Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1224 โลกมืด
หลินสวินกล้ายืนยันเลยว่า หากกระบี่นี้ฟาดฟันลงตนคงไม่มีโอกาสหลบแม้แต่น้อย!
“กระบี่นี้แฝงสะท้อนมรรควิถีทั้งตัวข้า ตอนนี้ขอมอบให้เจ้า สักวันหนึ่งหากเจ้ามุ่งหน้าไปยังทางเดินโบราณฟ้าดารา หวังว่าจะได้เจอเจ้าจริงๆ”
เสียงใสราวขลุ่ยกระจ่างดังขึ้น หญิงสาวยกมือโบก แหวนทองแดงวงนั้นตกสู่มือนาง
จากนั้นปราณกระบี่สายนี้ก็ถูกนางเก็บเข้าแหวนทองแดงและส่งให้หลินสวินอีกครั้ง
“ขอบคุณสหายยุทธ์”
หลินสวินได้สติจากความตระหนก รับมาอย่างจริงจัง
หญิงสาวยิ้มรับ “ปีนั้นสหายยุทธ์ที่เหมือนเจ้าและข้าส่วนใหญ่ล้วนจากไปแล้ว ต่างมุ่งหน้าไปเสาะหาทางเดินโบราณฟ้าดารา หมายใจว่าจะหาทางออกให้คนรุ่นหลัง ตอนนี้ความปรารถนาของข้าสิ้นสุดแล้วก็ควรจากไปได้แล้ว”
หลินสวินตระหนักได้ทันที หญิงผู้นี้รั้งอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการถ่ายทอดวิชากระบี่ ‘ไปไร้หวน’ นี้!
“ก่อนจากไป ข้าขอบอกเจ้าโดยไม่มีปิดบังว่า ปีนั้นแดนมกุฎเคยเกิดการต่อสู้ดุเดือด ศัตรูมาจากแปดดินแดนอื่น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ล้มเหลวในตอนท้าย และพวกเราก็รักษามรดกไว้ได้”
หญิงสาวเสียงทุ้มต่ำ
“นี่คือโอกาสที่คนรุ่นก่อนนับไม่ถ้วนจ่ายค่าตอบแทนด้วยเลือดถึงแลกมาได้ เพื่อสักวันหนึ่งดินแดนรกร้างโบราณของเราจะผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องถูกแปดดินแดนอื่นข่มเหงอีก”
“หวังว่าเจ้าจะมีปณิธานเช่นนี้ได้!”
เงาร่างหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นเลือนราง
“สหายยุทธ์ เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านถึงแสดงตนด้วยร่าง ‘ไร้หัว’ เล่า” หลินสวินเอ่ยถาม นี่คือเรื่องที่เขาคาใจที่สุด
“ปีนั้นขณะโรมรันกับผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอื่นถูกคนเด็ดเอาไป ความอัปยศเช่นนี้วันหน้าต้องเอาคืน”
“ยังมีอีก… อย่าลืมเล่า ข้าชื่ออู๋ยาง”
น้ำเสียงหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเลือนราง สุดท้ายก็หายลับจากไป
กระท่อมยังคงอยู่ ป่าไผ่ม่วงที่ห่างออกไปส่งเสียงอสนีดุจกระแสน้ำ แต่นางกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลินสวินรู้ว่านั่นคือประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งที่อู๋ยางเหลือไว้ ตอนนี้เมื่อสะสางปมในใจแล้วจึงจากไปกับสายลม
ฮู่ว…
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ในใจรู้สึกสับสนอย่างไม่อาจอธิบายได้
วาสนาหนึ่งพาให้อู๋ยางมอบแหวนทองแดงให้ นำทางตนเข้ามาในถ้ำนรกเทพ บุกผ่านทางอุโมงค์ประหลาด ทะลุผ่านป่าหินผีสิง นั่งเรือข้ามทะเลสาบโลหิตจนมาถึงที่นี่
ทุกอย่างล้วนเพื่อส่งต่อกระบวนท่ากระบี่ ‘ไปไร้หวน’ นี้!
หลินสวินลูบแหวนทองแดงในมือโดยไม่รู้ตัว สูดหายใจลึกสลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมอง มองไปยังป่าไผ่ม่วงที่อยู่ห่างออกไป
“เอ๋ พี่หลินเป็นคนแรกที่ออกมาหรือ”
ร่างของโม่เทียนเหอซวนเซโงนเงน เมื่อเห็นหลินสวินก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง
แต่ว่าไม่นานเขาก็กล่าวตื่นเต้น “พี่หลิน ครั้งนี้เจ้าได้วาสนาอะไรมารึ”
“เอาชนะคู่ต่อสู้บางส่วน ทำให้ศักยภาพตนเพิ่มขึ้นไม่น้อย พี่โม่ล่ะ”
หลินสวินกล่าวราบเรียบ เขามองสีหน้าโม่เทียนเหอที่ยินดียากปกปิดออก เห็นชัดว่าได้รับศุภโชคในป่าไผ่ม่วงนั่นไม่น้อย
“ฮ่า ข้าไม่เหมือนเจ้า ได้รับยอดวิชาบรรพกาลมาอย่างหนึ่ง อานุภาพไร้จำกัด ทำให้ข้าอัศจรรย์ใจอย่างมาก”
เห็นได้ชัดว่าโม่เทียนเหอเห็นหลินสวินเป็นพวกเดียวกันแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เปิดปากพูดหมดเช่นนี้
หลินสวินยิ้มแสดงความยินดี ในใจรู้ว่าโม่เทียนเหอเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง ยอดวิชาที่สามารถทำให้เขาดีใจเช่นนี้ได้ต้องโดดเด่นเหนือธรรมดาแน่
“พวกเจ้าออกมาแล้วรึ”
เวลานี้จี้ซิงเหยาก้าวออกมา นางสวมชุดขาวกว่าหิมะ งามพิสุทธิ์หาใดเปรียบ รูปร่างหน้าตาดั่งภาพวาด เสมือนเทพธิดาเยือนแดนโลกีย์
ท่าทางสง่างามไร้มลทินเช่นนั้นทำให้โม่เทียนเหออดหวั่นไหวไม่ได้
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ โม่เทียนเหอกลับถามว่า “ศิษย์น้องจี้ เจ้าได้วาสนาอะไรมาหรือ”
จี้ซิงเหยากล่าวราบเรียบ “หลักการฝึกปราณที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณของข้าในภายหน้า”
วาจาแม้นิ่งสงบ แต่หลินสวินก็ยังมองออกว่าอารมณ์ของจี้ซิงเหยาไม่เลวนัก เห็นชัดว่าวาสนาที่ได้รับทำให้นางพอใจอย่างมาก
ขณะที่ทั้งสามคนพูดคุยกัน ในป่าไผ่ม่วงพลันมีเสียงก่นด่ากระหืดกระหอบหนึ่งดังขึ้น
จากนั้นเจ้าคางคกก็หนีออกมาราวไฟลนก้น ดูไปแล้วน่าอเนจอนาถผิดธรรมดา
“มารดามันเถอะ ก็แค่อยากตัดไผ่สักท่อน ทำไมต้องรุมใช้อสนีบาตผ่าข้าด้วย”
เจ้าคางคกไหม้เกรียมไปทั้งตัว ล้มลุกคลุกฝุ่น ทำให้ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้
เห็นชัดว่าเขาคิดเก็บไผ่ม่วงเสียงอสนีจึงถูกฟ้าผ่ากลับมาอย่างคาดไม่ถึง
“ไผ่นี่เก็บไม่ได้หรือ”
โม่เทียนเหอกล่าว
ไผ่ม่วงเสียงอสนีเป็นถึงเจตวัตถุชั้นยอดในใต้หล้า เป็นหนึ่งในสี่ไผ่เทพที่อัศจรรย์ไร้สิ้นสุด
“ขอแค่ไม่กลัวฟ้าผ่าก็ได้อยู่”
ลูกตาเจ้าคางคกกลอกกลิ้งหมุนวน กล่าวยุยงโม่เทียนเหอ “เจ้าไปลองดูไหมล่ะ จากที่ข้ามองเจ้าต้องทำได้แน่”
แม้รู้ชัดว่าเจ้าคางคกเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่โม่เทียนเหอก็ยังอดไม่ได้ เขาไม่เชื่อว่าอาศัยความสามารถของตนแล้วจะตกต่ำเหมือนเจ้าคางคก
หลังจากนั้นครู่หนึ่งในป่าไผ่ม่วงมีเสียงร้องโหยหวนของโม่เทียนเหอดังขึ้น จากนั้นก็เห็นเขาหนีหัวซุกหัวซุนออกมา ผมเผ้าถูกผ่าจนตั้งชัน มือเท้ายังกระตุกเป็นพักๆ
เจ้าคางคกกุมท้องระเบิดเสียงหัวเราะทันที เจ้าหมอนี่ดันไม่เชื่อเขา สมควรถูกฟ้าผ่าแล้ว!
เขาเหลือบสายตาไปยังจี้ซิงเหยาแล้วกล่าว “เทพธิดาจี้ เจ้าก็ไปลองดูหน่อยไหม”
จี้ซิงเหยามีหรือจะถูกหลอก วาสนาแม้จะดี แต่เจ้าคางคกและโม่เทียนเหอยังถูกผ่าจนกลายเป็นสภาพนี้ แน่นอนว่านางรู้ว่าควรทำอย่างไร รู้ว่าไผ่ม่วงเสียงอสนีนั้นไม่อาจเอามาได้ง่ายๆ
หลินสวินกลับลังเลอยู่บ้าง
มูลค่าของไผ่ม่วงเสียงอสนีนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีค่ายิ่งกว่าโอสถราชัน หากไม่สามารถนำไปได้ เช่นนั้นคงน่าเสียดายมาก
“ข้าขอลองดูหน่อย”
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า
เจ้าคางคกรีบเกลี้ยกล่อม “เจ้าน่ะกลับมาเถอะ ทันทีที่ลงมือก็จะถูกไผ่ม่วงเสียงอสนีทุกต้นล้อมโจมตี อานุภาพนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถแบกรับได้”
โม่เทียนเหอเข้าใจอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
ทว่าภาพต่อมากลับทำให้ลูกตาทั้งสองคนแทบถลน
เพราะพร้อมๆ กับที่หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ไผ่ม่วงเสียงอสนีต้นหนึ่งก็ถูกขุดรากถอนโคนอย่างง่ายดาย เขาอดตะลึงไม่ได้ หันหน้ากลับไปกล่าวด้วยความสงสัย “ก็ไม่เท่าไหร่นี่”
“นี่…”
เจ้าคางคกและโม่เทียนเหอตะลึงอึ้ง เมื่อครู่พวกเขายังถูกผ่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่เลย
ใครจะคิดว่าพอถึงคราวหลินสวินแล้วจะพลิกผันเช่นนี้!
ซ่า…
ก็เห็นไผ่ม่วงเสียงอสนีที่ถูกขุดออกมานั้น จากเดิมที่ยาวประมาณร้อยจั้ง แต่เมื่อถูกเก็บมาก็เริ่มหดเล็กลงทันที กลายเป็นยาวประมาณหนึ่งฉื่อ หนาราวแขนเด็ก อบอวลไอม่วงตลอดต้น กระจ่างแวววาวงามตระการหาใดเปรียบ
นี่ก็คือเจตวัตถุ!
อย่าเห็นว่ายาวแค่หนึ่งฉื่อ มูลค่านั้นมหาศาลพอที่จะทำให้อริยะตาลุกวาว
“ข้าขอลองอีกครั้ง”
“ข้าไปด้วย”
เจ้าคางคกและโม่เทียนเหอทนไม่ไหวทันที กัดฟันกรอดท่าทางไม่อยากเชื่อแล้วลงมืออีกครั้ง
แม้แต่จี้ซิงเหยาก็ใจเต้นอยู่บ้าง
แต่ไม่นานทั้งคู่ก็ถูกผ่าจนกระตุกไปทั้งตัว จมูกปากควันโขมง ท่าทางอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เจ้าหมอนั่นมันได้อภิสิทธิ์เกินไปแล้ว!
จี้ซิงเหยาข่มความวู่วามในใจทันที ลอบกล่าวว่าโชคดีนัก
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งก็ถอนไผ่ม่วงเสียงอสนีต้นหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางสบายใจนั่นทำเอาพวกเจ้าคางคกเห็นแล้วหมดคำพูดไปพักหนึ่ง
แต่หลินสวินรู้ว่าก่อนหน้านี้ตนเคยประลองกับผู้แข็งแกร่งแต่ละคนในไผ่ม่วงเสียงอสนีสามพันต้นแล้ว
ก็เท่ากับว่าได้กำราบพวกเขาโดยปริยาย มีสิทธิ์จะเก็บไผ่ม่วงเสียงอสนีได้
ตูม!
แต่ขณะที่หลินสวินเพิ่งเตรียมเก็บเกี่ยวต่อ กระท่อมที่ปิดประตูสนิทนั่นเวลานี้ถึงกับพังถล่ม
จากนั้นกระแสน้ำวนหนึ่งปรากฏตรงกระท่อมที่พังทลาย
นี่เป็นเส้นทางสายหนึ่ง
ครืน…
พร้อมกันนี้ป่าไผ่ม่วงทั้งผืนสั่นสะเทือนรุนแรง ฟ้าคำรามอึกทึกสนั่นฟ้าดิน
ภูเขาเขียวงามตระการลูกนี้เริ่มสั่นคลอนรุนแรงตามไปด้วย ราวกับทุกอย่างตรงหน้าใกล้จะตกอยู่ในการดับสูญและพังทลาย
แย่แล้ว!
ทุกคนต่างผงะในใจวูบหนึ่ง
“หนีเร็ว!”
เจ้าคางคกรู้ว่าแดนลับอัศจรรย์นี่ใกล้จะปิดแล้ว หากไม่ไปอีกเป็นไปได้สูงว่าจะถูกขังอยู่ที่นี่
ครืน!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ภูเขาทั้งลูกก็เริ่มทรุดตัวลง!
ในใจหลินสวินอับจนทันใด เดิมทีเขายังคิดจะเก็บป่าไผ่ม่วงผืนนี้กลับไปให้หมด แต่เห็นชัดว่าทำไม่ได้แล้ว
แต่ก่อนจากไปหลินสวินยังเร่งทำเวลาเก็บไผ่ม่วงเสียงอสนีร้อยกว่าต้นในคราเดียว ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นยาวหนึ่งฉื่อและถูกเขาเก็บเอาไป
ตูม!
เมื่อเงาร่างพวกเขาเพิ่งหายไปในทางน้ำวนนั่น ภูเขาเขียวที่อยู่ด้านหลังรวมทั้งป่าไผ่ม่วงผืนนั้นก็ถล่มทรุดตัวลงโดยสมบูรณ์
แดนลับที่บริสุทธิ์ร่มเย็นหายไปแต่เพียงเท่านี้
…
รัตติกาลดุจหมึกเขียน ทั่วสารทิศเงียบสงัด
นี่คือทุ่งโล่งกว้างผืนหนึ่ง ต้นไม้ที่เติบโตบนพื้นดินล้วนดำสนิทราวกับหมึก แผ่แสงเปลี่ยวดายแปลกประหลาดภายใต้รัตติกาล
“ที่นี่คือที่ไหน”
พวกหลินสวินถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ เมื่อกวาดสายตามองโดยรอบก็ยังเดาไม่ออกอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือที่นี่น่าจะยังอยู่ในถ้ำนรกเทพ
“ยังจำได้ไหม ทางแยกในถ้ำนั่นแน่นขนัด พาไปยังทิศทางต่างกันไป”
เจ้าคางคกเงียบงัน “ข้าสงสัยว่าจุดสิ้นสุดของทางแยกพวกนี้จะพามาที่นี่”
“ลองดูก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
หลินสวินตัดสินใจ จากนั้นนำทุกคนมุ่งหน้าไปในรัตติกาลทันที
ฟ้าดินแถบนี้ถูกความมืดปกคลุม ก้อนหินต้นไม้ล้วนเป็นสีดำ บรรยากาศเงียบสงัดพาให้คนรู้สึกกดดันหาใดเปรียบ
ไม่ทันไรพวกเขาก็มองเห็นผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่ง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที
“สหาย ขอถามหน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน”
หลินสวินเข้าไปซักถาม
เดิมทีอีกฝ่ายระวังตัวหาใดเปรียบ แต่เมื่อเห็นว่าแค่ถามทางสีหน้าจึงอ่อนโยนลงไม่น้อย
“พวกเจ้าเพิ่งเข้ามาล่ะสิ ที่นี่ก็คือแดนนรก มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถทะลวงผ่านทางแยกในถ้ำนั้นมาได้จึงจะมาถึงที่นี่”
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวราบเรียบ
“ถ้าอย่างนั้นที่นี่คงมีคนรวมตัวไม่น้อยสินะ”
เจ้าคางคกอดถามไม่ได้
“เป็นเช่นนั้น”
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ไม่หยุดพัก รีบร้อนจากไป เห็นได้ว่าระวังตัวนัก
“แดนนรก…”
หลินสวินพึมพำ
เขาไม่คิดเลยว่าถ้ำนรกเทพที่เรียกกันจะใหญ่โตเช่นนี้ และนี่ก็หมายความว่าอาณาบริเวณต่างๆ ในที่นี้จะต้องซ่อนวาสนาและศุภโชคต่างกันไป
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินต่อไปข้างหน้า
ตลอดทางได้เจอผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งเป็นบางครั้ง แต่ล้วนท่าทางเร่งรีบ หน้าตาระแวดระวัง
ทว่าพวกหลินสวินก็ยังมองออก ว่าผู้ฝึกปราณที่เจอตลอดทางมานี้เห็นชัดว่ากำลังรีบมุ่งไปยังทางเดียวกัน
เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้พวกหลินสวินจึงตามไป
“ตำหนักนรกเทพปรากฏแล้ว! เร็วเข้า!”
ไม่ทันไรเสียงตะโกนเจือความตื่นเต้นหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งท่องแหวกอากาศ ห้อตะบึงไปยังจุดที่ห่างออกไปราวสายลม
……………..