Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1064 เลื่อนขึ้นเป็นสี่อันดับแรก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1064 เลื่อนขึ้นเป็นสี่อันดับแรก
เสียงของปี้ตงหลิ่วเผยให้เห็นความเดือดดาล อัดอั้น และเจ็บปวด
เขาสาบานต่อฟ้าว่าตั้งแต่การต่อสู้นี้เริ่มขึ้นเขาไม่เคยดูถูกหลินสวินเลย ทั้งยามต่อสู้ก็โคจรพลังต่อสู้ของตนถึงขีดสุด
เขาเชื่อว่าสามารถต่อกรกับหลินสวินที่บาดเจ็บสาหัสได้อย่างเหลือเฟือ
จะคิดได้อย่างไรว่าตั้งแต่เริ่มต่อสู้กระทั่งตอนนี้ เขากลับได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง!
นี่ทำให้เขาแทบบ้า
คนนอกเห็นเช่นนี้ล้วนพูดไม่ออก เทพมารหลินผู้นี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว สู้ถึงขั้นนี้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัส ใครจะกล้าเชื่อได้กัน
“เจ้าก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎผู้หนึ่ง ดูไม่ออกหรือว่าข้าบาดเจ็บรุนแรงขนาดไหน” หลินสวินทอดถอนใจ ท่าทางเหมือนถูกเข้าใจผิด
ปี้ตงหลิ่วสีหน้าผันแปรไม่ว่างเว้น
เขาย่อมดูออก การขับเคลื่อนพลังของหลินสวินยุ่งเหยิงนัก สีหน้าซีดเผือด ทั้งบนร่างก็ไม่มีที่ที่สมบูรณ์เลยสักจุด ล้วนมีแต่รอยแผลทั้งนั้น
อีกอย่าง เขายังไอออกมาเป็นเลือดอยู่ตลอด ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกคนไม่อาจไม่เชื่อว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นการประลอง แพ้ชนะขึ้นอยู่กับพลังที่แท้จริงของแต่ละคน ที่เจ้ามาถือสากับเรื่องพวกนี้จะดู… ไร้ความสามารถไปหรือไม่”
เมื่อหลินสวินพูดคำนี้ออกไป ปี้ตงหลิ่วพลันกระทืบเท้า ยิ่งบันดาลโทสะขึ้นไปอีก “ได้ ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะเอาชีวิตเข้าแลกได้ถึงตอนไหน!”
ตู้ม!
เขาออกโจมตีอีกครั้งหนึ่ง ปีกสีทองเจิดจ้ามีสายฟ้าหลั่งไหลลงมากลางฟ้าดิน รวดเร็วอัศจรรย์ พลังทำลายล้างน่าตระหนก
เพียงแต่ไม่นานนักปี้ตงหลิ่วก็ถูกโจมตีจนบาดเจ็บอีกครั้ง เขายังไม่ทันได้แสดงความกราดเกรี้ยวก็ถูกหลินสวินที่พุ่งมาข้างหน้ากำราบลงกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียว
ตึง!
พื้นดินสั่นสะเทือน ปี้ตงหลิ่วร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ปีกถูกฟันขาด เลือดสดๆ ไหลหลั่งออกมาจากร่าง
เสียงชิ้งดังขึ้น ดาบหักที่เฉียบคมหาใดเทียบมาถึงบริเวณคอของปี้ตงหลิ่วแล้ว
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง คับข้องและไม่ยินยอม ไม่อาจเชื่อได้ว่าตนจะแพ้คามือเทพมารหลินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้กระทบจิตใจเขาเกินไปแล้ว
“ยอมแพ้ตอนนี้จะไว้ชีวิตไม่ฆ่าเจ้า หาไม่แล้ว เกรงว่าเจ้าจะถูกคนอื่นฉวยโอกาสตอนที่อ่อนแอเหมือนหลี่ชิงผิง” หลินสวินกล่าว
ปี้ตงหลิ่วอึ้งไป จากนั้นหน้าเปลี่ยนสียิ่ง พูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “ข้ายอมแพ้!”
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก เขาก็อดไม่ได้ที่จะทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี น่าอดสูเกินไปแล้วจริงๆ ถูกคนอื่นเอาชนะ ทั้งยังยอมแพ้อย่างน่าขายหน้า ทำให้ความยโสโอหังของเขาได้รับการกระทบกระเทือน
หลินสวินเก็บดาบหักขึ้นมา พ่นลมหายใจยาวแล้วพูดอย่างโล่งใจว่า “สู้สามชนะสาม ในที่สุดก็ไม่ต้องยืนหยัดต่อไปแล้ว…”
ปี้ตงหลิ่วอดถามไม่ได้ว่า “ตกลงเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
หลินสวินอึ้งไป เอ่ยว่า “เรื่องนี้สำคัญหรือ”
นั่นสิ สำคัญหรือ
ยอมแพ้ไปแล้ว ถามเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีความหมายสักนิด
ปี้ตงหลิ่วยิ้มอย่างเศร้าสร้อย เงาร่างออกจากสนามประลองอย่างโซซัดโซเซ เบื้องหลังโดดเดี่ยว
‘ด้วยพลังต่อสู้ของเจ้า สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องหลอกลวงกันเช่นนี้’ เสียงสื่อจิตของจ้าวจิ่งเซวียนแว่วขึ้นในโสตประสาทของหลินสวิน
หลินสวินกลับไปยังยอดเขาพลางเอ่ยว่า ‘หลอกลวงหรือ ใช่เสียที่ไหน ข้าได้รับบาดเจ็บจริงๆ นะ เพียงแต่ไม่ได้รุนแรงเท่านั้นเอง เป็นพวกเขามาท้าข้าสู้ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ใช่ข้าจงใจเสียหน่อย นี่เรียกหลอกลวงได้หรือ’
จ้าวจิ่งเซวียนลอบดูแคลน ทำแล้วยังไม่ยอมรับ หนังหน้าของเจ้าหมอนี่หนากว่าแต่ก่อนมากนัก
ตอนนี้ทุกคนที่อยู่นอกสนามประลองล้วนสีหน้าหนักอึ้งและฉงน เทพมารหลินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว สู้สามครั้งชนะสามครั้ง พาให้คนประหลาดใจ
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเช่นนี้ แต่กลับเอาชนะหลี่ชิงผิงกับปี้ตงหลิ่ว ดูเหลือเชื่อเกินคาดยิ่งนัก
“เขาต้องแสร้งทำแน่ๆ!”
มีคนกัดฟัน คิดว่าหลินสวินตั้งใจหลอกลวง
“ก็อาจเป็นไปได้ อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้รุนแรงอย่างที่เห็น พวกเราถูกเขาหลอกหมดแล้ว”
ผู้อาวุโสบางคนวิเคราะห์
“ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เขาได้รับชัยชนะไปสามยกแล้ว ผ่านการประลองรอบที่สองแน่นอน สามารถไปชิงห้าอันดับแรกในการประลองสุดท้ายได้แล้ว!”
บางคนทอดถอนใจ การต่อสู้ห้ายกก่อน เทพมารหลินประลองต่อเนื่องสามครั้ง และเอาชนะได้ทุกครั้ง ความเร็วในการเลื่อนระดับนี้ย่อมเรียกได้ว่าเป็นคนแรกในสนามนี้
……
ไม่นานนักการประลองยกที่หกก็เริ่มขึ้นแล้ว
ผู้ที่ออกโรงคือเซี่ยวชางเทียน คู่ต่อสู้ของเขาคือจั่นเฟิงที่มาจากหอกระบี่นพเลิศ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจั่นเฟิงก็ออกปากยอมแพ้
ยกที่เจ็ด คู่ต่อสู้ของจินมู่อวิ๋นเอ่ยยอมแพ้เอง
ยกที่แปด คู่ต่อสู้ของอวี่หลิงคงเอ่ยยอมแพ้
ยกที่เก้า…
การประลองยกแล้วยกเล่าเปิดฉากขึ้น แล้วจากนั้นก็ปิดฉากลง
สถานการณ์การต่อสู้ย่อมดุเดือดหาใดเทียบ ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎเหล่านี้ แต่ละคนต่างเรียกได้ว่าวิปริต มาประลองกันเองก็เหมือนสุริยันจันทราแข่งรัศมี มังกรพยัคฆ์ขับเคี่ยว มีสีสันหาใดเทียบ
ทุกคนที่อยู่นอกสนามประลองต่างดูด้วยความตื่นตระหนก เสียงร้องตกตะลึงและเสียงฮือฮาระลอกแล้วระลอกเล่าปะทุขึ้นอยู่ตลอด
มีคนยินดีปรีดา และมีคนผิดหวัง
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน
เขาประลองต่อเนื่องมาสามยกแล้ว ทั้งไม่มีสถิติแพ้เลยสักครั้ง สามารถเข้าประลองรอบที่สามได้อย่างแน่นอน
เวลานี้เขากำลังสงบจิตทำสมาธิ
การระเบิดตัวเองของโก่วเหยียนเจินทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ ตอนนั้นหากเขาไม่โคจรพลังมรรคดับดารากลืนกิน สลายพลังระเบิดตัวเองที่เข้ามาอย่างจังนั้นทันท่วงที เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะบาดเจ็บสาหัสเข้าจริงๆ
แม้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังถูกจู่โจม ผิวหนังทุกกระเบียดแตกออกเป็นรอยแผลแน่นขนัด ดูแล้วน่าตกใจนัก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น
ยามนั่งสมาธิ ดวงตาดำของหลินสวินเยือกเย็นประหนึ่งผู้สังเกตการณ์คนหนึ่ง มองการประลองทุกครั้งที่เกิดขึ้นบนสนามประลองอยู่เงียบๆ
จิตรับรู้ที่กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเทียบของเขาปกคลุมไปตามมุมต่างๆ ในสนามประลองราวกับขยับมือจับต้อง สัมผัสทุกรายละเอียดของการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นบนนั้นอย่างแม่นยำ
สภาวะจิตของเขาปลอดโปร่งผ่องแผ้ว ราบเรียบไม่ตระหนก
ในห้วงนิมิต วิญญาณแห่งพลังจิตกลับกำลังอนุมานรายละเอียดของการต่อสู้ทุกรอบซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นก็นำการรับรู้ด้านการต่อสู้ของตนเข้าไปอยู่ในนั้นเพื่อเปรียบเทียบ
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
หลินสวินยังไม่โอหังบ้าระห่ำถึงขั้นดูแคลนคนรุ่นเดียวกันในใต้หล้า
แต่เช่นเดียวกัน เขาก็จะไม่ดูถูกตัวเองเกินไป อย่างน้อยถึงตอนนี้ ในหมู่ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ขึ้นสู่ลานประลองไม่ขาดสาย มีน้อยคนนักที่เขาให้ความสำคัญ
หรือพูดได้ว่า เป็นผู้ที่ทำให้เขาไม่อาจมองทะลุตื้นลึกหนาบาง
เซี่ยวชางเทียนเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น สู้ต่อเนื่องสามรอบ เขาระเบิดพลังต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน คมดาบราวโทสะ ภายในสิบกระบวนท่าก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างราบคาบ
เขาถูกขนานนามว่าดาบคลั่ง เจตดาบก็บ้าระห่ำไร้การควบคุม เจือกลิ่นอายอิสระไม่ถูกผูกมัด ทุกที่ที่คมดาบพาดผ่านผ่าน เหมือนสามารถทำลายโซ่ตรวนทั้งมวลได้
ความสามารถที่เขาสำแดงออกมาก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งที่นั้น โดดเด่นสะดุดตาหาใดเทียบ ถูกมองว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความหวังว่าจะช่วงชิงอันดับหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไปได้มากที่สุด!
มารกระบี่เยี่ยเฉินก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน มรรคกระบี่ของเขาผ่าเผยเกรียงไกร เจิดจรัสเหลือคณา ดุดันถึงที่สุด และแกร่งกล้ายิ่งนัก
กระบี่เดียวทำให้เทพผีล้วนตื่นตระหนก!
ยอดมกุฎรุ่นเยาว์สองคนที่ประลองกับเขาต่างถูกกำราบในสามกระบวนท่า ต้องขอยอมแพ้ไปจากการแข่งขัน
จินมู่อวิ๋นก็น่าตื่นตายิ่งยวด มีฐานะเป็นบุคคลระดับผู้นำของคนรุ่นเยาว์สำนักกระบี่เทียมฟ้า มรรคกระบี่ของเขาอหังการดุจอัคคี ประหนึ่งราชันกระบี่พาดขวางจักรวาล
อวี่หลิงคง…
จี้ซิงเหยา…
ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ทุกคนล้วนมีอานุภาพโดดเด่น ราวกับทินกรแข่งกันสาดแสง สำแดงความสง่างามเหนือธรรมดาไปไกลออกมาให้เห็น
อีกทั้งด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้น ก็ทำให้หลินสวินได้เข้าใจแล้ว
มกุฎมรรคาแบ่งออกเป็นสามระดับคือ ‘แรกก้าวสำรวจ’ ‘เข้าถึงชำนาญ’ ‘บรรลุสูงสุด’
ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ขอบเขตมกุฎสิบแปดคนแรกที่พาตัวเองเข้ามาในการประลองรอบที่สองได้ แทบจะอยู่ในระดับเข้าถึงชำนาญทั้งนั้น
ส่วนพวกแนวหน้าอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินได้เริ่มสัมผัสระดับบรรลุสูงสุดแล้ว พลังต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความต่างของมรรคา
สำหรับการต่อสู้ ภายใต้สภาวะที่พลังปราณใกลเคียงกัน สิ่งที่ประชันกันก็คือวิถียุทธ์ของตน
และวิถียุทธ์ ยิ่งมีความเกี่ยวโยงแน่นแฟ้นจนแยกไม่ออกกับการจิตต่อสู้ ฝีมือ และพลังมหามรรค
ย่อมไม่สามารถมีมาตรฐานที่แบ่งแยกได้อย่างแม่นยำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศักยภาพแท้จริงระหว่างยอดมกุฎรุ่นเยาว์ขอบเขตมกุฎเดิมทีก็ต่างกันไม่มาก คิดจะอยู่เหนือผู้อื่นก็ต้องดูไพ่ตายที่แต่ละคนครอบครองแล้ว!
……
หลังจากผ่านไปสามชั่วยามเต็มๆ การประลองรอบที่สองก็ปิดฉากลง
นอกจากโก่วเหยียนเจินที่ถูกคัดออกไปก่อน หลี่ชิงผิงที่สู้สามแพ้สาม ยังมียอดมกุฎรุ่นเยาว์ขอบเขตมกุฎหลายคนที่แพ้ไปทั้งหมดเช่นเดียวกัน
คนที่สามารถสู้สามชนะสามมีเพียงสี่คนได้แก่ หลินสวิน เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน และจินมู่อวิ๋น
ผู้ที่สู้สามชนะสองมีหกคนได้แก่ จ้าวจิ่งเซวียน จี้ซิงเหยา อาหลู่ อวี่หลิงคง กู่เหลียงผิง และฉีชงโต้ว
ผู้ที่สู้สามชนะหนึ่งมีหกคน อิงตามกฎแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีวาสนาได้เข้าประลองในรอบที่สาม
การประลองรอบที่สามจะแบ่งออกเป็นสองประเภท
ประเภทหนึ่งคือช่วงชิงอันดับห้าถึงอันดับสิบ ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์ขอบเขตมกุฎหกคนที่สู้สามชนะสองเหล่านั้น
อีกประเภทหนึ่งคือช่วงชิงสี่อันดับแรก คนที่เข้าร่วมการแข่งขันคือพวกหลินสวินสี่คน
หรือพูดได้ว่ากลุ่มหกคนที่รวมจ้าวจิ่งเซวียน อวี่หลิงคง และจี้ซิงเหยาไว้ไม่มีคุณสมบัติจู่โจมสี่อันดับแรกแล้ว!
เมื่อได้รู้ผลลัพธ์นี้ อวี่หลิงคงพลันรู้สึกเสียศูนย์ สีหน้าอึมครึมไม่สิ้นสุด ความแค้นที่น่าตกตะลึงไหวเคลื่อนในดวงตา
เดิมทีเขาหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะเอาชนะหลินสวินในการประลองครั้งนี้เพื่อชำระล้างความอัปยศ แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขากระทบกระเทือนจิตใจ
ขนาดคุณสมบัติจะไปสู้กับหลินสวินยังไม่มี!
ไม่ต้องสงสัยว่าในสถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ล้างความอัปยศ สุดท้ายยังถูกหลินสวินกดหัวเสียอีก นี่จะให้อวี่หลิงคงยินยอมได้หรือ
“น่าแค้นนัก!” อวี่หลิงคงกัดฟันกรอด
‘การประลองคราวนี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้สู้กัน’ จี้ซิงเหยาถอนใจในใจเบาๆ และออกจะไม่ยินยอม
ก่อนหน้านี้คนที่นางท้าสู้ยกแรกคือเซี่ยวชางเทียน สู้โดยเอาทุกอย่างเข้าแลก สุดท้ายเพราะฝีมือด้อยกว่าจึงไม่ได้รับชัยชนะ
และก็เพราะการต่อสู้นี้ ทำให้นางเสียคุณสมบัติที่จะจู่โจมผู้ที่อยู่ในสี่อันดับแรก
พวกจ้าวจิ่งเซวียนกับอาหลู่กลับสีหน้าเป็นปกติ สามารถพาตัวเองขึ้นมาในสิบอันดับได้ ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว
กู่เหลียงผิงกับฉีชงโต้วก็ดูไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเก็บกลั้นความไม่พอใจไว้ในใจ
“น่าชังนัก! เจ้าเทพมารหลินนั่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ดันแย่งชิงตำแหน่งสี่อันดับแรกไปได้ นี่มันไม่ยุติธรรม!”
ที่ตีนเขามีคนร้องเสียงดัง คลื่นนับพันชั้นโหมขึ้นในครู่เดียว ผู้แข็งแกร่งสำนักโบราณที่มองหลินสวินอย่างแค้นเคืองอยู่ก่อนแล้วบางคนพากันเอะอะโวยวายขึ้นมา
“ใช่แล้ว เขาเทพมารหลินหากไม่เสแสร้งหลอกลวงทำให้หลี่ชิงผิงชะล่าใจติดกับ มีหรือจะได้รับชัยชนะ”
“อาศัยแค่พลังต่อสู้ของเทพมารหลิน เดิมก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝ่าไปสี่อันดับแรกได้เลย!”
ผู้ที่โวยวายและโจมตีหลินสวินเหล่านี้แทบจะเป็นเหล่าขุมอำนาจอย่างแดนพิสุทธิ์อมตะ เรือนกระบี่เร้นปุจฉา แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ที่กำลังเรียกร้องความยุติธรรมแทนพวกอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา
เมื่อผู้ฝึกปราณอื่นได้ยิน แม้ไม่ได้เออออแต่ในใจก็เห็นด้วยนัก
อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน หรือจินมู่อวิ๋นก็ล้วนอาศัยพลังต่อสู้ที่แท้จริงถึงโดดเด่นเกินคนทั่วไปขึ้นมา
แต่หลินสวินในการประลองสองรอบหลัง วิธีที่ได้ชัยชนะมากลับน่าประณามนัก ดังนั้นถึงถูกโจมตีอย่างไม่พึงพอใจมากมาย คิดว่าเขาไม่มีคุณสมบัติขึ้นมาแข่งขันการชิงอันดับหนึ่ง!
——