“
“ฉันไม่สนใจพวกงานระดับเล็กๆพวกนั้น!” ฟานเจี้ยนแทรกหลูอี๋ขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “ถ้าไม่มีเงินจ้างให้ฉันเกินตามเกณฑ์ของฉันละก็ ไม่มีทางที่ฉันจะรับงาน!?”