Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1048 โชควาสนาศิลามังกรขด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1048 โชควาสนาศิลามังกรขด
กิตติศัพท์หลินสวินแม้โด่งดัง แต่ยามขึ้นเขากลับไม่ราบรื่น
ตูม!
เพียงครู่หนึ่งผู้กล้าหลายคนที่เห็นชัดว่ามาจากสำนักโบราณเดียวกัน ต่างร่วมมือล้อมโจมตีบนทางขึ้นเขาที่กว้างเพียงห้าจั้ง เปี่ยมอานุภาพดั่งเขาไท่ซานกดศีรษะไม่อาจหลบหลีก
ปราดเดียวหลินสวินก็มองออก คนพวกนี้เจตนาหาเรื่อง
อีกฝ่ายอาจได้รับการไหว้วานจากคนอื่น เจตนาลอบกัดทำร้ายตน บางทีอาจเป็นผู้ที่ไม่อยากให้ตนเหนือกว่า
น่าเสียดาย ผู้กล้าเหล่านี้แม้แข็งแกร่ง แต่คนที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแทบไม่มี ถือเป็นเพียงระดับศิษย์สืบทอดแท้จริง สำหรับหลินสวินแล้วไม่พอสร้างภัยคุกคามใดๆ
หลินสวินคร้านจะลงมือ ใต้เท้าชือน้ำแข็งขาวดุจหิมะตัวหนึ่งพุ่งออกมา เชิดศีรษะเหนืออากาศ หางสะบัดม้วนอัดอีกฝ่ายทีละคนอย่างง่ายดาย
กระดูกพวกเขาแตกละเอียด เลือดเนื้อสาดกระจาย ตกจากทางภูเขาสองข้างทางก่อนหายจากไป
‘เทพมารหลินนี่ช่างวิปริต!’
ละแวกใกล้เคียงมีคนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ต่างสูดหายใจเย็นไม่กล้าขวางหน้าอีก เปิดทางให้ตามจิตใต้สำนึก
หลินสวินเองก็ไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ โฉบผ่านมุ่งหน้าต่อไปทันที
“เทพมารหลิน พวกเราเจอกันอีกแล้ว!” ทว่าไม่นานก็มีคนทนไม่ไหว เรียกประทับทองเหลืองออกมาพิฆาตเต็มกำลัง
“ผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์เผ่าปีกอสนีสิงอี่เทียน!”
“ได้ยินว่าสิงอี่เทียนก้าวสู่มกุฎมรรคาแล้ว ครองวิชาลับอสนีบาต พลังต่อสู้แข็งแกร่งดุดันเหลือประมาณ”
ด้านหลังผู้สืบทอดจากสำนักโบราณแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนพิสุทธิ์อมตะ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเห็นภาพนี้ สีหน้าต่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นอยู่บ้าง
คนที่เทพมารหลินล่วงเกินมีมากไปแล้ว หนทางขึ้นเขาของเขาต้องเจอเคราะห์สังหารครั้งแล้วครั้งเล่าแน่!
พลังต่อสู้สิงอี่เทียนไม่ธรรมดายิ่ง แม้สู้เซียวชิงเหอไม่ได้ แต่ก็ไม่ด้อยกว่ากันเท่าไร
น่าเสียดาย ตอนนั้นที่หาดดาราขจรเขาก็ถูกหลินสวินกำราบอย่างแข็งกร้าว ไม่เพียงเกือบสิ้นชีพ ยังสูญเสีย ‘ศรนิรันดร์’ ที่คิดว่าใช้เป็นที่พึ่งได้
ปัจจุบันแม้ศักยภาพเขาแกร่งขึ้นหลายเท่าตัวกว่าตอนแรก แต่พลังต่อสู้ของหลินสวินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินนานแล้วเช่นกัน
ฟุ่บ!
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ชั่วพริบตาเงาร่างก็หายลับจากจุดเดิม
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาถึงหน้าสิงอี่เทียน ซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป
“บัดซบ!”
สิงอี่เทียนหน้าพลันเปลี่ยนสี โคจรพลังทั้งหมดทันที ร่างกายส่งเสียงฟ้าคำราม มายางูมังกรเสมือนจริงคู่หนึ่งปรากฏ ก่อร่างวิวัฒน์จากพลังมรรคอสนีบริสุทธิ์ แสงสายฟ้าส่องประกายไหลบ่าชวนใจสั่น
นี่คือวิชาลับสืบทอดของเผ่า… วิชาอสนีแกร่งงูมังกร ยามสำแดงถึงขีดสุดดั่งงูมังกรพ้นปฐพี พลังสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ปัง!
ร่างหลินสวินพลันระเบิดออกราวทำจากกระดาษ
นี่ทำให้สิงอี่เทียนตะลึงงัน จากนั้นจึงขนพองสยองเกล้าไปทั้งตัว นี่ใช่หลินสวินเสียที่ไหน เห็นชัดว่าเป็นแค่ร่างเงาที่หลินสวินเหลือไว้!
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เห็นชัดว่าเพราะความเร็วของอีกฝ่ายว่องไว เหนือความสามารถในการตอบสนองของตน!
“หากคิดต่อสู้ ข้าจะรอเจ้าที่ยอดเขา”
ข้างหูยินเสียงราบเรียบนิ่งสงบของหลินสวิน สิงอี่เทียนพลันเงยหน้า ก็เห็นว่าบัดนี้หลินสวินอยู่บนทางขึ้นเขาข้างหน้านอกระยะหลายสิบจั้งนานแล้ว!
สิงอี่เทียนสีหน้ามืดทะมึนไม่นิ่งทันที
เขาไม่ได้โง่ ประมือกันสั้นๆ ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ระยะห่างระหว่างตนกับเทพมารหลินนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายตรงข้ามก้าวสู่มรรคาที่สูงยิ่งขึ้นไปนานแล้ว!
ชั่วขณะหนึ่งเขาลังเลและเสียใจภายหลังอยู่บ้าง บนทางขึ้นเขานี้มีเทพมารหลินอยู่ ใครจะต่อกรเขาได้
“สหาย เทพมารหลินแม้แข็งแกร่ง แต่สร้างศัตรูไว้มากมาย สองหมัดยากต้านสี่มือ ยิ่งไปกว่านั้นพวกที่อยากจัดการเขาตอนนี้มีจำนวนไม่น้อย สู้ขึ้นเขาพร้อมกันไม่ดีกว่าหรือ”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งเอ่ยปาก พวกเขาเป็นขุมอำนาจสำนักกลุ่มแรกที่เร่งตามมาและเห็นฉากเมื่อครู่กับตา ในใจก็ตกตะลึงกับฝีมือของหลินสวินไม่หยุด
เวลานี้หากสามารถดึงผู้ช่วยสักส่วนมาจัดการเทพมารหลินด้วยกัน แน่นอนว่านั่นคงดียิ่งกว่า
“หึ ควรตัดสินใจทำอะไร ข้ารู้ตัวดี”
สิงอี่เทียนแค่นเสียงเย็นชา เขารู้ความคิดของฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมถูกหลอกใช้เช่นนี้
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่โน้มน้าวอีก ปีนเขาต่อไป
“สิงอี่เทียน เจ้าขี่หลังเสือแล้วลงยาก ถอยไม่อาจถอย หากไม่กำจัดเทพมารหลิน ยอดเขานี้คงถูกเทพมารหลินยึดครอง เจ้ายอมรึ”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็มาแล้ว ทำการเตือนสิงอี่เทียนเช่นนี้
ในใจสิงอี่เทียนลังเลดิ้นรนยิ่งกว่าเดิม
ผู้สืบทอดในขุมอำนาจต่างๆ ที่เคยมีความแค้นกับหลินสวินอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักยุทธ์สมุทรครามต่างปรากฏตัวตามมาติดๆ
สิงอี่เทียนเห็นดังนี้ ท้ายที่สุดก็กัดฟันกรอด ตัดสินใจขึ้นเขาต่อ!
เดิมเขาคือบุคคลแห่งยุคคนหนึ่ง หากครั้งนี้สามารถยืมมือคนอื่นกำจัดเทพมารหลิน เช่นนั้นการแข่งขันลำดับถัดไปก็มีความหวัง ‘ครองภูผา’ สำเร็จมากขึ้น
…
เรื่องคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นบนทางขึ้นเขาเส้นที่เก้า
ตลอดทางขุมอำนาจสำนักเหล่านี้ดึงผู้แข็งแกร่งอื่นมาเป็นพวกเต็มที่ หมายสร้างพันธมิตรจัดการหลินสวินด้วยกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้การคว้าชัยชนะจะมีแต่มากขึ้น!
เท่านี้ก็ดูออกว่าแม้พวกเขาคนเยอะกำลังมาก แต่ภายในใจต่างหวาดกลัวหลินสวินยิ่ง เห็นเขาเป็นศัตรูผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง ไม่มีใครกล้าละเลยและดูถูก
หลินสวินโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ทั้งระยะเวลาที่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณยังแสนสั้น อย่างไรก็ยังไม่คุ้นสถานการณ์
แต่สำหรับสำนักโบราณเหล่านี้ แต่ละแห่งล้วนรากฐานแข็งแกร่งน่าอัศจรรย์ เหล่าผู้กล้าที่ถูกพวกเขาดึงเป็นพวกบ้างรักษาหน้า บ้างหวาดกลัวอานุภาพของสำนักเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่ล้วนตอบตกลงเข้าร่วมขบวนล้อมปราบหลินสวิน
ด้วยประการฉะนี้ขบวนพันธมิตรที่ก่อตั้งจากต่างสำนักโบราณจึงเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกลิ้งก้อนหิมะ
แม้มีเพียงผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งปฏิเสธการทำเช่นนี้ แต่ยังมีความคิดในเชิง ‘ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ ไล่ตามไปติดๆ คิดลงมือยามสบโอกาส
ชั่วขณะเดียว บนทางขึ้นเขาอื่นๆ การต่อสู้ดุเดือดทยอยปะทุ มีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกตลอดเวลา แต่สถานการณ์บนทางขึ้นเขาเส้นที่เก้ากลับตรงข้าม
การแข่งขันและห้ำหั่นหายไปเกินครึ่งอย่างน่าประหลาด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินสวินถูกมองเป็น ‘ภัยคุกคามอันดับหนึ่ง’ !
สถานการณ์เช่นนี้ ที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นน้อยมาก
เพราะแต่ละสำนักโบราณจะออกเคลื่อนพลมหาศาลมาคุ้มกันและปกป้องเพื่อรับรองว่า ‘ผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุด’ ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันจะดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้
ที่น่าเสียดายคือหลินสวินโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ทั้งไม่มีพื้นเพและคนหนุนหลัง ฉะนั้นยามจัดการเขาเหล่าผู้สืบทอดสำนักโบราณนั่นจึงกล้าก่อตั้งพันธมิตรอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้
หากหลินสวินเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณบางแห่ง สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่
…
สถานการณ์รุนแรงนัก!
หลินสวินเห็นทุกอย่างกับตานานแล้ว ในใจนอกจากเดือดดาล ที่มากกว่าคือไอสังหารเยียบเย็นซึ่งจวนระงับไม่อยู่
ผู้กล้าสำนักโบราณมากเช่นนี้ ปัจจุบันกลับลอบสร้างพันธมิตรหมายจัดการเขาคนเดียว วิธีการเช่นนี้สามารถใช้คำว่าไร้ยางอาย ต่ำทรามมาอธิบายได้ทั้งสิ้น!
‘เจ้าพวกสวะนี่ให้ความสำคัญกับข้าเสียจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้บนเขาเทพไร้มรณะนี่ข้าจะสู้ด้วยถึงที่สุด ดูสิว่าสุดท้ายใครจะร้องไห้ก่อน!’
หลินสวินแอบเคียดแค้น
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาไม่สังหารสิงอี่เทียน นอกจากไม่อยากเสียเวลาถ่วงการปีนเขาของตนแล้ว ยังมีเหตุผลหนึ่งที่สำคัญกว่า
นั่นก็คือแค่สามารถปีนถึงยอดเขา ยึดตำแหน่งครองภูผา ก็มีโอกาสได้รับโชควาสนามหามรรค!
ถึงตอนนั้น ทุกครั้งที่เอาชนะคู่แข่งได้คนหนึ่ง ก็สามารถไขว่คว้าโชควาสนามหามรรคได้เสี้ยวหนึ่ง
โชควาสนามหามรรคที่สะสมยิ่งมาก ข้อได้เปรียบในการประลอง ‘ชิงโชควาสนา’ ถัดไปก็ยิ่งเยอะ
‘ชิงโชควาสนา’ ก็คือการแข่งขันอันดับ อันดับยิ่งสูงแน่นอนว่าประโยชน์ก็ยิ่งมาก!
…
ฟุ่บ!
ในเวลาถัดมาหลินสวินไม่เก็บงำอีก โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างดั่งเรืองแสง อาศัยความเร็วน่าทึ่งที่ตาเนื้อสามารถมองเห็นพุ่งดิ่งไปยังยอดเขา
ระหว่างทางแม้พลังกดดันที่ภูเขาเทพไร้มรณะปลดปล่อยออกมาจะยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่อาจทำให้ความเร็วหลินสวินช้าลงได้
ระหว่างทางแม้มีผู้แข็งแกร่งมากมายชิงปีนป่ายอยู่สูงกว่า แต่ไม่นานก็ถูกหลินสวินไล่ตามทัน ทั้งสะบัดหลุดทิ้งหายเสียห่างไกล
ระหว่างทางไม่รู้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและสายตาตกตะลึงเท่าไหร่ แต่กลับไม่อาจสร้างผลกระทบให้หลินสวินแม้เพียงเสี้ยว
ณ เชิงเขา เยี่ยนจั่นชิวนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งตามอารมณ์ เห็นภาพนี้กับตาพอดี คิ้วกระบี่เลิกขึ้นน้อยๆ ราวใคร่ครวญ ‘พลังแฝงของเด็กนี่น่าอัศจรรย์นัก สามารถทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน ก็ไม่ใช่ผู้ที่คนทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้แล้ว’
จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าเพลิดเพลิน ‘เพียงแต่ยิ่งเขาทำเช่นนี้การผลาญพลังก็ยิ่งมาก รอเมื่อครองภูผา สิ่งที่ต้องเผชิญคือการล้อมโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ขาดสาย นี่ไม่ใช่เรื่องชาญฉลาด ดูท่าใจเขาคงสับสนแล้ว…’
เยี่ยนจั่นชิวส่ายศีรษะ เหลือบสายตามองไปยังทางขึ้นเขาอื่น คนที่เขาให้ความสนใจมีเพียงคนส่วนน้อยบางตา
ภายในนั้นมีจินมู่อวิ๋น เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน และมีอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยาเป็นต้น
แน่นอนว่าที่เขาใส่ใจที่สุดมีเพียงคนเดียว…
จ้าวจิ่งเซวียน
…
เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ หลินสวินทะยานสู่ยอดทางขึ้นเขาเส้นที่เก้าทันที
ที่นี่เป็นจุดสิ้นสุดยอดเขาลูกที่เก้า
แท่นมรรคมหึมาแท่นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น แท่นมรรคโบราณเรียบง่าย อบอวลกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์รางๆ มีรูปร่างเป็นดอกบัวเบ่งบานดอกหนึ่ง ครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งขาว คล้ายแบ่งลักษณ์มืดสว่าง หยินหยางร่วมเคียง
ปรารถนาครองภูผาต้องยึดครองแท่นมรรคนี้!
นับแต่ปีนเขาถึงครองภูผา หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปจึงจะรู้ผลแพ้ชนะ
ฟุ่บ!
หลินสวินไม่ลังเล เงาร่างลอยล่องปรากฏบนแท่นมรรค
ขณะเดียวกันพื้นผิวหยินหยางขาวดำของแท่นมรรคราวตื่นจากความเงียบสงัด แผ่คลื่นโชควาสนาอัศจรรย์หาใดเปรียบ
โชควาสนาเดิมว่างเปล่าเลือนราง แต่บัดนี้กลับราวสายลมเย็นพัดผ่านหน้า ประดุจควันหมอกหนาทึบแท้จริงกำลังแผ่อยู่บนแท่นมรรค
ในใจหลินสวินอดไหวสั่นไม่ได้ ภูเขาเทพไร้มรณะนี้ช่างอัศจรรย์เกินคาดเดา สมเป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามที่มีชื่อเสียงที่สุดแต่โบราณ
ตูม!
ไม่นานกลางแท่นมรรคปรากฏป้ายหินรูปมังกรหนึ่ง สูงเก้าจั้ง ศีรษะมังกรผงาดฟ้า ร่างมังกรม้วนครองอาณาเขต
ดวงตา หนวดมังกร กรงเล็บมังกร เกล็ดมังกรของมัน… ต่างแผ่กลิ่นอายเก่าแก่น่าเกรงขามทุกอณู ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง
ทว่าป้ายหินที่ขมุกขมัวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตาย ขาดแคลนพลังที่ยากอธิบายอย่างหนึ่ง
นี่ก็คือศิลามังกรขด!
พลังโชควาสนามหามรรคที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันได้รับระหว่าง ‘ครองภูผา’ ล้วนจะปรากฏบนนั้น!
………………..