Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 959 ทำลายให้หมด
เถ้าแก่เจ้าของร้านหยุดชะงักนิ่งค้างอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่ายทันทีอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อซ้ายมือของเถ้าแก่คือลูกค้าในเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวที่เข้ามาก่อน ฝั่งขวาคือกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายึดทั้งร้านอย่างประกาศอำนาจ ไม่ว่าจะเลือกฝั่งไหนก็จะต้องมีคนไม่พอใจ
ตอนนี้เถ้าแก่เจ้าของร้านยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูกไปแล้วเรียบร้อยและทันใดนั้นเองชายในชุดดำที่เข้ามาก่อนก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆทว่ามันทำให้เห็นสรีระร่างกายที่แสดงถึงความแข็งแรงอย่างชัดเจน มีพลังงานดุดันที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของชายผู้นี้ นัยน์ตาสีดำมืดสนิทราวกับน้ำหมึกผสมความอันตราย
”ไม่เห็นเหรอไงว่ากูอยู่นี้ก่อน?จะเหมาทั้งหมด? กูมาก่อนเว้ย!” ชายหนุ่มในชุดสีดำสนิททั้งตัวตะคอกเสียงดังอย่างไม่พอใจ เสียงของเขาดังออกไปถึงนอกร้าน ทำให้เหล่าชาวบ้านที่ถนนต่างหยุดชะงักด้วยความตกใจและเมียงมองเข้ามาในร้านด้วยความสงสัย
หลังจากที่ชายชุดดำพูดออกมาชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่มาที่หลังก็อารมณ์เดือดขึ้นมาทันที เขาตบฝ่ามือลงกระแทกโต๊ะดังลั่น
”ตึง!”
โต๊ะไม้ที่ถูกฟาดอย่างแรงจนแตกหักคาที่เสียงดังก้องไปทั่วทั้งร้าน ตามมาด้วยน้ำเสียงเดือดดาลที่แสดงออกถึงอารมณ์รุนแรงของผู้พูด “มึงคิดว่ามึงเป็นใคร? พวกเราคือทหารจากกองทัพส่วนตัวของพลเอกจงไค!”
เถ้าแก่เจ้าของร้านมองโต๊ะถูกทำลายตรงหน้าด้วยความตกใจเถ้าแก่ร้านไม่กล้าจะสบตาใครหรือส่งเสียงใดๆออกมาด้วยความหวาดกลัว แค่คำว่ากองทัพส่วนตัวของพลเอกจงไคก็มากพอแล้วที่จะทำให้เถ้าแก่กลัวแทบตาย และก็เป็นอย่างที่คิดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา มันเป็นเรื่องใหญ่แล้ว! ตอนนี้ใครจะไม่รู้ว่าอารมณ์ของพลเอกจงไครุนแรงขนาดไหน?
เถ้าแก่ร้านที่ไม่ต้องการให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิมรีบหันหน้าไปหาชายหนุ่มในชุดสีดำที่มาคนเดียวทันทีเถ้าแก่ร้านคิดว่าชายหนุ่มจะต้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเป็นแน่
แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะนอกจากชายหนุ่มจะไม่ตกใจเพราะคำประกาศของอีกฝ่ายแล้ว แต่ยังแสยะยิ้มออกมาและ——
”ปั่ก!”จู่ๆชายหนุ่มก็ต่อยหมัดใส่กำแพงด้านข้าง ผนังปูนเกิดรอยแตกร้าววิ่งเป็นเส้น จากนั้นก็เริ่มมีเศษปูนทยอยหล่นตกลงพื้น เศษฝุ่นดินฟุ้งในอากาศ ทั้งร้านสั่นสะเทือนไปมาราวกับมีแผ่นดินไหว
ความวุ่นวายเบาๆเกิดขึ้นรอบๆทันทีหลายคนมีท่าทางหวาดกลัวและรีบวิ่งหนีออกไปนอกร้าน
กลุ่มทหารที่อ้างว่าเป็นทหารจากกองทัพส่วนตัวของพลเอกจงไคเองก็ช็อคสายตาจับจ้องไปที่ชายในชุดดำตรงหน้าด้วยเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่ชัดเจน
”กองทัพส่วนตัว?”ชายชุดดำเอ่ยทวนคำด้วยท่าทางเดือดดาล เขาไม่สนใจฝุ่นควันที่ตลบอบอวลในอากาศ หากคำรามเสียงดังสนั่นใส่อีกฝ่าย “จงไค? นี้มันเองก็มีกองทัพส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ?!”
”มันต้องเป็นทหารจากฝั่งพลเอกจงคุยแน่!”มีเสียงหนึ่งจากฝั่งตรงข้ามดังขึ้นมา นายทหารที่อ้างว่าเป็นคนของพลเอกจงไคชี้นิ้วใส่ชายชุดดำที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางไมเ่ป็นมิตร
”ฉันไม่ได้พูด”ชายในชุดดำเหลือบตามองคนที่ชี้นิ้วใส่ รังสีอำนาจที่แผ่ออกมานั้นประกาศแจ้งว่าเขาไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่ายที่มีจำนวนคนมากกว่าเลย
”อย่ามาเล่นลิ้น!”เหล่าทหารจากกองทัพส่วนตัวของพลเอกจงไคตะโกนลั่นก่อนจะรุมเข้าใส่ชายหนุ่มชุดดำทันที…กล้าลองดีกับพวกเขางั้นเหรอ! ”ปั่ก!ปั่ก!” เสียงต่อสู้ดังขึ้นภายในร้านอาหารเล็กๆ โต๊ะเก้าอี้ทั้งหลายในร้านพังทลายเละเทะไปหมดอันเป็นผลมาจากการต่อสู้ตะลุมบอนของทั้งสองฝ่าย
เถ้าแก่ร้านได้แต่ยืนร้องไห้อย่างไม่สามารถทำอะไรได้เลยเขามีเพียงแค่ร้านนี้เท่านั้นที่ใช้ดำรงชีวิตในค่ายจินหยาง ครอบครัวของเขาสามารถอยู่รอดในโลกาวินาศได้เพราะอาศัยการทำมาหากินด้วยร้านอาหารนี้ แต่วันนี้เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้ามาในร้านและต่อสู้กันจนร้านของเขาพังไม่เหลือชิ้นดี…มันก็เหมือนกับตัวเขาและครอบครัวที่โดนทำลายไปด้วย
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่จนข้าวของพังระเกะระกะเกลื่อนไปหมดจนไม่มีพื้นที่ให้ยืนพวกเขาเลยวิ่งออกไปสู้กันต่อที่ถนนด้านนอกแทนและขยับออกห่างไกลขึ้นไปเรื่อยๆ สถานการณ์รุนแรงขึ้นจนเหนือการควบคุม
”เถ้าแก่เถ้าแก่โอเครึเปล่า?” ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาร้านพร้อมตะโกนถามเถ้าแก่ด้วยความเป็นห่วง
เถ้าแก่ได้ทรุดลงไปอยู่ที่พื้นท่ามกลางสภาพร้านที่ไม่เหลือชิ้นดีเถ้าแก่ร้านกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์โศกเศร้าและหดหู่ เขาได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวังต่อชีวิต “ร้านของฉัน! นี่คือทั้งชีวิตของครอบครัวฉัน!!!”
ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่ได้เคลื่อนที่มาจนถึงเส้นที่ลึกที่สุดของถนนแล้วพวกเขาไล่ตามกันจนออกห่างพื้นที่ที่มีบ้านเรือนอยู่ไปไกลขึ้นเรื่อยๆทำให้เกิดคำถามในใจของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์…แล้วตอนแรกมาสู้กันในร้านทำไม ทำไมไม่ออกไปสู้กันข้างนอกตั้งแต่แรก?
ทันใดนั้นก็มีเสียงถอนหายและเสียงบทสนทนาของความเบื่อหน่ายดังขึ้นมาภายในร้านของเถ้าแก่จากชาวบ้านทั้งหลายที่มามุงดู
”เรื่องไร้สาระเพราะสองพ่อลูกนั้นกลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะเรื่องโง่ๆ!”
”ตอนแรกมันเป็นแค่เกมแย่งชิงอำนาจที่หนึ่งซึ่งก็ยังไม่ได้ส่งผลต่อคนในค่ายแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว นี้มันส่งผลต่อทุกคนในค่ายโดยตรง”
”วันนี้ไอ้พวกนั้นมันทำลายบ้านเรือนตามถนนโดยไม่สนใจใยดีพวกเราถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราจะยังอยู่ในค่ายจินหยางต่อไปได้อีกเหรอ?”
”ไอ้พวกมนุษย์สายพันธุ์พวกนี้เพราะพลังของมันถึงสร้างปัญหาไปทุกที่ พวกมันเคยชินกับการอยู่เหนือคนอื่น มีอำนาจเหนือคนอื่น แถมตอนนี้ในค่ายจินหยางยังไม่มีผู้กุมอำนาจที่แท้จริง สันดานที่แท้จริงของพวกมันเลยเผยออกมา!”
”ทุกอย่างเป็นเพราะการมีตำแหน่งพลเอกสองตำแหน่งในค่ายเดียวกันการทำมาหากินของชาวบ้านหลายคนต้องปิดลงเพราะการแก่งแย่งอำนาจของสองพ่อลูกที่แบ่งแยกเขตอำนาจกัน ตอนนี้พวกเราไม่มีอะไรจะทำกินแล้ว จะใช้ชีวิตกันต่อไปยังไง!”
ขณะที่บทสนทนาที่เป็นการตำหนิดำเนินอยู่จู่ๆมันก็มีเสียงของคนแปลกหน้าดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “บ้านเรือนของชาวบ้านที่ถูกทำลายอันเป็นผลกระทบจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของสองพลเอก คนที่มีอำนาจควรจะรับผิดชอบสิ?”
”รับผิดชอบ?พูดก็ง่ายสิ!” เถ้าแก่ร้านอารมณ์ปะทุขึ้นมา เขายิ้มเยาะกับตัวเอง “เหอะ! พลเอกสองคนที่มัวแต่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน ไม่มาสนใจเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญสำหรับพวกเขาหรอก พวกเราไม่มีตัวตนในสายตาของพวกเขาด้วยซ้ำ”
”มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร?”น้ำเสียงที่ทุกคนไม่คุ้นเคยดังขึ้น ตามมาด้วยการพูดโน้มน้าวจูงใจ “เพราะผลกระทบจากการต่อสู้ของพวกเขา พวกเขาควรที่จะชดเชยให้คนในปกครองตัวเองสิ พลเอกมีหน้าที่ดูแลผู้คนจำนวนมาก ต้องชดเชยให้ชาวบ้านตามความรับผิดชอบสิ ทุกคนไม่ควรยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ เราต้องไม่ยอมถูดกดขี่และมองข้ามสิ ถ้าทุกคนออกมาเรียงร้อง เสียงเล็กๆของทุกคนรวมกัน ฉันเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางเมินเฉยต่อไปได้”
”ก็ดูสมเหตุสมผลนะ!”ทันใดนั้นชาวบ้านหลายคนก็เริ่มตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง หันไปมองยังทิศทางที่เป็นที่ตั้งของเมืองชั้นในที่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปเยือน
”ไปกันเถอะ…ไปเรียกร้องค่าชดเชยจากทั้งสองพลเอกกัน!”
”ใช่!ยิ่งพวกเราเจอปัญหาเพราะการกระทำของพวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็ควรชดเชยให้เรามากเท่านั้น!”
”ใครที่ให้ค่าชดเชยพวกเรามากสุดเราก็จะสนับสนุนคนนั้น!”
กลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันและมุ่งหน้าไปยังเมืองชั้นในของค่ายจินหยางเพราะถึงอย่างไรตอนนี้มันก็เป็นจุดจบของหลายๆคนอยู่แล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยพวกเขาก็ต้องอดอยากตายอยู่ดี เพราะฉะนั้นได้ลองสู้ดูสักครั้งก่อนจะตายก็ยังดีซะกว่า… ชายแปลกหน้าซึ่งเป็นคนที่ปลุกระดมความฮึกเฮิมของฝูงชนไม่ได้เดินตามไปด้วยเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆมองตามกลุ่มคนที่ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆพร้อมกับมีรอยยิ้มร้ายๆที่มุมปากปรากฏขึ้น จากนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันที่ตีขึ้นมาจากพื้น เห็นได้ชัดว่าคนแปลกหน้าคนนี้เป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่มีระดับสูงเลยทีเดียว!
เพียงห้านาทีให้หลังจากกลุ่มชาวบ้านที่เดินขบวนไปตามเส้นทางสู่เมืองชั้นในกลุ่มคนที่ต่อยตีกันในร้านอาหารของเถ้าแก่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของชายแปลกหน้าซึ่งเป็นคนพูดปลุกระดมชาวบ้าน
และทันทีที่มาถึงกลุ่มคนที่แสร้งทำเป็นต่อยตีกันต่อหน้าชาวบ้านก็รีบยืนตัวตรงเรียงแถวเป็นระเบียบ โค้งคำนับแสดงความเคารพต่อชายแปลกหน้าทันที “หัวหน้าครับ ภารกิจสำเร็จตามเป้าครับ ชาวบ้านกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองชั้นใน”
”ดีมากดำเนินตามแผนต่อไปได้ แสดงภาพลวงต่อไป ทำให้ผู้คนในพื้นที่ผู้ลี้ภัยและที่อยู่อาศัยทั่วทั้งค่ายเชื่อในภาพลวงตา ปลุกระดมให้ชาวบ้านก่อจลาจลภายในสามวัน!” ชายชุดดำเผยรอยยิ้มปีศาจอันเป็นเอกลักษณ์ ผ้าคลุมหัวที่ร่นลงมาเล็กน้อยเผยให้เห็นเสี้ยวใบหน้าที่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยได้เห็น ใบหน้าที่ใครก็ตามที่เคยเห็นไม่มีทางลืมได้ลง
ไม่ใช่ใครนอกจาก…ชูฮัน!