Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1003 คบชู้สู่ชาย?
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1003 คบชู้สู่ชาย?
“เข้ามาติดแหเองรึ ไม่แน่เสมอไป เด็กนี่สามารถเอาตัวรอดท่ามกลางการตามล่าของพวกเราจนถึงตอนนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้”
ราวไม่สังเกตเห็นไอสังหารของจางเจิง เสวี่ยเชียนเหินกล่าวพึมพำกับตัวเอง “สำหรับบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎ ไม่มีสักคนที่โง่เขลา เด็กนี่มาที่นี่เวลานี้ ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดพวกเราล้วนไม่อาจประมาท”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกไป คนส่วนมากล้วนลอบพยักหน้า
จากการไล่ล่าที่เมืองเพลิงมรกตจนถึงปัจจุบัน ผ่านเวลามาแล้วเกือบเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนี้ขุมอำนาจใหญ่เล็กทั่วแคว้นกู่ชางแทบจะถูกปลุกระดมสิ้น มุ่งหน้าดักซุ่มและจับตายเทพมารหลินนั่น
แต่จนป่านนี้อีกฝ่ายยังกระโดดโลดเต้นสุขสงบปลอดภัย
ตรงกันข้าม กลับเป็นพวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่สูญเสียผู้สืบทอดไม่น้อย แม้แต่ราชันกึ่งระดับชั้นยอดอย่างเหวินสิงโจวยังพลาดพลั้งถูกอีกฝ่ายทำบาดเจ็บ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่สมองปกติอยู่บ้างก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเทพมารหลิน!
“ทำไม หรือศิษย์พี่เสวี่ยคิดว่าเด็กนี่มาฆ่าพวกเรา” จางเจิงหัวเราะเยาะ “นี่น่ะเป็นเขตอิทธิพลของพวกเรา ต่อให้เขาเทพมารหลินแข็งแกร่งกว่านี้ ยังจะกล้าท้าทายพวกเราด้วยตัวคนเดียวหรือ”
เขาหยุดไปชั่วขณะแล้วเลียมุมปากกล่าว “หากพวกเจ้ากลัว เช่นนั้นมอบเด็กนี่ให้ข้าจัดการก็พอ เป็นขอบเขตมกุฎเหมือนกัน ข้ารู้ดีว่าควรจับตายเหยื่อนี่อย่างไร!”
“ข้าแค่เตือนทุกคนว่าอย่าประมาท” เสวี่ยเชียนเหินกล่าวเย็นชา “หลักการสุขุมรอบคอบกุมชัยหมื่นปี ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจกระมัง”
“ผู้แข็งแกร่งต้องมีจิตผงาดง้ำไร้คู่ต่อกร ไม่ว่าเขาเป็นภูตผีปีศาจอะไร ข้าใช้กระบี่เดียวพิฆาตก็พอแล้ว!” จางเจิงกล่าวอย่างจองหอง
“พูดส่งเดช หากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมา เจ้ายังสามารถใช้กระบี่เดียวพิฆาตได้หรือ” เสวี่ยเชียนเหินกล่าวราบเรียบ
“ศิษย์พี่เสวี่ย ท่านนี่เถียงข้างๆ คูๆ หากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันออกจู่โจมจริง แน่นอนว่าข้าจะเลี่ยงปลายดาบเขา แฝงเขี้ยวซ่อนเล็บ นี่เรียกว่าประเมินสถานการณ์แคล้วคลาดหายนะ!” จางเจิงแววตานิ่งสงบ ตอบโต้ไปมา
เห็นเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงกำลังจะขัดแย้ง อวี้เป๋าเป่าที่อยู่ด้านข้างรีบไกล่เกลี่ย
“เอาล่ะ ทุกคนต่างมาเพื่อจับตายเทพมารหลินนั่น ทำไมต้องทำลายสัมพันธ์ด้วยเรื่องนี้”
“เจ้าเด็กนี่เข้าเมืองมาแล้ว!”
เวลานี้นัยน์ตาเสวี่ยเชียนเหินฉายแววยะเยือก สังเกตเห็นบนคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์ว่ากลิ่นอายหลินสวินได้เข้าสู่เมืองแสงอุดรแล้ว
“ศิษย์น้องทุกท่าน โอกาสล่าเป้าหมายมาถึงหน้าประตูแล้ว พวกเรา…” เสวี่ยเชียนเหินสีหน้าจริงจัง กำลังออกคำสั่ง
กลับเห็นจางเจิงไม่รอเขาพูดจบก็แสยะยิ้ม เงาร่างพลันกลายเป็นรุ้งเทพสีเขียวโผออกจากโถง “ข้าจะนำไปก่อน พวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษาไปเถอะ!”
ทันใดนั้นเสวี่ยเชียนเหินสีหน้าขรึมลงทันที กลิ่นอายชวนประหวั่นไร้รูปแผ่กระจายจากร่างเขา ทำให้บรรยากาศในโถงพลันกดดันถึงขีดสุด
เห็นชัดว่าเขาถูกความเอาแต่ใจของจางเจิงยั่วโมโห
“ศิษย์พี่เสวี่ย ให้เขาออกปฏิบัติการก็ไม่เห็นเป็นไร ท่านเองก็รู้ ก่อนหน้าที่ส่งลี่จั้นหนานและหลิงหงจินทำภารกิจก็ทำให้เขาไม่พอใจมากแล้ว” อวี้เป๋าเป่ากล่าวเสียงอบอุ่น
“ในเมื่อเขารีบไปตายก็ปล่อยเขาไป!” เสวี่ยเชียนเหินเสียงเย็นชา
…
ห่างออกไปไกล สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่มหึมาหลังหนึ่งปรากฏในสายตา
เมื่อมาถึงที่นี่ใบหน้างามพริ้งเพราของหลิงหงจินกลับปรวนแปรอยู่บ้าง เห็นได้ว่าละล้าละลังและลังเลนัก
ขุมกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่รับผิดชอบจับตายเทพมารหลินครั้งนี้ บัดนี้ตั้งฐานมั่นในอาคารเก่าแก่ซึ่งห่างไกลนั่น
แต่หลิงหงจินกลับไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร
ปฏิบัติการก่อนหน้ากล่าวได้ว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ น่าอัปยศเหลือเกิน ลี่จั้นหนานถูกสังหาร เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็พินาศทั้งกองทัพ
แม้แต่นางก็ถูกศัตรู ‘ลบหลู่’ และ ‘หยามหน้า’ อย่างไร้ยางอาย
นี่ทำให้หลิงหงจินแทบไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร!
ศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่น่าเกรงขาม ผู้กล้าหญิงซึ่งเจิดจรัสหาใครเทียมในหมู่คนรุ่นเยาว์ บัดนี้กลับเผ่นแนบกลับมา ใช้ฐานะผู้พ่ายแพ้ทำการแจ้งข่าวและขอความช่วยเหลือ นี่…
จะให้หลิงหงจินที่นิสัยเย่อหยิ่งเสมอมาเอ่ยปากอย่างไร
บนท้องถนนคนสัญจรดั่งกระแสวารี ขวักไขว่คับคั่งคึกคักยิ่ง
เมื่อเดินผ่านหลิงหงจินที่สูงโปร่งอรชรซึ่งยืนนิ่งตรงนั้น ล้วนเกิดความรู้สึกอัศจรรย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ สงสัยใคร่รู้หาใดเปรียบ
ไม่อาจไม่พูดถึง สาวงามโสภาอย่างนางไม่ว่าอยู่ที่ไหนล้วนต้องดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
ฟุ่บ!
แต่เวลานี้เอง เงาร่างดุจรุ้งเขียวทะลวงเมฆเข้ามาและหยัดยืนบนอากาศ ทั่วร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสทำเอาลมเมฆเปลี่ยนสี
อานุภาพพลังของเขาฮึกเหิมยิ่ง ทั้งตัวราวกระบี่สมบัติไร้เทียมทานออกจากฝัก พลานุภาพดุดันหาใดเปรียบแผ่กระจาย ทำเอาท้องถนนพลันสับสนวุ่นวายทันที
“ศิษย์น้องจางเจิง? นี่เจ้าทำอะไร” หลิงหงจินได้สติ มองเงาร่างองอาจบนอากาศนั่นอย่างประหลาดใจ
“ศิษย์พี่หลิง? เหอะๆ ดูท่าท่านคงล้มเหลวในปฏิบัติการครั้งนี้ดังคาด”
บนอากาศจางเจิงหัวเราะลั่น ผมยาวกระเซิงแผ่สยาย นัยน์ตาวาบประกายสายฟ้าสีม่วงเป็นสายๆ คมปลาบบสยบผู้คน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลิงหงจินในใจสั่นสะท้าน ดวงหน้างามพลันเปลี่ยนแปร คิดว่าเรื่องที่ตนประสบความอัปยศถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว
“เทพมารหลินเข้าเมืองมาแล้ว เรื่องนี้ยังปิดใครได้อีกหรือ”
จางเจิงยิ้มเยาะ “ศิษย์พี่หลิง การที่ภารกิจล้มเหลวข้ารู้ว่าทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะปลิดชีพเทพมารหลินนั่นด้วยตนเอง กอบกู้หน้าตาให้ท่าน!”
เทพมารหลินเข้าเมืองมาแล้ว?
หลิงหงจินแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
นางเพิ่งคิดเอ่ยปากซักถามก็เห็นจางเจิงพลันแผดเสียงตะโกน “เทพมารหลิน ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาสู้สักตั้ง ข้าจางเจิงจะส่งเจ้าเข้าสู่ความตายด้วยตนเอง!”
เสียงกึกก้องดั่งฟ้าคะนอง สะท้อนเหนือนภาเมืองแสงอุดร ทำเอาห้วงอากาศพังทลาย
“อะไรนะ เทพมารหลิน?”
“สวรรค์! เจ้าปีศาจนี่ซ่อนอยู่ในเมืองแล้ว!”
บนท้องถนนเสียงอื้ออึงไม่ขาดสาย อลหม่านวุ่นวาย ถนนที่เดิมขวักไขว่คับคั่งไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นซบเซา
ซ่า…
ขณะเดียวกันพลังจิตรับรู้ของจางเจิงแผ่ขยาย ประหนึ่งกระแสวารีแผ่ลามทั่วทิศ
เขาไม่ห่วงว่าหลินสวินจะหนี ขอแค่อีกฝ่ายกล้าหนีก็ไม่พ้นเนตรธรรมของเขาแน่!
“ทำไมเป็นอย่างนี้…” หลิงหงจินเหม่อลอย
เวลานี้เองนางพลันสังเกตเห็นว่าใกล้ๆ นั้นมีคนเข้าประชิด ยังไม่รอให้นางตอบสนอง บนบ่าก็ถูกมือใหญ่หนึ่งกดไว้แน่นหนา
ทั่วร่างหลิงหงจินพลันแข็งทื่อ กำลังหมายจู่โจมกลับ แต่เมื่อเห็นเจ้าของมือใหญ่นั่นก็ทำให้ใบหน้างามของนางซีดเผือด เปล่งเสียงกรีดร้องราวเห็นผี
ต่อให้ตายนางก็คิดไม่ถึงว่าจะพบมารร้ายไร้ยางอายที่นี่
คนผู้นั้นสวมชุดขาวพระจันทร์ ใบหน้าหมดจด เงาร่างสูงสง่าเหนือโลกีย์ เป็นหลินสวินที่ตามมาตลอดทางนั่นเอง
บัดนี้เขายืนเคียงไหล่หลิงหงจิน มือข้างหนึ่งวางบนบ่าละมุนของนาง ดูเหมือนสนิทสนมนัก
แต่มีเพียงหลิงหงจินที่รู้ว่ามือข้างนี้แผ่พลังน่าสะพรึงระดับใด ทำให้พลังทั้งตัวนางถูกกักขังชั่วพริบตา ล้วนไม่อาจดิ้นรนแต่แรก!
ขณะเดียวกันจางเจิงที่อยู่เหนืออากาศสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สายตาดั่งอสนีทอดมองลงมา พริบตาก็เล็งเห็นเงาร่างหนึ่ง
“เป็นเจ้าดังคาด กล้าดีนี่! ไม่เสียแรงที่ข้าออกศึกด้วยตัวเอง” จางเจิงสีหน้าหยิ่งผยอง บนร่างจิตต่อสู้พรั่งพรูดุจเปลวเพลิง
“ข้าหวังดีปล่อยเจ้าไป แต่เจ้ากลับหลอกข้า นี่ทำให้ข้าโมโหนัก” หลินสวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยกระซิบข้างหูหลิงหงจิน
เนื่องจากระยะห่างใกล้กันมาก ไออุ่นจากปากผ่านเข้าใบหู ทำเอากกหูฝ่ายหลังแดงไปหมด
แต่รสเยียบเย็นในคำพูดของหลินสวินกลับทำให้นางแข็งทื่อ หนาวสั่นไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
นางรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าน่ากลัวขนาดไหน สามหมัดก็จู่โจมสังหารลี่จั้นหนาน พลังต่อสู้แม้แต่ในหมู่มกุฎมรรคาล้วนเรียกได้ว่าวิปริตพลิกฟ้า
อีกทั้งเขาไม่รู้จักหวั่นเกรงอะไร อหังการไม่หวาดกลัว เพื่อบรรลุเป้าหมาย วิธีการไร้ยางอายและต่ำทรามอันใดล้วนสามารถสำแดงออกมา
บัดนี้ถูกฝ่ายตรงข้ามควบคุมอีกครั้ง ทำให้หลิงหงจินมีความรู้สึกพังทลายอย่างหนึ่ง
“พวกเจ้า…” บนอากาศจางเจิงชะงักงัน ประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง เขาเห็นอย่างไรรู้สึกอย่างนั้น หลินสวินและหลิงหงจินดูเหมือนว่าสนิทกันมาก
“แม่นางหลิง ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามากที่นำทาง หากไม่ได้เจ้าข้าคงไม่อาจรู้ว่าที่นี่มีพวกระยำคิดสังหารข้าจนทนไม่ไหวมากขนาดนี้” หลินสวินกล่าวยิ้มระรื่น
“อะไรนะ ศิษย์พี่หลิงท่าน…”
จางเจิงนัยน์ตาพลันหดรัด “มิน่าล่ะเทพมารหลินถึงวิ่งมาเมืองแสงอุดร ที่แท้… ที่แท้เจ้าคบชู้กับเขารึ”
ข่าวนี้หนักหนานัก ทำให้เขายากแยกแยะไปชั่วขณะอยู่บ้าง
แต่หลิงหงจินกลับคับแค้นอับอายจนอยากตาย ใบหน้าพริ้งเพราคล้ำเขียวกล่าว “เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดเพ้อเจ้อ ข้า…”
ไม่รอพูดจบก็ถูกหลินสวินปิดริมฝีปากแดง กล่าวว่า “เรื่องของพวกเราไยต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง ต่อให้ฉู่เป่ยไห่มาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าช่วยเจ้ารักษาความลับมาตลอด เจ้าอยากให้คนอื่นรู้จริงหรือ”
หลิงหงจินถลึงนัยน์ตาคู่งาม โกรธจนควันออกหู ร่างอรชรสั่นระรัว เจ้าชั่วนี่เห็นชัดว่าเจตนายุแยงตะแคงรั่ว!
“ศิษย์พี่หลิง นี่เรื่องจริงหรือ ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่เป็นคู่หมั้นท่านนะ ท่านทำเช่นนี้ไม่ละอายต่อเขารึ”
บนอากาศ จางเจิงสีหน้าเยียบเย็นโกรธแทบบ้า คิดไม่ถึงสิ้นเชิงว่าหลิงหงจินซึ่งเป็นถึงศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ กลับทรยศสำนัก สานสัมพันธ์กับศัตรู นี่ช่างเป็นความอัปยศของสำนัก!
หากแพร่งพรายออกไป ต้องทำให้เกียรติภูมิแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเขาหม่นมัวแน่!
หลิงหงจินโกรธแทบบ้า นางไหนเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
แต่ตอนนี้นางดันถูกหลินสวินควบคุม แม้ต้องการแก้ต่างก็เปล่งเสียงไม่ออกโดยสิ้นเชิง
‘หลินสวิน เจ้ามันมารร้ายชั่วช้า!!’ ในใจนางร้องตะโกน หากมีโอกาสนางอยากจะทึ้งร่างหลินสวินตรงหน้าทั้งเป็น
“เป็นเจ้าเด็กนี่จริงด้วย!” ทันใดนั้นรุ้งเทพสีเงินสายหนึ่งทะลวงเมฆเข้ามา แล้วแปรปลี่ยนเป็นเงาร่างของเสวี่ยเชียนเหิน
“ศิษย์น้องหลิง เจ้า…” ขณะเดียวกันอวี้เป๋าเป่าก็ตามมา เยื้องย่ากรีดกราย ท่วงท่างามอรชร หน้าตาประณีตพริ้มเพรา มีเสน่ห์แต่กำเนิด
ไม่ช้าเหล่าศิษย์สืบทอดแท้จริงของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกหนานกงหั่ว หนานกงสุ่ย กู้อวิ๋นถิงก็ปรากฏตัว
เงาร่างพวกเขาปกคลุมผืนอากาศโดยรอบแน่นขนัด กระบวนรบยิ่งใหญ่ดั่งพยับเมฆบดบังท้องนภา กดข่มจนผู้คนต่างหายใจไม่ออก
บนถนนละแวกใกล้เคียง คนหนีหายไปนานแล้ว วังเวงไร้ผู้คน อ้างว้างและหนาวเหน็บ
ทว่าเมื่อเห็นหลิงหงจินยืนแนบชิดเคียงข้างหลินสวิน พวกเสวี่ยเชียนเหิน อวี้เป๋าเป่าต่างอึ้งงัน
หลังได้ยินคำอธิบายของจางเจิง สายตาที่พวกเขามองหลิงหงจินล้วนต่างออกไป…
…………………..