Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1033 เทพมารออกจู่โจม
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1033 เทพมารออกจู่โจม
สวบๆๆ!
แสงเคลื่อนไหวเจิดจรัสสายแล้วสายเล่าแล่นผ่านอากาศ ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนห่างออกไปพันลี้
เพียงแต่หลินสวินกลับสีหน้าเคร่งขรึม อารมณ์ประหลาดที่แต่เดิมทั้งตั้งตาคอยและลุ่มลึกพลันมลายหายไปโดยสิ้นเชิง
ในแสงเคลื่อนไกลๆ มีเซียวชิงเหอ และผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณในชุดนักพรตสีเหลืองส้มมากมาย เพียงแต่ไม่มีเงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียน
อีกอย่าง เงาร่างพวกนั้นไม่เพียงมีจำนวนมากถึงสามสิบกว่าคน หนำซ้ำในนั้นยังมีบุคคลระดับกึ่งราชันหลายคนอีกด้วย
นี่แปลกประหลาดยิ่ง!
หลายปีมานี้หลินสวินผ่านการเข่นฆ่าเคี่ยวกรำมามาก มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พลันโคจรไอซวนหนีทันที ปกปิดตัวตนเอาไว้โดยไม่ลังเลสักนิด
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เซียวชิงเหอและผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งหมดก็แหวกอากาศมาถึง
“ทุกท่านไม่ต้องไปส่งแล้ว ในเมื่อแม่นางจ้าวมุ่งหน้าสู่ภูเขาเทพไร้มรณะ เพื่อเตรียมพร้อมประชันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แล้ว เช่นนั้นข้าค่อยมาเยี่ยมภายหลังก็ได้”
เซียวชิงเหอยืนมั่นกลางห้วงอากาศ ประสานมือกล่าว
“สหายยุทธ์เกรงใจเกินไปแล้ว”
ชายชราไว้เคราแพะ เงาร่างซูบผอมที่อยู่หน้าสุดเอ่ยปากเจือรอยยิ้ม “ก่อนจากไป ข้าขอบังอาจถามสักประโยค ครั้งนี้สหายยุทธ์มาคนเดียวหรือ”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา คนอื่นๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เซียวชิงเหอกวาดตามองทุกคน พูดด้วยสีหน้าสงสัย “ทำไมหรือ ข้ามาเยี่ยมสำนักพวกท่านคนเดียวมีปัญหาหรือ”
ชายชราเคราแพะหัวเราะร่วน “ไม่มีปัญหา เพียงแต่…”
เขาหยุดไป หุบรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาเจือแววซักไซ้เพิ่มขึ้นมา “เท่าที่พวกเรารู้ สหายยุทธ์เจ้าไม่ได้มาคนเดียว”
เซียวชิงเหอขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสกงหยางเฉียน ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เลิกทำไขสือ ใครบ้างไม่รู้ว่าหลายวันก่อนเจ้ากับเทพมารหลินคนนั้นร่วมกันก่อเรื่องในนครหยกขาว”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนลั่น
“พวกเราให้เกียรติที่เจ้าเป็นผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา แต่หากเจ้าซ่อนความคิดชั่วร้าย มีเจตนาไม่ดี ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”
“ว่ามา เทพมารหลินคนนั้นมาพร้อมกับเจ้าใช่หรือไม่”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนอื่นต่างพากันเอ่ยปาก สายตาที่แต่ละคนมองทางเซียวชิงเหอเจือแววเย็นชา
กลางห้วงอากาศ ทะเลเมฆพลิกตลบ บรรยากาศเริ่มเคร่งเครียด
เซียวชิงเหอครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะเยาะกล่าวว่า “ตั้งแต่แรกตอนที่พวกเจ้ายกโขยงมาส่งข้าอย่างเคารพ ข้าก็นึกเอะใจว่าไม่ปกติ ตอนนี้ดูแล้ว เห็นจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
เขาตัวคนเดียว ถูกผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งกลุ่มปิดล้อมกลายๆ แม้เป็นเช่นนี้กลับไม่กริ่งเกรงสักนิด ตรงข้ามกลับเผยแววดูเบาออกมา
“อยากสืบข่าวเทพมารหลินจากตัวข้าหรือ คิดการใหญ่ใจละโมบชัดๆ! ข้าเตือนพวกเจ้ารีบหลีกไปจะดีกว่า!”
กล่าวจบเซียวชิงเหอก็มุ่งตรงไปข้างหน้า
สวบ!
ผู้เฒ่าเคราแพะกงหยางเฉียนร่างพริบไหว ขวางอยู่ข้างหน้าเซียวชิงเหอ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเฉยเมยและเย็นชา “สหายยุทธ์ หากเจ้ารั้นยึดตนเป็นใหญ่ เช่นนั้นพวกข้าก็ได้แต่งัดวิธีอื่นมาใช้เท่านั้นแล้ว”
ยามเอ่ยคำ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างล้อมรอบรุกหน้าขึ้นมา กลิ่นอายทั่วร่างพลุ่งพล่าน ทำท่าเหมือนจะลงมืออย่างหนักหากไม่ยอมให้ความร่วมมือ
เซียวชิงเหอสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวเสียงเย็น “ข้าก็อยากถามสักประโยค นี่พวกเจ้าคิดจะเปิดศึกกับพวกเราตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรางั้นหรือ”
กงหยางเฉียนเปลือกตากระตุก กล่าวเรียบๆ “หาใช่ขนาดนั้น เพียงแต่อยากให้สหายยุทธ์พูดความจริงกับพวกเราหน่อยก็เท่านั้น เมื่อได้รับคำตอบ พวกข้าย่อมส่งสหายยุทธ์จากไป จะไม่ขัดขวางใดๆ อีกเป็นอันขาด”
ชิ้ง!
ฝ่ามือเซียวชิงเหอปรากฏทวนศึกเหล็กนิลเล่มหนึ่ง รอบตัวคละคลุ้งด้วยแสงเรืองทองอร่าม กลิ่นอายทั้งตัวไต่ทะยานถึงขีดสุดในพริบตา
“เลิกพูดพล่ามระยำเสียที ถ้ากล้าก็เข้ามา!” เขาตะโกนลั่น สายตาสาดประกายเย็นเยียบ
“เฮ้อ สหายยุทธ์ไยจึงโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ เวลานี้รั้งม้าริมหน้าผา กลับตัวยังทัน” กงหยางเฉียนถอนใจเบาๆ สายตากลับเปี่ยมแววเย็นชาและอึมครึม
“ไอ้แก่ ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า วันนี้ต่อให้พวกเจ้าสังหารข้า ก็อย่าคิดจะได้ข้อมูลเทพมารหลินจากปากข้าแม้แต่นิดเดียว ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู!”
กลิ่นอายเซียวชิงเหอก้องกระหึ่มดั่งสายฟ้า ทั่วร่างเรืองอร่าม กระชับทวนศึกยืนตระหง่านกลางทะเลเมฆ ท่วงท่าเหมือนหนึ่งคนเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิอาจกราย
กงหยางเฉียนสายตาคุโชน จู่ๆ ก็ยิ้มน้อยๆ “เจ้าว่า หากพวกเราลงมือกับเจ้า เทพมารหลินนั่นจะเห็นคนใกล้ตายไม่ช่วยหรือไม่”
เซียวชิงเหอหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“สหายยุทธ์ ล่วงเกินแล้ว!” กงหยางเฉียนตะโกนลั่น ร่างซูบผอมเหยียดตรงขึ้นมา สาวเท้ากลางอากาศ ฟาดฝ่ามือหนึ่งไปทางเซียวชิงเหอ
ตูม!
ฝ่ามือนี้ดั่งฟ้าถล่มเขาวิญญาณ แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์สีม่วงพลุ่งพล่าน บดขยี้ห้วงอากาศแตกกระจุย พลังมหาศาลหนักหน่วง น่าสะพรึงไร้ขอบเขต
เซียวชิงเหอกวาดทวนศึกเข้าปะทะ ภายในเสียงกระหึ่มน่าสะพรึง การโจมตีนี้ของกงหยางเฉียนถูกสลายอย่างง่ายดาย
“อาศัยแค่เจ้าก็คู่ควรต่อสู้กับข้าด้วยหรือ”
เซียวชิงเหอดูเบา หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความภาคภูมิ ราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง ไม่สามารถสร้างภัยคุกคามยิ่งใหญ่มาสู่เขาได้จริงๆ
“หากนับรวมพวกเราด้วยล่ะ”
เวลานี้เงาร่างสามสี่สายพุ่งปราดออกมาต่อเนื่อง มีทั้งชายหญิง ล้วนอยู่ระดับกึ่งราชันทั้งสิ้น
ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็เรียกสมบัติของแต่ละคนออกมา ป้องขวางรอบทิศ ตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างเข้มงวด
“คนมากรังแกคนน้อยหรือ บุคคลชั้นนำแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณตายกันหมดแล้วรึ”
เซียวชิงเหอกล่าวเสียดสี
“สหายยุทธ์ ระวังปากพาซวย!”
กงหยางเฉียนสาวเท้ามาถึง ร่างซูบผอมระเบิดอานุภาพเสียดฟ้าออกมาประหนึ่งอสนีคลั่งรุนแรง พุ่งสังหารออกไป
และเวลานี้เอง ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มลงมือจากต่างทิศทาง
ตึง!
หญิงกลางคนผู้หนึ่งเรียกกลองศึกหนังสัตว์ออกมา เพียงตีเบาๆ เสียงกลองดุจดั่งเทพมารกู่ร้อง สะเทือนฟ้าสะท้านดิน
ฉัวะ!
ผู้ชายอ้วนเตี้ยคนหนึ่งสะบัดโซ่สีเงินยวงเส้นหนึ่ง ผ่านภาฟาดปฐพี กร้าวแกร่งเผด็จการ
“เฉือน!”
ชายชราชุดเทาคนหนึ่งถือกระบี่โบราณสีน้ำเงินเข้มเล่มหนึ่งโถมเข้ามา
ทันใดนั้นเซียวชิงเหอเผชิญหน้าศัตรูรอบด้าน ถูกล้อมกรอบด้วยการโจมตีสารพัดแบบ
เห็นได้ชัดว่าการเพ่งเล็งบุคคลชั้นยอดอย่างเขา พวกราชันกึ่งระดับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล้วนไม่ได้ดูถูกใดๆ หาไม่คงไม่มีทางกรูขึ้นมาพร้อมกันเด็ดขาด
เซียวชิงเหอสีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมเคร่งขรึม ในใจเดือดดาล นี่เห็นได้ชัดว่ารังแกเขาซึ่งตัวคนเดียวชัดๆ!
เพียงแต่ยังไม่รอให้เขาลงมือ เงาร่างสายหนึ่งก็แหวกอากาศมาปรากฏอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว
คนผู้นี้ก็คือหลินสวินนั่นเอง
เมื่อเห็นภาพแต่ละฉากก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดตั้งนานแล้ว ในใจมีไอสังหารที่ไม่อาจควบคุมได้พวยพุ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตูม!
พูดแล้วเหมือนช้าแต่กลับรวดเร็วอย่างยิ่ง การโจมตีรอบทิศล้อมกรอบเข้ามา
เงาแส้ พลังฝ่ามือ เสียงกลอง ปราณกระบี่… ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งน่าสะพรึง เป็นพลังเข่นฆ่ามหึมาจากราชันกึ่งระดับรวมเข้าด้วยกัน พาให้ฟ้าดินแถบนี้ต่างกรีดร้อง เมฆลมปั่นป่วน
ทะเลเมฆกว้างใหญ่ยังแหลกเป็นผุยผงในพริบตา!
หลินสวินตาไวมือไว ซัดประทับฝ่ามือสีเขียวเจิดจ้านับร้อยนับพันสายออกไปในทันที ประทับฝ่ามือแต่ละสายต่างควบรวมสมจริง ประทับตรึงแสงมรรค
พร้อมๆ กับเสียงอึกทึกกระเทือนโสตจนเกือบหูหนวก การโจมตีทั้งหมดต่างถูกสลายสิ้น!
แต่สำหรับเรื่องนี้ พวกกงหยางเฉียนไม่ตกใจกลับดีใจ
“ฮ่าๆๆ เทพมารหลิน ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว!” กงหยางเฉียนแหงนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดหัวเราะ
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างก็พากันหัวเราะเยาะ ท่าทางเหมือนรู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
“เจ้าสมองกลวงหรือไร รู้ทั้งรู้พวกเขาคิดบีบบังคับให้เจ้าปรากฏตัว เหตุใดถึงยังทำเช่นนี้อีก หรือคิดว่าพวกเขากล้าฆ่าข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
เซียวชิงเหอกลับร้อนใจ จ้องหลินสวินเขม็ง
ก่อนหน้านี้ที่เขาแสร้งพูดคุยกับอีกฝ่าย ก็เพื่อบอกหลินสวินในมุมมืดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ให้เขาถือโอกาสหนีไปโดยเร็ว
ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าหมอนี่กลับกระโดดออกมาอย่างโง่เง่า!
“สมองกลวง?”
มุมปากหลินสวินเผยเส้นโค้ง “ในฐานะสหาย สมองกลวงย่อมดีกว่าทรยศ เจ้าว่าอย่างไร”
“สหาย?” เซียวชิงเหออึ้งงัน ในใจเต้นกระตุกอย่างหาได้ยาก
“เทพมารหลิน ปีนั้นในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เจ้าสังหารกงหยางอวี่หลานชายเผ่าข้า เจ้ายังจำได้หรือไม่!”
ไกลออกไปกงหยางเฉียนสีหน้าอาฆาตชวนสยอง “ข้ารอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน ในที่สุดก็รอจนเจ้ามาได้เสียที!”
“เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ ช่างกล้าเสียจริง ปีนั้นในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทำเอาเกียรติภูมิพวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยับเยิน วันนี้ยังมีหน้ามาเหยียบแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเราอีก ช่างไม่รู้จักว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรชัดๆ!”
คนอื่นต่างก็สีหน้าเย็นชาไร้ใดเปรียบ
“พูดพล่ามมากพอแล้ว ปีนั้นข้ากล้าสังหารกงหยางอวี่ วันนี้ก็กล้าฆ่าพวกเจ้าด้วย!”
ขณะพูดหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหว ในใจเขาเกิดไอสังหารตั้งนานแล้ว มีหรือจะประวิงเวลา
พรึ่บ!
เขาสาวเท้าก้าวออกไป ชือน้ำแข็งสีขาวหิมะทะยานอากาศ กลิ่นอายทั้งตัวพลันเปลี่ยนไปประหนึ่งกลายร่างเป็นเทพมาร พุ่งพรวดขึ้นหน้า
กงหยางเฉียนหรี่ตาลง ขับเคลื่อนปราณเต็มกำลัง หวดสะบัดดาบศึกฟันสังหารออกไป “ร่วมกันลงมือ ฆ่าเดรัจฉานนี่!”
เพียงแต่เสียงเขายังไม่ทันสิ้นสุด หลินสวินก็พุ่งพรวดมาถึง เร็วเกินไปแล้ว ว่องไวดั่งเคลื่อนย้ายพริบตา เผด็จการและอหังการ ซัดหมัดหนึ่งออกไป
ดาบศึกของกงหยางเฉียนกรีดร้องคร่ำครวญรุนแรง หลุดออกจากมือเสียงดังเคร้ง
และเวลานี้เอง อานุภาพหมัดที่ลุกโชนน่าสะพรึงนั้นก็แผ่คลุมลงมา ประทับใส่ช่วงอกกงหยางเฉียนอย่างจัง
ผลั่ก!
หน้าอกกงหยางเฉียนระเบิดกระจุยแหลกโดยพลัน ร่างซูบผอมโค้งงอเหมือนกุ้งตัวใหญ่ที่ต้มสุก ลอยคว้างออกไปอย่างรุนแรง
เขาเลือดออกเจ็ดทวาร ส่งเสียงร้องโหยหวน ทั้งตัวเจ็บหนักปางตาย!
และตั้งแต่ต้นจนจบเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วกะพริบตา
ทั้งที่นั้นต่างเงียบกริบ
หมัดเดียว!
บุคคลระดับกึ่งราชันอย่างกงหยางเฉียนถึงกับไม่อาจต้านไหว!
และเวลานี้เอง พวกเขาเพิ่งตระหนักโดยพลัน ว่าคนหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้เป็นถึงเทพมารคนหนึ่งที่เลื่องชื่อลือกระฉ่อนอยู่ในแดนชัยบูรพา ณ เวลานี้
แม้แต่มุมปากเซียวชิงเหอก็ยังกระตุกน้อยๆ อย่างยากจับสังเกต หากพูดถึงความโหดเหี้ยมและวิปริต หลินสวินเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในบริเวณนั้นกระสับกระส่ายขึ้นมา ผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งกลุ่มล้วนหน้าเปลี่ยนสี
และยามนี้หลินสวินก็ซัดโจมตีต่อไปอย่างไม่บันยะบันยัง
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ห่างจากเขาสามกระจ่างอันเป็นที่ตั้งของสำนักนี้ไม่ถึงพันลี้ หากไม่รีบรบรีบจบ นานไปจะก่อให้เกิดการโต้กลับที่ไม่อาจคาดเดาได้
ตูม!
เงาร่างหลินสวินดั่งภาพมายา พุ่งปราดไปทางชายอ้วนเตี้ยที่มือถือโซ่สีเงินยวงคนนั้น
แต่ระหว่างทางก็มีเสียงกลองปานสะเทือนฟ้าสายหนึ่งดังกึกก้อง เสียงกลองเหมือนมีตัวตนจริงแผ่กว้างออกไป ทรงพลังไร้ใดเปรียบ
หลินสวินส่งเสียงตะโกนลั่นหนึ่งครา ดั่งสัทครรลองมหามรรค เงามายาสัตว์เทพผูเหลาตัวหนึ่งเหินอากาศ เสียงปังดังขึ้นคราหนึ่ง เข้าปะทะโจมตีเสียงกลองนั้นจนปราชัย
พลังของเสียงคำรามผูเหลายังคงไม่ลดละ พาให้หญิงวัยกลางคนถือกลองใหญ่หนังสัตว์นั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัส ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
และเวลานี้ เงาร่างของหลินสวินได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายอ้วนเตี้ยคนนั้นแล้ว ประทับปี้อั้นที่เจิดจรัสไร้เทียมทานสายหนึ่งประทับกำราบลงมา
……………………