Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1200 โจมตีครั้งเดียวก็เพียงพอ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1200 โจมตีครั้งเดียวก็เพียงพอ
โฮก!
ในป่าดึกดำบรรพ์ เสียงมังกรคำรามดังก้องขึ้นมาจากภายในร่างหลินสวิน เสียงครั่นครืนแผ่กระจายออกมาทันที
ห้วงอากาศใกล้เคียงพลันปั่นป่วน ส่งเสียงคร่ำครวญคล้ายแบกรับพลังเช่นนี้ไม่อยู่
ต้นไม้ใหญ่มากมายแตกระเบิดเสียงดังสนั่นกลายเป็นเศษไม้ปลิวลอย
ในจุดที่ห่างออกไป กิ้งก่าเขาทองลายทางตัวหนึ่งที่เดิมซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าร่างพลันระเบิดออก ฝนโลหิตซ่านเซ็น
พร้อมกันนี้หลินสวินก็ลืมตาขึ้น
ภายในร่างเขาเจินหลงตัวหนึ่งขยับเคลื่อนมีชีวิตชีวาขดล้อมรอบเมล็ดพันธุ์มรรค ดูดกลืนแสงมรรคแห่งน้ำไฟ!
‘เจ็ดวัน ในที่สุดก็ทะลวงแก่นมรรคเจินหลงได้ถึงระดับระเบียบมรรค’
หลินสวินผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เขาเพียงคิดในใจ อักษรเคราะห์ทองอร่ามเก้าตัวแปลงเป็นสัตว์เทพมายาเก้าชนิดอย่างชือน้ำแข็ง ฟู่ซี่ ซวนหนี ปี้อั้น เฉาเฟิง หยาจื้อ ฉิวหนิว ผูเหลา ป้าเซี่ย
สัตว์เทพแต่ละตัวต่างขยับเคลื่อนมีชีวิตชีวาเปี่ยมจิตวิญญาณ ครอบครองสมบัติอย่างมุกน้ำแข็ง เกราะศึก เตาสมบัติ ตราประทับ ธนูเทพ พิณโบราณเป็นต้น
ไอเจินหลงหลากสายแผ่อวลจากร่างเหล่าสัตว์เทพ เบียดเสียดห้วงอากาศไปทั้งแถบ!
สิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่จำศีลอยู่ในรัศมีหมื่นจั้ง เวลานี้ต่างสั่นไปทั้งตัว ถูกทำให้หวั่นหวาดโดยสมบูรณ์ หมอบคลานลงกับพื้นตัวสั่นงันงก
ใช้กฎเกณฑ์เจินหลงโคจรมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร เห็นได้ชัดว่าอานุภาพต่างจากการใช้กฎเกณฑ์มหามรรคอื่นมาโคจรโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณและอานุภาพเพิ่มขึ้นมามาก!
สรุปง่ายๆ ก็คือ กฎเกณฑ์เจินหลงและมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรคือ ‘วิถี’ กับ ‘กฎเกณฑ์’ ที่เสริมส่งกันและกัน!
ไม่นานหลินสวินก็เก็บงำพลัง สลายอานุภาพทั่วร่าง จมสู่ห้วงความคิด
ตอนนี้ก็เหลือเพียงมรรคดับดารากลืนกินและมรรคไร้มรณะที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นระดับระเบียบมรรค แต่คงใช้เวลาทะลวงระดับไม่นานนัก
ทันใดนั้นหลินสวินก็ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง ‘บัวเทพสองลักษณ์คือโอสถเทพ หากกินมันเวลานี้แม้จะทำให้ข้าครอบครองมหามรรคทั้งสองอย่างหยินหยางได้ แต่กลับจะสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์…’
เขาตัดสินใจจะกินโอสถนี้ยามจำเป็น
ฟุ่บ!
หลินสวินไม่โอเอ้อีก หยัดร่างขึ้น เวลาต่อมาเงาร่างก็หายลับจากไป
วันนี้ก็คือวันที่นัดเจอกับจี้ซิงเหยา
…
บนเนินเขาเตี้ยลูกหนึ่ง
ร่างงามสง่าของจี้ซิงเหยายืนอยู่บนนั้น หญ้าสีเขียวใกล้เคียงพลิ้วไสว นางสวมชุดขาว ผมดำทั้งศีรษะพลิ้วไหวกลางสายลม เหนือโลกีย์ดั่งเทพธิดา งามบริสุทธิ์โดดเด่น
“แม่นางจี้”
หลินสวินมาแล้ว ยิ้มกล่าวทักทาย “ออกเดินทางเมื่อไหร่รึ”
“รอเดี๋ยว ครั้งนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งจะเดินทางไปกับพวกเราด้วย”
จี้ซิงเหยากล่าวราบเรียบ
“ใครหรือ” หลินสวินชะงัก
“ผู้สืบทอดของ ‘จวนเทพขุมทมิฬ’ แห่งแดนเร้นอริยะ คนนำขบวนของพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ทรงพลังคนหนึ่งนามว่าเจิ้นอวิ๋นเฟิง มีพรสวรรค์ ‘เลือดเงินกระดูกนรก’ แต่กำเนิด สมัยบรรพกาลก็เป็นยอดบุคคลในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎ พลังต่อสู้น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง”
จี้ซิงเหยากล่าวอธิบายรวดเร็ว “สาเหตุที่ร่วมมือกับพวกเขา เนื่องเพราะในมือพวกเขาก็มีแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับบ่อโลหิตนรกเทพม้วนหนึ่ง อีกทั้งเจิ้นอวิ๋นเฟิงนี่ยังสนิทกับโม่เทียนเหอ สัตว์ประหลาดยุคโบราณของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้า ร่วมมือกับพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายอะไร”
หลินสวินพยักหน้า เขาไม่มีความเห็นเรื่องนี้
พวกจี้ซิงเหยามาเพื่อเสาะหาวาสนา ส่วนเขาก็มาเพื่อช่วยเจ้าคางคก ไม่ถึงขั้นขัดผลประโยชน์
แน่นอนว่าหากเกิดการปะทะระหว่างทำภารกิจจริง หลินสวินก็ไม่หวั่นเกรง
“จริงสิ ข้ามีสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่งสามารถเปลี่ยนหน้าตาและบุคลิกเจ้าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วใครก็ไม่อาจมองฐานะของเจ้าออก”
จี้ซิงเหยากล่าวอย่างลังเลอยู่บ้าง
หลินสวินเข้าใจความกังวลของนาง สิบวันก่อนเขาเพิ่งอัดโม่เทียนเหอไปยกหนึ่ง หากเคลื่อนไหวร่วมกันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น”
หลินสวินพูดพลางโคจรเคล็ดวิชามหาไร้รูป หน้าตาและบุคลิกทั้งตัวพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดา ท่าทางสุขุมจริงจังคนหนึ่ง
จี้ซิงเหยาตะลึง มองหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วอมยิ้มกล่าว “เห็นอย่างนี้ค่อยรู้สึกเจริญตาขึ้นมาก”
หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์ “ก่อนหน้านี้ไม่เจริญตารึ”
จี้ซิงเหยาพยักหน้าจริงจัง “แต่ก่อนเจ้าเหมือนนักเลงหัวไม้ หน้าด้านไร้ยางอาย ยิ่งดูยิ่งไม่สบอารมณ์”
นางพูดพลางอดหัวเราะไม่ได้ หลุดขำพรืดออกมา ใบหน้างามพิสุทธิ์โดดเด่น ภายใต้แสงจากท้องฟ้าแลดูบริสุทธิ์ผุดผ่องผิดธรรมดา
หลินสวินกลอกตาใส่ “พวกเราก็เหมือนๆ กัน แต่ก่อนเจ้าเหมือนนกยูงรำแพนหาง มองเหยียดจมูกเชิด เย่อหยิ่งจนไม่รู้จะว่าอย่างไร”
จี้ซิงเหยาถลึงตากว้าง โกรธจนกัดฟันกรอด ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่างหลินสวินก็พูดออกมา “อย่าเอะอะ มีคนมาแล้ว!”
จี้ซิงเหยาหน้าค้างแข็งทันที โพรงจมูกส่งเสียงฮึเย็นชา จากนั้นก็ฟื้นคืนความสง่างามปลีกวิเวกดั่งเทพธิดาเหมือนแต่ก่อน
“ศิษย์น้องจี้ ให้เจ้ารอนานแล้ว”
บนเวิ้งฟ้าเงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมา ผู้นำคือชายหนุ่มเสื้อคลุมนกกระเรียนคนหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาโม่เทียนเหอ
จี้ซิงเหยาพยักหน้าน้อยๆ สายตามองไปยังชายที่อยู่ข้างกายโม่เทียนเหอ
“ศิษย์น้องจี้ นี่ก็คือสหายยุทธ์เจิ้นอวิ๋นเฟิง สมัยบรรพกาลพวกเราเคยเข้าไปในแดนมกุฎด้วยกัน สนิทสนมกันทีเดียว”
โม่เทียนเหอยิ้มกล่าวแนะนำ
นี่คือชายหน้าตาเคร่งขรึมคนหนึ่ง สวมชุดคลุมดำแขนกว้าง ศีรษะสวมเกี้ยวประดับดารา ร่างสูงโปร่งองอาจ ผิวขาวกระจ่างประหนึ่งหยก
เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ก็ดูประหนึ่งโอรสสวรรค์ชนชั้นสูงคนหนึ่ง ให้ความรู้สึกสง่างามน่าเกรงขาม ภายนอกดูเหมือนเฉยชา ความจริงแล้วซ่อนความเอาแต่ใจถึงที่สุด
โดยเฉพาะข้างหลังเขายังมีผู้แข็งแกร่งสี่คนตามมาด้วย เป็นชายสองหญิงสอง ล้วนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เหมือนกับหงส์มังกรในหมู่ชน
แต่เวลานี้กลับห้อมล้อมเขาราวดาวล้อมเดือน ขับเน้นจนความเป็นมาและเบื้องลึกเบื้องหลังเขาไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม
“คารวะสหายยุทธ์” จี้ซิงเหยาเอ่ยปาก
พร้อมกันนี้เจิ้นอวิ๋นเฟิงผงกศีรษะเล็กน้อย
นัยน์ตาเจือแสงม่วงอ่อนนั้นของเขาประเมินจี้ซิงเหยาแล้วกล่าว “ยุคปัจจุบันมีหญิงสาวที่เจิดจรัสไร้ใครเทียมอย่างเทพธิดาจี้เช่นนี้ พาให้คนตกตะลึงจริงๆ”
“สหายยุทธ์กล่าวชมเกินไปแล้ว” จี้ซิงเหยาท่าทีราบเรียบนิ่งสงบ
นี่ทำให้เจิ้นอวิ๋นเฟิงผิดคาดอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะมองจี้ซิงเหยานานเป็นพิเศษ
“ศิษย์น้องจี้ สหายท่านนี้คือ?”
เวลานี้โม่เทียนเหอจึงเหลือบสายตามองไปยังหลินสวิน สำรวจเล็กน้อยแล้วอดคิ้วขมวดไม่ได้
“คนที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้ เขา…”
จี้ซิงเหยากล่าวถึงตรงนี้ก็ถูกหลินสวินยิ้มสอดปากพูดว่า “ข้าชื่อจินตู๋อี ยินดีที่ได้พบสหายยุทธ์ทุกท่าน”
จี้ซิงเหยาแอบเป่าปากโล่งอก ก่อนหน้านี้นางลืมตั้งชื่อให้หลินสวิน ยังดีที่เจ้าหมอนี่หัวไว
จินตู๋อี?
โม่เทียนเหอเคลือบแคลงสงสัย แอบใคร่ครวญในใจ จี้ซิงเหยาไปรู้จักสหายเช่นนี้เมื่อไหร่กัน
“จินตู๋อี… จากคำว่าหนึ่งเดียวไม่มีสองใช่ไหม เป็นชื่อที่บ้าระห่ำจริงๆ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มเยาะ จากนั้นก็มองหลินสวินหัวจรดเท้าแล้วกล่าวกับจี้ซิงเหยาทันที “เทพธิดาจี้ เจ้าก็รู้ว่าที่พวกเราจะไปคราวนี้คือเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก อันตรายเป็นที่สุด หากมีคนถ่วงแข้งขาก็จะกระทบภารกิจของพวกเราทั้งหมด”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สหายเจ้าคนนี้จะไหวหรือ
จี้ซิงเหยายิ้มเยาะในใจ หากเจ้ารู้ฐานะของเจ้าหมอนี่ยังจะกล้ากระทู้ถามเช่นนี้ไหม
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ปากนางกลับบอกว่า “วางใจเถอะ พลังของสหายยุทธ์จินไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่มีทางสร้างปัญหาให้ภารกิจของพวกเราแน่นอน”
“มีแต่ลมปากเชื่อถือไม่ได้ ภารกิจครั้งนี้ใหญ่หลวง ถ้าอยากให้สหายเจ้าคนนี้เข้าร่วม ก็ได้ ให้เขาผ่านด่านข้าไปก่อน!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งด้านหลังเจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยปาก นี่คือชายหนุ่มแกล้วกล้าหน้าเรียว นัยน์ตาดุจคมดาบคนหนึ่ง สายตาข่มขู่ผู้คน จ้องมองหลินสวินด้วยสีหน้าเย็นชาหยิ่งทะนง
เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มน้อยๆ ไม่ขัดขวาง
โม่เทียนเหอเลือกสังเกตการณ์เงียบๆ ในใจเขายังเคลือบแคลงสงสัยว่าจินตู๋อีนี่มีที่มาอย่างไรกันแน่
อีกทั้งในใจยังมีความคิดบ้าบิ่นอย่างหนึ่ง สงสัยว่าชื่อจินตู๋อีนี้ต้องเป็นชื่อปลอมแน่ ฐานะที่แท้จริงเป็นไปได้สูงว่าคือหลินสวิน!
ต้องรู้ว่าสิบวันก่อนหลินสวินเคยปรากฏตัวและพูดคุยกับจี้ซิงเหยา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เห็นชัดว่าไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
ประกอบกับตั้งแต่มาถึงแดนมกุฎจี้ซิงเหยาก็ไม่เคยพูดว่านางมีสหายเช่นนี้ จะให้โม่เทียนเหอไม่คิดสงสัยคงยากนัก
‘ขอแค่เขากล้าลงมือ ต้องมองฐานะเขาออกแน่!’ โม่เทียนเหอแอบกล่าวในใจ
เขาเคยถูกหลินสวินเอาชนะ จดจำกลิ่นอายของหลินสวินได้นานแล้ว ทันทีที่ลงมือ ต่อให้ปลอมตัวดีแค่ไหนก็จะถูกเขามองออก!
จี้ซิงเหยาเห็นดังนี้ หว่างคิ้วเผยแววขุ่นเคืองวูบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ หลินสวินเป็นถึงผู้ช่วยที่แข็งแกร่งซึ่งตนเชิญมา แต่เจ้าพวกนี้กลับกระทำเช่นนี้
นี่ไม่เพียงแต่สงสัยหลินสวิน ยังสงสัยการตัดสินใจของนางด้วย!
ทว่าไม่รอนางเอ่ยปาก หลินสวินก็ยิ้มน้อยๆ กล่าว “ยั่วยุข้าต้องจ่ายค่าตอบแทน เจ้าแน่ใจว่าจะทำเช่นนี้หรือ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงชะงัก จากนั้นก็ยิ้มเยาะ ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าหมอนี่จะบ้าระห่ำยิ่งนัก
ชายหนุ่มแกล้วกล้านามจั่นลู่ซิวนั่นคือระดับมกุฎราชันคนหนึ่งเช่นกัน แม้จะไม่ใช่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่ก็เป็นปีศาจแห่งยุคจากจวนเทพขุมทมิฬคนหนึ่ง!
กวาดสายตามองคนรุ่นเดียวกัน คงไม่มีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้!
คนอื่นต่างหัวเราะออกมา สีหน้าเพลิดเพลิน ในใจแอบกล่าวว่าเทพธิดาจี้ไปหาคนบ้าเช่นนี้จากไหนกัน ไม่เพียงแต่ชื่อที่ระห่ำ แม้แต่การกระทำก็บ้าคลั่งพาให้คนอยากหัวเราะ
มีเพียงโม่เทียนเหอที่สงสัยกว่าเดิม ใจเต้นโครมคราม ได้ยินวิธีพูดเช่นนี้แล้วเหมือนท่าทีของเทพมารหลินไม่มีผิด กำเริบเสิบสาน กล้าหาญจนน่าตกตะลึง!
เป็นเขาจริงหรือ
แววตาโม่เทียนเหอไหววูบ
จั่นลู่ซิวก็ยิ้มแล้ว เพียงแต่รอยยิ้มเยียบเย็นนัก อดเหลือบสายตามองไปยังเจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ได้
เจิ้นอวิ๋นเฟิงพยักหน้าน้อยๆ กล่าว “ทำอะไรแต่พอเหมาะพอควร ถึงอย่างไรก็เป็นสหายของเทพธิดาจี้ ไม่ต้องลงมือหนักมาก”
จั่นลู่ซิวพลันวางใจ นัยน์ตาพาดเฉียงดุจดาบจับจ้องหลินสวินแล้วกล่าว “ขอแค่เจ้าสามารถต้านข้าได้สิบกระบวนท่าก็ถือว่าผ่านด่าน”
พวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่ได้สังเกตเห็น ว่าสีหน้าของจี้ซิงเหยาเวลานี้แม้จะนิ่งสงบ แต่ในดวงตากลับมีความเวทนาและจนใจอย่างยากสังเกตเสี้ยวหนึ่งวนเวียนอยู่
จะลำบากหาเรื่องเจ็บตัวทำไม
นางแอบกล่าวในใจ
“ไม่ต้องถึงสิบกระบวนท่า โจมตีครั้งเดียวก็เพียงพอ”
หลินสวินยังคงยิ้มเหมือนเดิม แต่นัยน์ตาดำกลับเจือความเย็นชาวูบหนึ่ง
เขารู้ว่าหากไม่ทำให้อีกฝ่ายหวาดหวั่น ในภารกิจหลังจากนี้การปฏิบัติที่ได้รับต้องไม่มีทางดีแน่
“อวดดี!”
จั่นลู่ซิวยิ้มเย็น ทั่วร่างแผ่อานุภาพระดับราชันที่น่าพรั่นพรึง
“อวดดี? ผิดแล้ว นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังเลย”
และในเวลานี้หลินสวินออกโจมตีแล้ว ก้าวไปข้างหน้า กดนิ้วออกไปตรงๆ อย่างเรียบง่าย
……………