Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1028 ช่วงชิงศุภโชค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1028 ช่วงชิงศุภโชค
แก้แค้น!
เหมิงหรงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นางทำความเข้าใจสิ่งที่หลินสวินทำหลังจากเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณอย่างละเอียด รู้ดีว่าเด็กทารกที่ควรตายตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้น่ากลัวถึงเพียงใดแล้ว
เขาถูกมองว่าเป็นเทพมารหลิน ป่วนแดนฐิติประจิมจนวุ่นวายไปหมด
จนกระทั่งเข้ามาในแดนชัยบูรพา เขาป่วนแคว้นกู่ชาง ฆ่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปไม่รู้เท่าไหร่ แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งยังตายอย่างอนาถในมือเขา!
อีกทั้งในข่าวลือ เขายังครอบครองสมบัติอริยะที่ยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่ง เพียงพอที่จะทำให้ตำหนักอมตะแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ และทวนทองผลาญตะวันแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างรับมือไม่ไหว
คนรุ่นเยาว์ที่รากฐานมั่นคงและครอบครองสมบัติอริยะเช่นนี้ หากมาแก้แค้น นั่นย่อมเป็นภัยเงียบที่ไม่อาจมองข้ามอย่างแน่นอน เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ!
“เขาต้องตายสถานเดียว!”
เหมิงหรงส่งเสียงแหลมอย่างเสียการควบคุม นางยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวาย ราวกับมีอะไรอัดอั้นอยู่ในใจ
เสียงอันแหลมคมดังขึ้นภายในตำหนักอันว่างเปล่า เหมิงชิวจิ้งไม่ได้กล่าวโทษ พลันพยักหน้าพูด “เจ้าพูดถูก เด็กนี่ต้องตายสถานเดียว!”
“ท่านพ่อ ท่านมีแผนแล้วใช่หรือไม่”
จู่ๆ เหมิงหรงก็สังเกตว่าเหมิงชิวจิ้งสงบและนิ่งกว่าที่นางคิด
เหมิงชิวจิ้งเอ่ยว่า “สำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งสำนัก บวกกับเจ้า อย่างมากที่สุดก็ไม่เกินห้าคนที่รู้ว่าเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่”
“แม้แต่อวิ๋นชิ่งไป๋ เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าทารกในตอนนั้นกลับรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์”
เหมิงหรงอดพูดแทรกไม่ได้ “อวิ๋นชิ่งไป๋ยังไม่รู้หรือ”
“เขาปิดด่านตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว จะรู้ได้อย่างไร”
เหมิงชิวจิ้งพูดเรียบๆ “ตอนนั้นยามเขาช่วงชิงศุภโชครอบนั้น แม้แต่เด็กทารกคนนั้นชื่ออะไรยังไม่รู้ ตอนนี้… เหอะๆ ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าหากหลินสวินยืนอยู่ตรงหน้าเขา เกรงว่าเขาก็คงจำไม่ได้”
ดวงตาของเหมิงหรงวาบประกาย เอ่ยว่า “นี่… จะต้องบอกเขาตอนนี้เลยหรือไม่ หากให้เขาลงมือได้ การสังหารเด็กหนุ่มคนนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”
“ไม่”
เหมิงชิวจิ้งปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว สีหน้าลึกลับ “หรงเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เพียงไม่สามารถบอกอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ และจะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด!”
“เพราะเหตุใด” เหมิงหรงชะงัก
“เพื่อศุภโชคใหญ่ครั้งหนึ่ง!” นัยน์ตาของเหมิงชิวจิ้งพลันสาดประกายน่ากลัวออกมา ร้อนแรงราวกับสุริยันดวงโตลุกโชนอยู่ในดวงตา
“ทุกคนต่างรู้ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนที่พรสวรรค์โดดเด่นอยู่แล้ว แก่นกระดูกเหนือกว่าอัจฉริยะผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าที่หมื่นปีก็ยากจะได้เห็น”
พูดถึงตรงนี้เหมิงชิวจิ้งก็เปลี่ยนเรื่อง สีหน้าแฝงความเย็นเยียบ
“แต่ถ้าไม่มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่ถูกเขาชิงมาในตอนนั้น เขาก็ไม่มีทางก้าวสู่มรรคาระดับสูงสุดที่อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนต่างใฝ่ฝันได้ไวขนาดนี้!”
เหมิงหรงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ในใจไม่สามารถกดความตะลึงที่พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ “ท่านพ่อ หรือท่านคิดจะ…”
เหมิงชิวจิ้งยิ้มก่อนจะพูดว่า “หรงเอ๋อร์ ตอนนี้จิ่งเจินเบียดตัวเข้าไปอยู่ในอันดับชั้นยอดของระดับกระบวนแปรจุติได้แล้ว แต่ถ้าอยากก้าวสู่มกุฎมรรคาก็ยังขาดอีกเล็กน้อย เจ้าคิดว่าหากมีโอกาสช่วยเขาเปลี่ยนชีวิตพลิกโชคชะตา ครอบครองพลังขอบเขตมกุฎในคราเดียวก่อนที่มหายุคจะมาเยือน เจ้า… จะลองหรือไม่”
“ข้า…” ในใจเหมิงหรงเต้นแรง รู้สึกคอแห้งขึ้นมาระลอกหนึ่ง
นางคิดไม่ถึงเลยว่า บิดากลับหมายตา ‘ศุภโชค’ ในตัวหลินสวินเหมือนอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น!
“ไม่ต้องกังวลขนาดนี้ เด็กนี่ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับราชัน แม้จะมีชื่อเสียงดุดันแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยังไม่สามารถทำให้ข้าเกรงกลัวได้”
เหมิงชิวจิ้งสายตาลุ่มลึกเย็นเยียบ “อีกอย่าง ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่า หากเราไม่แย่ง กู้ตงถิงก็จะแย่ง!”
“ผู้อาวุโสสายในกู้ตงถิงหรือ”
“ไม่ผิด เจ้าเฒ่านั่นเคยลงไปเยือนโลกชั้นล่างเมื่อหลายปีก่อน เคยเห็นความไม่ธรรมดาของหลินสวินกับตา มีความคิดเช่นนี้ตั้งนานแล้ว”
“เขาเป็นถึงราชันที่ทะลวงอมตะเคราะห์ขั้นสองแล้ว ยังอยากได้… ‘ศุภโชค’ เช่นนี้อีกหรือ”
“เขาเตรียมไว้เพื่อชิงเจ๋อ”
พูดถึงตรงนี้เสียงของเหมิงชิวจิ้งแฝงความดูถูก “เจ้าเฒ่านั่นเคยรับปากว่าจะช่วยชิงเจ๋อช่วงชิงศุภโชคระดับนี้ให้ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน เผ่ากระเรียนเขียวที่ชิงเจ๋ออยู่จะเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าให้กู้ตงถิงเข้าไปทะลวงอมตะเคราะห์”
“พูดง่ายๆ ก็คือ นี่เป็นการแลกเปลี่ยนเท่านั้น หากไม่เป็นเช่นนี้ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีกู้ตงถิงจะสามารถทะลวงอมตะเคราะห์ถึงสองครั้งได้อย่างไร”
เหมิงหรงถึงเพิ่งรู้เอาตอนนี้ว่า คนที่กังวลเรื่องของหลินสวินยังมีกู้ตงถิงและชิงเจ๋อ!
“ถ้าหากเราทำเช่นนี้จริง ก็เป็นการแข่งกับกู้ตงถิงไม่ใช่หรือ” เหมิงหรงขมวดคิ้วพูด
เหมิงชิวจิ้งพูดเรียบๆ “ไม่ ก่อนที่จะฆ่าหลินสวินและช่วงชิงศุภโชคในตัวเขา เราทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน”
“ส่วนหลังจากฆ่าเขาแล้ว ใครจะช่วงชิงศุภโชคไปได้ จะเป็นสิทธิ์ของพวกคนรุ่นหลังอย่างจิ่งเจินและชิงเจ๋อในการจัดการ”
“จัดการอย่างไร”
“ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดจัดการ”
“ต่อสู้หรือ”
นัยน์ตาเหมิงหรงหดรัดลง รีบพูดว่า “ชิงเจ๋อนั่นเป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว พรสวรรค์โดดเด่น เท่าที่ข้ารู้ เขาในตอนนี้มีพลังต่อสู้ที่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในสิบสามกระบี่ได้แล้ว นี่จะให้จิ่งเจินสู้กับเขาได้อย่างไร”
เหมิงชิวจิ้งสีหน้าอึมครึม พูดอย่างไม่ชอบใจ “หรงเอ๋อร์ หากชิงเจ๋อคนเดียวยังสู้ไม่ได้ ยังต้องพูดถึงเรื่องจะช่วงชิงมหามรรคในมหายุคอะไรอีก ทั้งจะมีสิทธิ์อะไรไปแข่งกับผู้กล้าทั่วหล้า”
“ในฐานะหลานของเหมิงชิวจิ้ง หากด่านนี้เขาจ้าวจิ่งเจินยังผ่านไม่ได้ ข้าว่าชาตินี้เขาอย่าคิดล้างแค้นอีกเลย!”
คำพูดเผยความขุ่นเคืองในความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย
สีหน้าของเหมิงหรงอึมขรึมสับสน ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พลันกัดฟันพูด “ท่านพ่อ เรื่องนี้จัดการตามนี้ก็แล้วกัน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับพลังต่อสู้ของจิ่งเจินอย่างเร็วที่สุด!”
เคร้ง!
เหมิงชิวจิ้งสะบัดแขนเสื้อ หยกประดับรูปกระบี่โฉบออกมา ส่งเสียงปานกระบี่ครวญ
“นี่คือป้ายยืนยันของหอลับกระบี่ เมื่อจิ่งเจินพร้อมก็ส่งเขาเข้าไปฝึกในนั้น ด้วยแก่นกระดูกและพรสวรรค์ของเขา ขอเพียงแค่ยืดหยันไปถึงชั้นสิบเก้าได้ ก็เพียงพอที่จะเทียบกับชิงเจ๋อนั่นได้!”
หอลับกระบี่!
แดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกปราณที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าสร้างขึ้นกับมือในสมัยบรรพกาล
โดยทั่วไปมีเพียงศิษย์สืบทอดแท้จริงที่มีคุณูปการต่อสำนักเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปฝึก
เห็นได้ชัดว่าเพื่อให้จ้าวจิ่งเจินพัฒนา เหมิงชิวจิ้งเองก็ทุ่มสุดตัว!
เหมิงหรงกำป้ายยืนยันรูปกระบี่ไว้แน่นพลันเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านจะจัดการกับหลินสวินอย่างไร”
“การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูที่มีขึ้นทุกสามสิบปีกำลังจะเปิดม่านขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากหลินสวินจะสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสงครามมหายุค ก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันนี้!”
“เพราะจากการวิเคราะห์ของข้า เมื่อเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว สิ่งที่เด็กคนนี้ขาดก็คือเวลา และมีเพียงแค่ในกระดานดาราเท่านั้นจึงจะมีโอกาสให้เขาชดเชยข้อบกพร่องนี้”
“และนี่ ก็เป็นโอกาสดีที่สุดในการจัดการกับเขา”
เหมิงชิวจิ้งดูมั่นใจมาก เห็นได้ชัดว่าได้พิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบแล้ว
“อีกหนึ่งปีงั้นหรือ” เหมิงหรงพูด “ช้าเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
“ใจร้อนทำเรื่องใหญ่ไม่ได้ ตอนนี้ถ้าพวกเราไปจัดการเด็กนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร หากไม่สามารถสังหารเขาให้ได้ในคราเดียว ก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้เขาเกิดความระวังและระแวง”
เหมิงชิวจิ้งพูดสบายๆ “อย่าลืมว่า เด็กคนนี้สามารถหนีรอดแม้แต่การปิดล้อมอย่างแน่นหนาของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ง่ายๆ”
“ดังนั้นจะเล่นงานเขา ไม่ลงมือก็ช่าง แต่ถ้าลงมือขึ้นมาก็ต้องใช้พลังที่มีอานุภาพประดุจอสนีบาต กำจัดเขาภายในการโจมตีเดียว!”
พูดถึงตอนท้าย ในเสียงของเขาปลดปล่อยไอสังหารที่ไม่สามารถกดข่มไว้ได้ ทำให้ทั้งโถงตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศน่ากลัว
นี่คืออานุภาพแห่งระดับราชัน เพียงแค่คิด ฟ้าดินเป็นต้องเปลี่ยนสี!
เหมิงหรงเห็นว่าบิดาเตรียมความพร้อมทุกอย่างแล้ว ในใจพลันสงบลง ไม่ลังเลอีกต่อไป
นางถึงขั้นไม่กดความปรารถนาที่เกิดขึ้นแล้ว…
หากจิ่งเจินสามารถครอบครองชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่น่ามหัศจรรย์และน่ากลัวเหมือนอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ ต่อไปยังต้องกังวลว่าจะไม่สามารถยืนบนจุดสูงสุดของระดับราชันได้อีกหรือ
……
แคว้นพยัคฆ์มังกร
เมืองแสงพิรุณ
ภายใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล ในเมืองแสงไฟเรียงราย สดใสและเจริญรุ่งเรือง
หลินสวินและเซียวชิงเหอเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่บนถนนที่ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง
คนหน้าสีหน้าเรียบเฉย
คนหลังในใจยังมีความกังวลหลงเหลืออยู่
“ให้ตาย ดันส่งราชันวิถีกระบี่มาโจมตี สำนักกระบี่เทียมฟ้าบ้าไปแล้วจริงๆ ก็แค่ชิงกระบี่คู่กายเล่มหนึ่งของอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องระดมกำลังเพียงนี้”
เซียวชิงเหอไม่พอใจนัก
พูดถึงตรงนี้เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ มุมปากพลันเผยความแปลกประหลาดพร้อมเอ่ย “พี่ชาย ตอนนั้นเจ้าคงไม่ได้คิดจะจับนกยูงแสนสวยอย่างข่งหลิงทั้งเป็นหรอกนะ”
“มีความคิดนี้จริงๆ” หลินสวินพูดสบายๆ
เซียวชิงเหอสีหน้าพิกลแฝงความคลุมเครือ พลันยิ้มพูด “พูดตามจริง ผู้หญิงคนนั้นงามที่สุดในแผ่นดิน งามล่มบ้านล่มเมือง หากสามารถกำราบนางได้ ย่อมทำให้ชายชาตรีทั่วหล้าอิจฉาอย่างแน่นอน”
หลินสวินกลอกตา “เหตุใดความคิดของเจ้าจึงสกปรกเช่นนี้ ข้าเพียงรู้สึกขาดยานพาหนะไว้ขี่ก็เท่านั้น”
“เจ้า เจ้า… อยาก ‘ขี่’ นางด้วยงั้นหรือ”
เซียวชิงเหอสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ พูดพร้อมใบหน้าชื่นชมเต็มประดา “หากคนในโลกเห็นเข้าว่ากระบี่นงคราญข่งหลิงที่เย่อหยิ่งอย่างหาที่สุดไม่ได้ถูกเจ้าขี่ นี่จะต้องทำให้ผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉาตาร้อนจนคลั่งแน่!”
“…” หลินสวินสีหน้าทะมึนขึ้นมา เจ้าหมอนี่ดูสง่าผ่าเผย จิตใจกลับน่าสมเพชจริงๆ
“จริงสิ นี่เราออกจากนครหยกขาวมาถึงอาณาเขตของแคว้นพยัคฆ์มังกรแล้ว พี่ชาย เจ้าควรทำตามสัญญาแล้วใช่หรือไม่”
เซียวชิงเหอเบี่ยงประเด็น สายตาจ้องหลินสวินอย่างร้อนระอุ
“เจ้าตามข้ามา”
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วพาเซียวชิงเหอออกจากเมืองแสงพิรุณด้วยกัน
หนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น
ในเทือกเขาที่สูงต่ำเป็นชั้นๆ ท้องฟ้าสีรัตติกาลมืดสนิทราวกับหมึกดำ เงาร่างของหลินสวินและเซียวชิงเหอเคลื่อนมาถึง
เซียวชิงเหอพินิจรอบๆ แล้วพูดเล่นว่า “ฟ้ามืดลมแรงคืนแห่งการฆ่า… เจ้าคงไม่ได้คิดจะฆ่าปิดปากข้าเพื่อปกปิดฐานะหรอกนะ”
“ที่นี่ฮวงจุ้ยสุดยอด ฝังเจ้าทั้งเป็นที่นี่ก็ไม่เลว”
หลินสวินกวาดสายตามองเขาปราดหนึ่ง
เซียวชิงเหอพูดอย่างตื่นตระหนก “เรื่องล้อเล่นนี้ไม่ตลกเลยสักนิด!”
“เช่นนั้นเจ้าก็หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!”
หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวชิงเหอจะเป็นคนที่พูดมากขนาดนี้ ระหว่างทางพร่ำบ่นไม่หยุด ทำให้หลินสวินรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว
“ได้! ข้ารับปากเจ้า แต่…”
เห็นว่าเซียวชิงเหอจะร่ายยาวอะไรอีก หลินสวินพลันถลึงตาจ้อง “หุบปาก!”
จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เสียงพรืดพราดดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่เงาร่างสองร่างจะกลิ้งลงมาบนพื้น
——