Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 689 ซอมบี้มากกว่า20ล้านตัว
ตอนที่ 689 ซอมบี้มากกว่า20ล้านตัว
ชูฮันเยาะเย้ยใส่สัตว์ประหลาดที่คล้ายกับแรดยักษ์
แต่เดิม เขาคิดว่าในการทดสอบการต่อสู้โดยรวมหรือในโลกคู่ขนาน สัตว์ประหลาดทั้งหลายนั้นต่างก็ไร้สมองทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรแล้ว ทั้งความผิดปกติของเสาหินที่ปรากฏตัวขึ้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายตั้งแต่การทดสอบของระยะ 1 จนถึงระยะ 5 ไหนจะกฏการฆ่าที่เปลี่ยนไปตามการจัดอันดับ มันทําให้ผู้คนรู้สึกว่าเสาหินนั้นเต็มไปด้วยอันตราย
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองจากจิตใต้สํานึกของหลั่งไคทําให้ฉันได้ความคิดใหม่ สัตว์ประหลาดทุกตัวแตกขยายมาจากสายพันธุ์ดั่งเดิมงั้นเหรอ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น สัตว์ประหลาดพวกนี้มาจากไหน?
อย่างน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่มีอยู่จริง
ในตอนนั้นเอง หวังไคก็เริ่มรู้สึกตัว “มันยังเร็วไปที่จะด่วนสรุป เรากลับไปมันมั้ย? มันอาจจะกลายเป็นแค่เสือหรือสัตว์อะไรก็ได้”
“ฉันสะบัดมันหลุดมันออกมาแล้ว ไม่ทันแล้วล่ะ” ชูฮันเอ่ยอย่างเรียบๆ ความสงสัยนี้ถูกฝังแน่นไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว ขณะยังคงรักษาฝีเท้าเอาไว้เหมือนเดิม
เงื่อนไขของการประเมิณนี้ไม่ใช่แค่ต้องหาทางออกเท่านั้น แต่ยังต้องฆ่าสัตว์ประหลาดทุกตัวในเขาวงกตนี้ให้หมดด้วย ถ้าคนทั่วไปคงจะใช้เวลาประมาณสามคืนสามวัน แต่ชูฮันมีอีกวิธี..
ในขณะที่ชูฮันกําลังเผชิญกับการทดสอบการต่อสู้โดยรวมที่ยากที่สุดของเสาหนิน สมาชิกทีมกุ้งเสือดําด้านนอกก็กําลังเหงื่อแตกกับการวิ่งตามหลังเสาหินที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนเหนี่อยล้า
“กัปตันครับ เราไม่สามารถตามมันได้ทัน!” ทหารคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะทํายังดีเอ่ยขึ้น พวกเขาทั้งหมด 50 ล้วนเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่กันหมด ความเร็วของพวกก็เร็วพอควรแต่หลังจากการฝึกตลอดสองสามวันก่อหน้านี้ ประกอบกับการไล่ตามเสาหินที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่หยุดนี้ มันจึงไม่แปลกที่ทุกคนจะเหนื่อยล้าจนหมดแรงจะไล่ตาม
เสี่ยวเคินเองก็เหงื่อแตกและเหนื่อยหอบเหมือนกัน เขาได้แต่มองตามเสาหินที่เริ่มห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ความกังวลและความรู้สึกไร้พลังจู่ๆก็ปะทุขึ้นในใจของเสี่ยวเคิน
พวกเขาวิ่งตามมันมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้ทั้งทีมเขาเหนื่อยล้ากันสุดขั้นแล้ว แม้ทุกคนจะวิ่งตามด้วยความเร็วสูงสุดของตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถไล่ตามเสาหินได้ทัน แถมเสาหินยักษ์นี้ก็ยังเคลื่อนตัวห่างจากพวกเขาไปไกลขึ้นเรื่อยๆทุกขณะจนแทบจะหายไปจากระยะสายตาแล้ว
ในตอนนี้พวกเขาวิ่งกันมานานและไกลเกินกว่าจะกลับไปที่เดิมได้
” ฉันว่า” จางโบฮั่น ผู้หญิงเพียงคนเดียวในทีมกุ้งเสือดํารีบวิ่งมาที่ด้านข้างของเสี่ยวเคินที่นําหน้าอยู่พร้อมกับหอบหายจและเอ่ยขึ้น “เราเหมือนจะลืมเรื่องหนึ่งไป”
“อะไร?” เสี่ยวเคินประหลาดใจและรีบถามกลับทันที
“ดูสภาพแวดล้อมรอบๆคุณสิ” แววตาของจางโบฮั่นมีความกลัว “เรากําลังมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง!”
ทั้งทีมหยุดวิ่งทันที สมาชิกทีมกุ้งเสื้อดําทั้ง 50 คนสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมรอบๆด้วยความตกใจกลัว มันมีอาคารบ้านหลายหลังรอบๆพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้เข้าสู่พื้นที่ของตัวเมืองแล้ว
“โอ้ไม่” เสี่ยวเคินเริ่มกังวล “เราเอาแต่ไล่ตามเสาหินมาโดยไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมโดยรอบเลย นี้เราเริ่มเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว เราไม่สามารถระบุได้ว่าข้างหน้าเป็นเมืองใหญ่ขนาดไหน มันจะมีซอมบี้มากขนาดไหนในตัวเมือง เราซวยแล้ว”
“ซอมบี้ธรรมดามันไม่ได้น่ากลัวอะไร เราทําการฝึกเพื่อที่จะรับมือกับซอมบี้จากหัวหน้ามากันเยอะแล้ว” จางโบฮั่นนิ่วหน้า ” ที่ฉันกลัวคือเราอาจจะเผชิญหน้ากับซุปเปอร์ซอมบี้เข้าได้”
“ที่สําคัญคือในกรณีเราจําเป็นต้องไปตามเสาหินต่อไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราจะให้ปล่อยมันหนีไปไม่ได้ เพียงแค่นึก กวนผิงก็ปวดหัวแล้ว
” ฉันกลัวว่ามันจะสายไปแล้ว” หวังหลิงที่พึ่งเข้าร่วมทีมใหม่ๆพูดขึ้น เขาพึ่งวิ่งกลับมาหลังจากรับผิดชอบการลาดตระเวน สูดลมหายใจลึก หน้าตาตึงเครียด “เสาหินหายไปแล้วครับ”
เสี่ยวเคินตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองหวังหลินที่รายงานทันที เมื่อครู่เขายังเห็นภาพเสาหินอยู่เลย แค่เสี้ยววินาทีเสาหินกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ทันใดนั้น ทีมทั้งเสือดําก็ตกอยู่ในภวังค์ สัมผัสของปัญหาใหญ่ที่กําลังจะตามมาเกิดขึ้นในใจของทุกคน พวกเขาคลาดหายจากท่านหัวหน้าไปแล้วจริงๆ
“เดียว มันมีคําบางอย่างเขียนอยู่!” ทันใดนั้น จางโบฮั่นก็ชี้ไปที่ภาพตรงหน้า ตาเบิกกว้างอย่างตกใจ “เมืองหนานเทียน นี้มันอะไร?”
เสี่ยวเคินเงยหน้าขึ้นมองตาม แต่แล้วเขาก็รีบยิ้มออกมาทันที “ถ้าเรารู้ว่าเราอยู่ที่ไหนแล้วละก็ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป”
เมืองหนานเทียน เป็นเมืองเล็กๆใกล้กับหนานตู้ ซึ่งมีประชากร 25 ล้านคนอาศัยอยู่ในยุคศิวิไลซ์ ส่วนจํานวนของซอมบี้ในยุคโลกาวินาศ…
มหาศาล!
เมื่อรู้สถานการณ์ที่ต้องเผชิญแล้ว ทีมกุ้งเสือดําก็เงียบสนิททุกคน ความรู้สึกท้อแท้ผุดขึ้นในใจ ซอมบี้มากกว่า 20 ล้านตัว?
จะบ้าตาย!
“หรือ?” จางโบฮั่นเสนออย่างกังวล “เราไปที่ค่ายผู้รอดชีวิตทางใต้เพื่อขอความช่วยเหลือ”
“ค่ายผู้รอดชีวิตทางใต้กับค่ายหนานตู้นั่นอยู่คนละเส้นทางกันเลย” เสี่ยวเคินยิ้มและส่ายหัว “และค่ายหนานตู้ก็เป็นค่ายผู้รอดชีวิตเป็นทางการที่ใหญ่อันดับที่สองของจีน ซึ่งตําแหน่งของมันอยู่ไกลจากตัวเมืองอย่างมาก พวกเขาต้องตั้งอยู่กลางป่าลึกเพื่อหลีกเลี่ยงซอมบี้จากตัวเมือง หัวหน้าประเมิณเอาไว้ว่าในตัวเมืองหนานตู้จะต้องมีซอมบี้มหาศาลอย่างแน่นอน เราถึงต้องเดินทางอ้อมกัน”
เฮือก!
กวนผิงกลืนน้ำลายอีก “แล้วการไล่ตามก่อนหน้านี้?”
เสี่ยวเคินมีสีหน้ากังวล เขาหันกลับมองถนนด้านหลัง โชคดีที่หลูปิงเซ่อคนอ่อนแอไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ทุกคนคงวิ่งเข้าไปในเมืองที่มีซอมบี้มากกว่า 20 ล้านตัวโดยไม่รู้ตัวและคงจะตายทันที!
“เป้าหมายของเราคือเมืองหนานตู้!”
ฟรึบ!
สมาชิกทีมกุ้งเสือดําทั้ง 50 คนเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อีกครั้งที่พวกวิ่งไปข้างหนานอย่างเป็นขบวนไปที่เมืองหนานตู้ ซึ่งมีซอมบี้มากกว่า 20 ล้านตัว
ฟานเจี้ยนและหลูปิงเซ่อที่ได้นอนหลับเต็มอิ่มค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ฟานเจี้ยนลืมตาขึ้นก่อน เขาหาวขณะชื่นชมภาพพระอาทิตย์กําลังตกดินที่ไกลออกไป ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ มันเงียบเกินไป เงียบจนผิดปกติ
พรึบ!
ฟานเจี้ยนผุดลุกขึ้นนั่งทันที และก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เต้นท์นอนและทหารทีมกุ้งเสือดําทั้งหลายหายไป หม้อ กระทะที่ทําอาหารกินก่อนหน้านี้ก็ไม่มีร่องรอยทิ้งเหลือไว้เลย ทุกอย่างหายวับไปหมดอย่างไร้ร่องรอย
“เกิดอะไรขึ้น?!” ฟานเจี้ยนแหกปากลั่นทันที เขาจ้องเขม็งไปที่แม่น้ำตรงหน้าที่ก่อนหน้านี้แยกเป็นสองสาย
“โอ้ย แหกปากอะไร?” หลูปิงเซ่อคลานออกมาจากเต้นท์นอนของตัวเองอย่างลืมตาไม่เต็มที่ ทันใดนั้นเขาก็ต้องเบิกตาโพลง อ้าปากค้าง อย่างน่าตลก
“มันก็ถนนเส้นเดิม หรือว่าเราติดอยู่มิติที่ไม่รู้จัก?” ฟานเจี้ยนกระพริบตาอย่างมึนงง ” หรือทั้งโลกเปลี่ยนไปอีกแล้วเมื่อตอนที่เราหลับ?”
หลูปิงเซ่อที่กําลังจะพูด ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ามันมีอะไรอยู่ที่ก้นเขา และเมื่อก้มไปดูก็เจอหินก้อนหนึ่งที่คําพูดโดยใช้มีดกรีดเอาไว้ ซึ่งมันคือลายมือของเสี่ยวเคิน..เจอกันที่ค่ายหนาน