Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1029 ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1029 ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ
เงาร่างทั้งสองร่วงลงพื้น ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด และตื่นจากอาการหมดสติ
“เทพมารหลิน เจ้ากล้ากดขี่พวกเราถึงตอนนี้เชียวหรือ”
“น่าชังนัก!”
สองคนนี้ก็คือเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ถูกหลินสวินจับตัวมาจากแคว้นกู่ชางในตอนแรก
ตอนเห็นหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ด่าอย่างระอุ ในสายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
เซียวชิงเหอที่อยู่ข้างๆ อึ้งไป เทพมารหลินงั้นหรือ เป็นเขา?
ในใจเขาสะท้าน ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเจ้าคนที่ถูกเขามองว่าเป็นคนวิปริตนี้เป็นอริยเทพจากไหนแล้ว
ในฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎของคนรุ่นเยาว์แห่งแดนชัยบูรพา แน่นอนว่าไม่มีทางที่เซียวชิงเหอจะไม่เคยได้ยินชื่อหลินสวินที่มาจากแดนฐิติประจิม
แต่เซียวชิงเหอก็ยังคิดไม่ถึงว่า คนหนุ่มที่ดูเหมือนหล่อเหลาสะอาดสะอ้านโดดเด่นตรงหน้า กลับเกี่ยวข้องกับฉายา ‘เทพมารหลิน’
“หลินสวิน จะฆ่าจะแกงกันเจ้าก็เข้ามาเลย แต่หากคิดใช้วิธีแบบนี้หยามหน้าพวกเราก็ฝันไปเถอะ!”
จางเจิงโกรธจนหน้าเขียว กัดฟันพูด
ไม่ว่าใครที่ถูกกดข่มมานานขนาดนี้ ก็ย่อมต้องไฟสุมอก
แม้เสวี่ยเชียนเหินจะพูดน้อย แต่สีหน้าก็อึมครึมอย่างที่สุด เป็นถึงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ตอนนี้กลับถูกลดฐานะเป็นนักโทษ ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานอย่างที่สุด
ทว่าไม่ว่าจะเป็นจางเจิงหรือเสวี่ยเชียนเหินต่างมั่นใจว่า หลินสวินไม่กล้าฆ่าพวกเขา
เหตุผลง่ายมาก ฐานะของพวกเขาก็เห็นๆ กันอยู่ หากฆ่าพวกเขา ชาตินี้หลินสวินย่อมหนีการถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตามฆ่าไม่พ้นแน่!
ขอเพียงแค่เป็นคนฉลาดก็จะรู้ว่าควรเลือกอย่างไร
ไม่เช่นนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่เขาหลินสวินจะกดขี่พวกเขาจนถึงตอนนี้ แต่ยังไม่กล้าพรากชีวิตพวกเขาเสียที
“ทั้งสองท่าน ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้า คงคิดว่ามีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หนุนหลังพวกเจ้า ข้าจึงไม่กล้าล่วงเกินพวกเจ้าเกินไป”
สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบราบเรียบ เหลือบมองลงมายังทั้งสอง “น่าเสียดายพวกเจ้าเดาผิดแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ไม่ฆ่า เพราะพวกเจ้ายังมีผลประโยชน์ หากถูกผู้ยิ่งใหญ่สำนักเจ้าไล่ตามมา ก็สามารถเอาพวกเจ้ามาเป็นตัวประกันสร้างคุณค่าสักหน่อย”
หยุดไปครู่เขาจึงพูดต่อ “แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แม้คุณค่าเพียงเท่านี้พวกเจ้าก็ไม่มีแล้ว ข้ารอมาหนึ่งเดือนกว่าก็ไม่เห็นว่าคนใหญ่คนโตในสำนักของพวกเจ้าจะตามมาช่วยพวกเจ้า เช่นนี้…”
“ข้าเก็บพวกเจ้าไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไร”
เสียงที่สบายๆ ลอยอยู่ในพื้นที่ภูเขาท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลนี้ กลับราวกับกระแสเย็นทำให้เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงต่างตัวแข็งค้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“หรือ… เจ้าจะ…” จางเจิงหน้าถอดสี ซีดขาวอย่างที่สุด
“เจ้ารู้จุดจบของการทำเช่นนี้หรือไม่” เสวี่ยเชียนเหินพยายามข่มกลั้นความตื่นตระหนกในใจ เสียงเหมือนลอดออกจากไรฟัน
“คำพูดข่มขู่เช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนฐิติประจิมข้าก็เคยได้ยินมาหลายรอบแล้ว พวกเจ้าคิดว่าหากข้าเป็นคนกลัวปัญหาจริงๆ จะถูกคนในโลกเรียกว่า ‘เทพมาร’ หรือ”
ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำและเยียบเย็น ไม่มีคลื่นความรู้สึกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
“จำไว้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้าทำไม่ดีกับข้าก่อน เพื่อตามฆ่าข้า แคว้นกู่ชางทั้งแคว้นถูกพวกเจ้าปิดล้อม ตอนนั้นหากข้าตกอยู่ในมือของพวกเจ้า เช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”
จางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เสียงของหลินสวินยิ่งราบเรียบและนิ่งสงบ ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัว
ไม่มีใครไม่กลัวตาย
แม้เป็นอริยะ เมื่อเผชิญกับความตายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกรู้สา!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่อริยะ พวกเขาอายุยังน้อย ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ยังปรารถนาจะลืมตาอ้าปากในมหายุคที่กำลังจะมาเยือน จะยอม… ร่วงหล่นเช่นนี้ได้อย่างไร
“หลินสวิน หากเจ้าปล่อยพวกเราไป ข้าสัญญาว่าจะขอความเมตตากับสำนักให้บุญคุณความแค้นในอดีตจบเพียงเท่านี้ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก!”
จางเจิงร้อง เขารู้สึกกลัวอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เสวี่ยเชียนเหินเองก็พยักหน้า “ไม่ผิด หากเจ้าฆ่าพวกข้า มีแต่จะก่อพิบัติภัยที่ใหญ่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วปล่อยพวกเราไปเสีย ยังสามารถคลี่คลายเคราะห์สังหารให้เจ้าได้”
มุมปากของหลินสวินเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย พยักหน้าพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะถอยสักก้าว ไว้ชีวิตพวกเจ้า”
จางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินโล่งอกโดยพร้อมเพรียง
แต่ประโยคถัดไปของหลินสวินกลับทำให้พวกเขาอึ้งงันอย่างสิ้นเชิงราวกับถูกฟ้าผ่า
“โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากจะหนี ไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้งก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องชดใช้สักหน่อย”
เสียงอันเรียบเฉยยังไม่ทันจบ หลินสวินก็ลงมือแล้ว
ปัง! ปัง!
พร้อมกับเสียงนั่น ทั้งสองยังไม่ทันได้ตอบสนอง จุดตันเถียนชี่ไห่ก็ถูกระเบิด แปรจุติมหามรรคที่หล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายยุบสลายไปตามกัน พลังปราณในร่างกายพลันถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิง!
“หลินสวิน เจ้าสมควรตาย!”
“เจ้า! เหี้ยม! มาก…!”
เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงในตอนนี้ล้วนมีความรู้สึกล่มสลายและบ้าคลั่งไปแล้ว พลังปราณถูกกำจัด ทรมานยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเสียอีก!
ไม่มีพลังปราณก็เท่ากับสูญเสียฐานะ ตำแหน่งและพลัง กลายเป็นคนไร้ประโยชน์!
ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพังทลาย เรียกว่าตายทั้งเป็นก็ไม่เกินไป
แม้แต่เซียวชิงเหอที่เห็นภาพนี้ในใจก็ยังไม่สามารถสงบได้ คิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวินที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนพูดคุยง่ายมาก วิธีการกลับโหดเหี้ยมและเย็นชาเพียงนี้
พูดตามจริงเขาเองก็ตกใจกับเรื่องนี้!
“เมื่อครู่นี้พวกเจ้ายังพูดอยู่เลยว่าจะกลับสำนักไปขอความเมตตา คลี่คลายบุญคุณความแค้นกับข้า ตอนนี้ข้ารับปากแล้วว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า พวกเจ้ากลับมีท่าทีเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ พลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา “ไสหัวไปซะ หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถออกจากเทือกเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจนี้ได้”
ครืนโครม!
เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงราวกับใบไม้ที่ถูกสายลมพัด ถูกส่งไปอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอันกว้างใหญ่นี้ทันที
ในที่นั้นเงียบสงัดในชั่วขณะ เซียวชิงเหอเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
หลินสวินพูด “มีอะไรเดี๋ยวค่อยพูด”
เขาสะบัดแขนเสื้อ มีเงาร่างอีกสองเงากลิ้งลงพื้นออกมา
“ยังมีอีกหรือ” เซียวชิงเหอเบิกตาโพลง
หลินสวินไม่ได้สนใจเขา ทอดสายตามองไป เงาร่างสองเงานั่นคืออวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจิน
ทั้งสองก็เพิ่งฟื้นจากอาการหมดสติเช่นกัน ตอนเห็นหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า พวกนางต่างเข้าใจสถานการณ์ของตนแล้ว
ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเสวี่ยเชียนเหิน พวกนางดูนิ่งกว่ามาก สายตาที่มองหลินสวินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและชิงชังอย่างลึกล้ำ แต่กลับไม่ได้ก่นด่าออกมา
“เจ้า… เจ้าคงไม่ได้จะลงมือกับผู้หญิงสองคนนี้ด้วยหรอกนะ” เซียวชิงเหออดพูดไม่ได้
พอคำพูดนี้ออกมา สีหน้าของอวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจินต่างเปลี่ยนไป อะไรคือ ‘ด้วย’?
หรือเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงประสบเคราะห์ไปแล้ว
หลินสวินพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันอึดอัดและเงียบงัน “การกำจัดพลังปราณสองคนนั้นเป็นการคุมอำนาจ ส่วนแม่นางสองคนนี้…”
พวกอวี้เป๋าเป่าต่างหัวใจกระตุกวูบ
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงหมุนตัวเดินไป “ไปเถอะ”
“ไปงั้นหรือ”
เซียวชิงเหออึ้ง อวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจินก็อึ้งเช่นกัน
แต่หลินสวินกลับเดินไปไกลแล้ว และไม่หันกลับมามองตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
จู่ๆ เซียวชิงเหอก็หัวเราะแฮะๆ ออกมา “ข้าว่าแล้ว เป็นถึงเทพมารหลิน จะลงมือกับผู้หญิงอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ได้อย่างไร”
จากนั้นเขาพลันพูดกับผู้หญิงทั้งสองว่า “ไม่ว่าพวกเจ้ากับเขาจะมีความแค้นใหญ่หลวงอะไรต่อกัน แต่อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ปล่อยพวกเจ้าไป เช่นนั้นโปรดทำตัวดีๆ ด้วย”
พูดจบเขาก็รีบตามไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป
อวี้เป๋าเป่ากับหลิงหงจินสีหน้าสับสน ต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกโชคดีที่พ้นจากความตาย
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าบุคคลระดับเทพมารอย่างเขากลับมีตอนที่ใจอ่อน” อวี้เป๋าเป่าพูดเนิบๆ เครื่องหน้าของนางประณีตเย้ายวนด้วยเสน่ห์ เป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง
“ใจอ่อนหรือ”
หลิงหงจินเองก็สีหน้าขมขื่น “ตอนอยู่ในแคว้นกู่ชาง เจ้าหมอนี่เล่นงานข้าอย่างเจ็บแสบ ทำให้ข้าแบกรับชื่อเสียงอันน่าอายของการเป็น ‘ไส้ศึก’…”
“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด คนโง่ถึงจะเชื่อ” อวี้เป๋าเป่าพูดปลอบ
“ไม่” หลิงหงจินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าคิดว่าสำนักจะมีปฏิกิริยาอย่างไรที่ครั้งนี้พวกเรากลับไปอย่างปลอดภัย”
อวี้เป๋าเป่าชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหาแล้ว
พวกนางกับจางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินถูกจับมาพร้อมกัน แต่สุดท้ายจางเจิงกับเสวี่ยเชียนเหินถูกกำจัดพลังปราณ มีเพียงพวกนางสองคนที่ปลอดภัยดี ใครจะไม่สงสัยว่ามีเงื่อนงำซ่อนอยู่
บอกว่าเทพมารหลินทะนุถนอมผู้หญิงเลยไม่ฆ่างั้นหรือ
ใครจะเชื่อเหตุผลเหลวไหลเช่นนี้
แต่ถ้าอธิบายไม่ชัดเจน…
จะต้องเกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างแน่นอน!
ถึงขั้นถูกเข้าใจว่าพวกนางทั้งสองยอมจำนนต่อหลินสวินแล้วและทำการแลกเปลี่ยนบางอย่าง จึงแลกผลลัพธ์ที่ปลอดภัยหายห่วงมาได้!
ใจคนซับซ้อนและละเอียดอ่อนที่สุด แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เกลียดหลินสวินเข้ากระดูกมาตั้งนานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้พวกนางกลับสำนักก็ต้องถูกสอบสวนและตั้งข้อสงสัย เกิดความยุ่งยากและผลกระทบที่ไม่จำเป็นมากมาย!
“หรือที่เขาปล่อยพวกเรา เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าแม้เราหวนกลับสำนัก สถานการณ์ก็จะไม่สู้ดี?”
อวี้เป๋าเป่าตกใจกลัว
“หากเจ้าหมอนี่ไม่มีความเฉลียวฉลาดและฝีมือระดับนี้ มีหรือจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ทั้งที่ก่อเรื่องมากมายขนาดนั้น”
ในดวงตาคู่ใสของหลิงหงจินเผยความชิงชัง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางยังไม่ลืมประสบการณ์น่าอับอายที่หลินสวินถอดเสื้อผ้าของนางจนเปลือยเปล่า
“หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าพูด เทพมารหลินนี่… น่ากลัวเกินไปแล้ว!” อวี้เป๋าเป่าสายตาเลื่อนลอย เย็นวาบไปทั้งตัว
“พวกเราไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้” หลิงหงจินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่งแล้วลุกขึ้น
ส่วนเรื่องที่จะไปแก้แค้นหลินสวิน พวกนางไม่มีความคิดเช่นนี้แม้แต่น้อยแล้ว คิดแต่ว่าจะไปอธิบายกับสำนักอย่างไร
……
“คิดไม่ถึงเลยว่าเทพมารหลินที่ใครพูดถึงแล้วสีหน้าต้องเปลี่ยนจะทะนุถนอมผู้หญิงเช่นนี้ นับถือ นับถือจริงๆ”
ภายใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล ท่ามกลางเวิ้งฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล เซียวชิงเหอพูดพร้อมสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“ตอนที่อยู่ในแคว้นกู่ชาง ข้าก็ได้รับปากแล้วว่าจะจบสิ้นบุญคุณความแค้นกับหลิงหงจิน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้นางลำบากใจอีก”
หลินสวินพูดเรียบๆ “ส่วนอวี้เป๋าเป่านั่น… นางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ครั้งนี้ สถานการณ์ก็คงไม่ดีสักเท่าไร นี่ไม่ใช่การลงโทษเสียที่ไหน”
เซียวชิงเหอได้ยินแล้วประหลาดใจขึ้นมา ครู่หนึ่งจึงเข้าใจ พลันร้องว่า “เจ้า…”
“ร้ายกาจหรือ”
หลินสวินพูดแทนเขา สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ร้ายกาจก็ช่าง ข้าฆ่าเพียงแค่คนที่สมควรฆ่า ไม่ใช่ปีศาจที่กวาดล้างโลกเพื่อการแก้แค้น”
เซียวชิงเหอชะงักงัน สายตาที่มองหลินสวินพลันมีอีกความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ
นี่ก็คือเทพมารหลินในคำเล่าขานหรือ
ภายในใจเซียวชิงเหอมีความรู้สึกที่พูดไม่ออก จากความประหลาดใจตกตะลึงที่มีต่อหลินสวินในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นความเคารพและชื่นชม
ก่อนหน้านี้ ชาตินี้มีเพียงคนเดียวที่เขาเซียวชิงเหอชื่นชมจากใจจริง นั่นก็คือหมีเหิงเจิน สุริยันผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา
แต่ตอนนี้ มีหลินสวินเพิ่มมาอีกคนแล้ว!
——