Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1173 ช่องทางแดนเก้าบนเปิดออก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1173 ช่องทางแดนเก้าบนเปิดออก
ทว่าที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงคือ จุดเปลี่ยนการบรรลุราชันยังไม่มา เวลาเปิดแดนเก้าบนก็มาถึงแล้ว…
วันนี้ในสามพันแดน หอมกุฎแผ่แสงเจิดจรัสอัศจรรย์ พลังกฎระเบียบไร้รูปกระจายออกมา
ภายในหอมกุฎ บันไดสวรรค์มหามรรคเปลี่ยนเป็นทางเดินสายหนึ่งมุ่งไปยังส่วนลึกสุดแห่งห้วงอากาศ!
วันนี้สามพันแดนครึกโครม ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนพลุ่งพล่าน
ตั้งแต่แดนมกุฎมาเยือนจนถึงวันนี้ที่ช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออก ประจวบเหมาะเป็นเวลาหนึ่งปี
หนึ่งปีมานี้เกิดเรื่องระทึกขวัญมากเหลือเกิน!
มีคนร่วงหล่น
มีคนกลายเป็นราชัน
มีคนผงาดง้ำได้รับศุภโชคและวาสนาที่ปรารถนา
มีคน…
แต่นับจากวันนี้ ทุกอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดิน!
“ผู้ที่ดันตนขึ้นสู่หนึ่งพันอันดับแรกของหอมกุฎ ผู้ที่บรรลุราชัน ล้วนมุ่งหน้าไปแดนเก้าบน ช่วงชิงศุภโชคที่ยิ่งใหญ่และพลิกฟ้ายิ่งกว่า!”
“ส่วนคนอื่นต่างทำได้แค่วาดหวังทอดถอนใจ ไร้วาสนาไปเยือน วนเวียนอยู่ในสามพันแดน”
“ระยะห่างจะแยกจากกันโดยสมบูรณ์ในวันนี้!”
คนมากมายกำลังทอดถอนใจ ถอนหายใจไม่หยุด
แดนเก้าบนคือแดนแห่งการช่วงชิงแข่งขันของบุคคลขอบเขตมกุฎ เป็นสนามรบที่หมื่นผู้กล้าธรรมบาลช่วงชิงความเป็นใหญ่ เป็นเวทีต่อสู้ของราชัน
คนอื่นไม่มีคุณสมบัติเข้าไป
นี่ก็คือความแตกต่าง
หรือพูดได้ว่าเป็นการคัดออกโดยปริยาย!
“น่าเสียดาย…”
ผู้แข็งแกร่งที่แต่ก่อนโอ้อวดว่าตนเป็นผู้กล้าและอัจฉริยะบางส่วน บัดนี้กลับไม่มีสิทธิ์เข้าไปในแดนเก้าบน สำหรับพวกเขานี่คือการโจมตีหนักหน่วงโดยไม่ต้องสงสัย
“ที่แดนเก้าบน การช่วงชิงอันดับกระดานทองคำผู้กล้าจะปรากฏ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแข่งขันหรอกหรือ”
ใบหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งเศร้าสลด ในใจรู้สึกพ่ายแพ้
ผู้คนต่างรู้ว่ามีเพียงดันตนขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า จึงจะมีสิทธิ์เรียกตนว่าเป็น ‘ผู้กล้า’ อย่างแท้จริง!
“ห่างกันเพียงก้าว แตกต่างราวฟ้าดิน ความเหี้ยมโหดแห่งมหามรรคเห็นได้ที่นี่!”
เวลานี้ในสามพันแดนเสียงถอนใจ รำพัน จิตตก หดหู่ โมโห จนปัญญาไม่รู้เท่าไรดังก้องขึ้น
ถึงขั้นมีคนร้องไห้ด้วยเหตุนี้!
ไม่ได้เป็นผู้ฝึกปราณอย่างแท้จริง ยากเข้าใจความรู้สึกจนปัญญาที่ ‘ไร้วาสนาได้เห็นยอดเขาสูง’ เช่นนี้
เทียบกันแล้วเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเข้าสู่แดนเก้าบน แต่ละคนอิ่มเอมยินดี จิตใจฮึกเหิม
เสาะแสวงหามหามรรคมาก็เพื่อวันนี้!
“ไป”
แดนขุมทอง อวิ๋นชิ่งไป๋ก้าวนำเข้าไปในหอมกุฎ สีหน้าราบเรียบ
“ออกเดินทาง!”
แดนม่วงแท้ แววตาเยี่ยนจั่นชิวดุจอสนี สาวเท้าก้าวใหญ่ไปเบื้องหน้า
“แดนเก้าบน สถานที่ที่ผนึกศุภโชคพลิกฟ้าหมื่นสมัยเปิดแล้วรึ”
ธิดาเทพหลินเสวี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบา
“คราวนี้ข้าจะกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชัน แล้วกำราบคนรุ่นเดียวกันให้หมด!”
ในทุ่งโล่งกว้าง ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาท่าทางเก็บตัวคนหนึ่ง พลันกลายร่างเป็นพญาเผิงปีกทองตัวหนึ่ง เผยไออำมหิตไร้เทียมทาน ลอยเหนือนภาหายไปทันใด
บริเวณต่างๆ ในสามพันแดน บุคคลแห่งยุคที่ฝีมือล้ำเลิศคนแล้วคนเล่าเริ่มเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบน
ในแดนเผาเซียนก็กำลังเปิดม่านฉากคล้ายคลึงกัน
หน้าหอมกุฎผู้คนคราคร่ำ ผู้แข็งแกร่งที่เจิดจรัสหาใดเปรียบแต่ละคนเดินเข้าไปในหอมกุฎ ภายใต้สายตาอิจฉาและยำเกรงมากมายที่จับจ้อง
เมื่อสังเกตโดยละเอียดจะพบว่า ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แทบทั้งหมดต่างมาจากขุมอำนาจมหาสำนักใหญ่
บ้างเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎในยุคปัจจุบัน
บ้างเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ!
ส่วนนอกเมือง ผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นราชันนานแล้วบางส่วนก็เริ่มออกเคลื่อนไหว
ราชันเหล่านี้แค่ทะยานผ่านเมฆก็มาถึงท้องฟ้าเหนือหอมกุฎ อาศัยพลังกฎเกณฑ์มรรคราชันของตนก็สามารถถูกนำทางไปยังแดนเก้าบนได้แล้ว
“เทพมารหลินล่ะ?”
ที่ทำให้ทุกคนสงสัยคือ ในเวลาเช่นนี้กลับขาดหลินสวินไปคนหนึ่ง!
สำหรับหลินสวินที่ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งของบันไดสวรรค์มหามรรค ไม่เคยถูกสั่นคลอนเพียงเสี้ยวจนถึงปัจจุบัน ในวันสำคัญที่ทั่วหล้าจับตามองเช่นนี้กลับไม่ปรากฏตัว นี่ทำให้คนแปลกใจโดยไม่ต้องสงสัย
“เขาไม่คิดไปแดนเก้าบนแล้วรึ” มีคนกล่าวหยอกล้อ
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ความคิดของเทพมารหลินจะเป็นสิ่งที่เราสามารถคาดเดาได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องไปแดนเก้าบนแน่!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ เสียงตวาดราวฟ้าคะนองหนึ่งดังก้องบนเวิ้งฟ้าทันใด
“หลินสวิน เผ่าอีกาทองของข้าจะรอเจ้าที่แดนเก้าบน!”
น้ำเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูก เปี่ยมความเกลียดชังเหลือคณา
ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งหยัดยืนบนเวิ้งฟ้า ทั่วร่างแผ่อานุภาพกดดันแห่งมรรคราชัน เป็นอูหยวนเจิ้นแห่งเผ่าอีกาทองนั่นเอง!
ตอนนั้นเขาเคยกมข่มหลินสวินที่หน้าประตูเมือง
ในใจทุกคนสั่นสะท้าน เทพมารหลินยังไม่เข้าสู่แดนเก้าบนก็ถูกหมายหัวเสียแล้ว
“เลือดต้องล้างด้วยเลือด เทพมารหลิน ถ้ากล้าเจ้าก็มาที่แดนเก้าบน!”
“ทางที่ดีเจ้าล้างคอรอไว้ได้เลย!”
“แดนเก้าบนไม่มีโอกาสให้เจ้าได้เป็นเต่าหดหัวอีกแล้ว!”
เวิ้งฟ้าอีกด้านหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับราชันอย่างเมี่ยวเฉินแห่งสำนักยุทธ์นครนิล ซางชงจากเผ่าวิญญาณสมุทร หวังอวิ๋นทงแห่งลัทธิบูชาจันทร์ต่างส่งเสียงเย็นชา
ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาถูกตัดขาดอยู่นอกเมืองโบราณเผาเซียน แค่คิดก็รู้แล้วว่าในใจอัดอั้นเพียงใด
ตอนนี้ช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออก ทำให้พวกเขาไม่ต้องอดกลั้นอีก ก่อนเดินทางจึงกล่าวคำรุนแรงทิ้งท้ายเช่นนี้
ในที่นั้นเงียบสงัด ล้วนถูกทำให้หวั่นหวาด
สาเหตุที่เทพมารหลินไม่เคลื่อนไหวมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนตอนนี้ เป็นเพราะคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้วรึ
“เหอะๆ จำคำข้าเอาไว้ เมื่อข้ากลายเป็นราชัน เมื่อนั้นก็คือเวลาตายของพวกเจ้า”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น
ทุกคนหันกลับไปโดยพร้อมเพรียง ก็เห็นหลินสวินปรากฏตัวเหนือยอดตำหนักที่พักไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังถือน่องหมาดำย่างกินอย่างเอร็ดอร่อย
ท่าทางเขาสบายๆ มองเหล่าราชันบนฟ้าราวสิ่งไร้ค่า!
ปรากฏตัวแล้ว!
ในลานพลันเกิดความไม่สงบ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้แล้วเทพมารหลินยังคงความสง่างามดังแต่ก่อนได้ แข็งกร้าวจนพาให้คนงุนงงไปหมด
“เจ้าเดรัจฉาน ยังคิดกลายเป็นราชันอีกรึ เจ้าคิดว่าพวกข้าจะให้โอกาสเจ้าหรือไร”
อูหยวนเจิ้นหัวเราะลั่น เสียงราวนกฮูกหวีดร้องเสียดแก้วหู
ประโยคเดียวทำให้ผู้คนทอดถอนใจในใจ จริงดังว่า ตอนนี้เทพมารหลินยังไม่ใช่ระดับราชัน ขอแค่เข้าสู่แดนเก้าบน ใครจะปล่อยให้เขากลายเป็นราชันต่อหน้าต่อตา
คาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่า ก่อนจะได้กลายเป็นราชันเขาคงถูกขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ไล่ล่าอย่างเหี้ยมโหดที่สุดแน่!
“ไปเถอะ พูดเรื่องพวกนี้กับคนใกล้ตายคนหนึ่งจะมีความหมายอะไร”
บนเวิ้งฟ้าเหล่าราชันยิ้มเยาะ ถอนสายตากลับไม่ใส่ใจหลินสวินอีก เงาร่างพริบไหว ถูกนำทางเข้าเส้นทางสู่แดนเก้าบน
และในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน โยนกระดูกที่กินเนื้อเกลี้ยงแล้วในมือทิ้ง จากนั้นจึงโบกมือไปทางฝูงชนที่ห่างออกพลางกล่าว “ไม่ต้องดูแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ตอนนี้ยังไม่จากไป”
เขาพูดพลางเงาร่างพริบไหว หายไปจากตรงนั้น
“มีเรื่องต้องทำรึ ข้าว่ากลัวเข้าไปในแดนเก้าบนแล้วจะถูกล้อมโจมตี ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าจากไปมากกว่ากระมัง” ผู้สืบทอดขุมอำนาจคนหนึ่งกล่าวพึมพำ
ทันใดนั้นเขาก็ถูกศิษย์ร่วมสำนักข้างกายตำหนิ “หุบปาก! เจ้าอยากหาเรื่องให้สำนักเรารึ”
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์เข้าไปในแดนเก้าบนได้
หรือพูดได้ว่าเหล่าขุมอำนาจใหญ่ในเมืองยังต้องอยู่ในแดนเผาเซียน ใช้ที่นี่เป็นฐานที่มั่น บุกเบิกเสาะหาวาสนาและศุภโชคในแดนเผาเซียนต่อไป
ในเวลานี้เพียงแค่หลินสวินอยู่ในเมืองต่อหนึ่งวัน ขุมอำนาจพวกนี้ก็ไม่กล้าเบาใจแม้แต่วันเดียว!
“เวลาเปิดช่องทางมีแค่เดือนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าเทพมารหลินจะไม่ไปต่อ นอกเสียจากว่าเขาไม่อยากมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนแล้วจริงๆ!”
ผู้สืบทอดขุมอำนาจบางส่วนแอบยิ้มเยาะ
สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาหวาดกลัวเทพมารหลิน ทำได้แค่อดทนอดกลั้น แต่ใครๆ ก็รู้ว่าสุดท้ายเทพมารหลินต้องจากไปอยู่ดี ใครจะมามัวหวั่นเกรงและหวาดกลัวอีกเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น ในแดนเก้าบนยังมีคนอีกมากที่อยากสังหารเทพมารหลินจนทนไม่ไหว!
…
แทบจะวันเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบนในแดนเผาเซียนจากไปเกือบหมดแล้ว
ผ่านไปเจ็ดวัน
ในเมืองโบราณเผาเซียนแทบจะหาร่างคนที่มุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนไม่พบ
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นราชันนานแล้วพวกนั้นก็ทยอยทะยานสู่ฟากฟ้าจากนอกเมือง ออกจากแดนเผาเซียนกันไปหมด
แต่ที่ทำให้ทุกคนต่างแปลกใจคือ ผ่านไปเจ็ดวันแล้วหลินสวินกลับไม่มีสัญญาณว่าจะไปแดนเก้าบนแม้แต่น้อย!
เขาหวาดกลัวจริงหรือ กังวลว่าหลังเข้าสู่แดนเก้าบนแล้วจะเจออันตรายที่ไม่อาจคาดเดารึ
หรือเขากำลังรออะไรบางอย่าง
คืนวันนั้นเอง
เงาร่างลับๆ ล่อๆ กลุ่มหนึ่งเข้ามาทางประตูเมือง
เพียงแต่เพิ่งเข้าเมืองมาคนพวกนั้นก็อึ้งงัน ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าถูกเงาร่างสันโดษโดดเด่นหนึ่งขวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“แย่แล้ว เป็นเทพมารหลิน!”
มีคนหวีดร้องทันที
ขณะเดียวกันหลินสวินก็ยิ้มแล้ว “รู้อยู่แล้วว่าสวะอย่างพวกเจ้าต้องอดไม่ไหวเข้าเมืองมาแน่ คิดว่าข้าเอาตัวไม่รอด ไม่มีทางนึกถึงพวกเจ้าแล้วใช่ไหม”
“หนี!”
เงาร่างพวกนั้นตกใจจนจิตวิญญาณแทบลอยล่อง หันหลังหนีไปนอกเมือง
ทว่าหลินสวินชิงลงมือสำแดงผนึกป้าเซี่ยแล้ว พลังผนึกต้องห้ามไร้รูปแผ่กระจาย คนพวกนั้นพลันถูกพันธนาการอยู่ตรงนั้นทันที
จากนั้นร่างกายก็ระเบิดออกคนแล้วคนเล่า ฝนโลหิตสาดพรมตายคาที่
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ศพและน้ำเลือดบนพื้นล้วนระเหยหายไปสิ้น เหมือนทุกอย่างเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้ฝึกปราณพวกนี้คือเหล่าผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ที่หนีไปนอกเมืองยามหลินสวินชำระเลือดล้างบาง!
มีหลินสวินควบคุม พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าเมืองมาโดยตลอด แน่นอนว่าไม่มีทางหาโอกาสทะลวงด่านในหอมกุฎได้ ถึงขั้นตัดโอกาสเข้าไปในแดนเก้าบนอย่างสิ้นเชิง
ในขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ คนที่กลายเป็นราชันได้น่าจะจากไปเกือบหมดแล้ว
ที่เหลือล้วนเป็นพวกที่ยังไม่กลายเป็นราชัน ทั้งเป็นผู้สืบทอดที่ไม่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบน
เดิมพวกเขาคิดว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ไม่ช้าก็เร็วเทพมารหลินต้องจากไป ไม่มีเวลามาคำนึงถึงพวกเขา ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้าวางแผนเข้าเมือง
ใครจะคิดว่าทันทีที่เข้าเมืองมาจะถูกขวาง จากนั้นก็ประสบเคราะห์!
แววตาลุ่มลึกของหลินสวินมองไปนอกประตูเมืองเงียบๆ วูบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้เดินออกไป หากแต่หันหลังจากไป
“เจ้าเด็กนี่รอบจัดเกินไปแล้ว!”
หลินสวินจากไปไม่นาน ในรัตติกาลนอกเมืองก็ปรากฏเงาร่างมากมาย แต่ละคนล้วนแผ่อานุภาพมรรคราชันทรงพลังออกจากตัว
“ทำอย่างไรดี เขาไม่ไปแดนเก้าบนทั้งไม่ยอมออกจากเมือง พวกเหยื่อล่อที่เข้าเมืองไปเมื่อครู่ก็ถูกเขาสังหารหมด พวกเราต้องรอต่อไปเช่นนี้หรือ”
มีคนเอ่ยเสียงต่ำเบา แฝงความไม่พอใจและเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด
“ในใจเขาตั้งมั่นเฝ้าระวังไว้นานแล้ว คงไม่ออกจากเมืองนี้แน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรารออยู่ที่นี่ไปก็เปล่าประโยชน์”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
“เอาตามนั้นแล้วกัน”
บนท้องถนนในเมือง หลินสวินกำลังเดินเล่นคนเดียว ก้าวย่างเนิบช้า
ไม่นานเขาราวรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้ามองไปยังเวิ้งฟ้าก็เห็นเงาร่างเปี่ยมกลิ่นอายมรรคราชันหลากสายกำลังจากไปทีละคน
‘ดูท่าไม่รีบฆ่าให้หมดคงไม่ได้…’
นัยน์ตาดำหลินสวินล้ำลึกเยียบเย็น
ใครเล่าจะคิดว่านอกเมืองยังมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันมากขนาดนี้ซุ่มตัวอยู่เพื่อจัดการเขา
ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญ หลินสวินก็รู้ว่าคนพวกนี้ต้องมาจากพวกขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทองแน่!
………………………