Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1243 สามพิบัติหกเคราะห์บนเส้นทางอมตะ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1243 สามพิบัติหกเคราะห์บนเส้นทางอมตะ
มกุฎมรรคาที่หลินสวินก้าวเดิน ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้แต่ตอนทะลวงขอบเขตเลื่อนสู่ระดับมกุฎราชัน ก็ต้องเข้าถึงมรรคด้วยตัวเอง เป็นฝ่ายชักนำเคราะห์สวรรค์เอง!
เพราะฉะนั้นด่านเคราะห์ของเขาย่อมไม่เหมือนกับระดับมกุฎราชันคนอื่น
ในช่วงสองปีนี้ที่รอคอยอยู่ใต้แม่น้ำนรก หลินสวินกลับไม่ได้ทำเพื่อรอให้เคราะห์สวรรค์มาเยือน แต่รอโอกาสเข้าถึงมรรคที่เป็นของตนต่างหาก
น่าเสียดาย โอกาสนี้ไม่เคยมาถึงเลยสักครา
แต่ยามนี้หลินสวินไม่คิดจะรอคอยต่อไปอีกแล้ว
หืม?
เพียงแต่เมื่อหลินสวินหยัดตัวลุกขึ้นจากพื้น ยามสายตามองไปทางโคมไร้มลทินสีเหลืองนวลโคมนั้น พลันประหนึ่งถูกอสนีบาต ตระหนักถึงปัญหาข้อหนึ่งได้ทันควัน
โคมนี้ ค้ำยันเปิดฟ้าดินขนาดย่อมผืนหนึ่งให้ตนในหลายปีมานี้ คอยปกป้องตนไม่ให้ประสบกับการซุ่มโจมตีของพลังประหลาดในแม่น้ำนรก
แต่ในสภาพไร้รูปร่างนี้ กลับทำให้จิตมรรคของตนเกิดการพึ่งพามัน!
มักคิดว่ามีโคมนี้อยู่ชีวิตของตนย่อมไร้กังวล สามารถคิดหาทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้นได้อย่างสวัสดิภาพ
กลับลืมไปว่าโคมไร้มลทินท้ายที่สุดก็เป็นเพียงสมบัติ เป็นของนอกกายชิ้นหนึ่ง!
เมื่อฝากความหวังด้านความปลอดภัยของตนไว้กับของนอกกาย ยังมีหน้าพูดถึงการยืนบนมหามรรคด้วยวิถีของตัวเองได้อีกหรือ
แล้วยังจะมีหน้าพูดถึงโอกาสเข้าถึงมรรคอีกหรือ
นี่ เดิมทีก็ขัดต่อมรรคาที่ตนแสวงหาแล้ว!
ชั่วขณะนั้นหลินสวินราวกับถูกตะบองตีแสกหน้า ทั้งเหมือนทุบลูกกลอนและอุปสรรคที่กั้นขวางในใจ รู้แจ้งอย่างสิ้นเชิง
หมายจะเข้าถึงมรรคแห่งตน ย่อมต้องเข้าถึงด้วยตัวเอง!
หลินสวินเงยหน้าขึ้นขวับ มองไปทางแม่น้ำสีดำมืดมิดนอกเงาโคมสีเหลืองนวล ที่ตรงนั้นน่าหวาดกลัวและอันตรายแผ่คลุมทุกอณู
แต่ยามนี้หลินสวินไม่กรงกลัวอีกแล้ว
ตูม!
เขาก้าวย่างอย่างเด็ดเดี่ยวออกไปยังนอกเขตเงาโคม ชั่วขณะนั้นเจตจำนงเย็นเยียบ อำมหิต และน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่าเคลื่อนขวางเข้ามา
แม่น้ำสีดำมืดแห่งนี้เดือดพล่านโดยพลัน ราวกับมีภูตผีปีศาจพันหมื่นตื่นขึ้น ทอดสายตาจับจ้องมาจากที่ไกลๆ
ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณของหลินสวินต่างสั่นไหว ลมหายใจยังแทบหยุดนิ่ง รับรู้ถึงความน่ากลัวและอันตรายใหญ่หลวงที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพียงพริบตา หลินสวินยังสัมผัสได้ชัดเจนว่าเงาแห่งความตายแผ่ครอบลงมา!
เพียงแต่กลางนัยน์ตาดำลุ่มลึกของเขากลับมีจิตต่อสู้ลุกโชนร้อนแรง นั่นคือเจตจำนงอันผงาดกร้าว มั่นใจในตัวเอง และไร้เทียมทาน
เป็นบุคลิกยิ่งใหญ่ไม่ย่อท้อ กล้าหาญอุตสาหะเปี่ยมล้น!
สู้!
ในใจราวกับมีมารเทพกำลังร้องตะโกน
หลังผ่านการเคี่ยวกรำมาสี่ปี หลินสวินในขณะนี้ปลดปล่อยพลังรอบตัวทั้งหมดออกมาอย่างถือดี บรรลุขั้นสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
โครมครืน!
ทั้งตัวประดุจเหวลึกที่ปรากฏอยู่ใต้แม่น้ำ มันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มันลึกไร้สิ้นสุด กึกก้องสนั่นหวั่นไหว
น้ำ ไฟ เจินหลง ไร้มรณะ ยอดเอกอุ… พลังทั้งหมดที่บรรลุปรากฏกลางเหวลึก ไหลเวียนออกมาเป็นความงดงามไร้เทียมทาน แสงมรรคไพศาลส่องประกาย
ชั่วขณะนั้นดุจดั่งเทพองค์หนึ่งปรากฏตัวที่ก้นแม่น้ำนรกอันดำมืด!
……
แม่น้ำนรกไร้สิ้นสุด ไม่รู้ต้นกำเนิด ไม่รู้จุดจบ น้ำสีเลือดแดงฉานพลิกม้วน เปี่ยมด้วยกลิ่นอายพิศวงและอัปมงคล
เพียงแต่วันนี้กลับไม่เหมือนที่ผ่านมา บนเวิ้งฟ้าตรงนั้นปรากฏเมฆดำหนาทึบชั้นหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แผ่ครอบเหนือห้วงอากาศของแม่น้ำนรก
กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่ไพศาลบีบคั้นคละคลุ้งแผ่กระจายออกมาพร้อมกัน พลังระดับนี้ทำให้แม่น้ำนรกสีโลหิตยังตกสู่ความสั่นคลอน พลุ่งพล่านโครมครืนขึ้นมา
เมฆดำรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ปกคลุมทั่วเวิ้งฟ้าอย่างสมบูรณ์ พาให้ฟ้าดินแถบนี้จมสู่ความมืดมิดอันลึกล้ำ บีบคั้นจนผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง
นี่คือเคราะห์สวรรค์ที่ใกล้มาเยือนครั้งหนึ่ง!
เปรี๊ยะ!
ฉับพลันในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์มีประกายสายฟ้าสีเงินยวงสว่างวาบ ราวกับดาบยาวคมกริบ สว่างจ้าไร้ทัดเทียม เผยกลิ่นอายทำลายล้างโลก
กลางแม่น้ำนรกพลังประหลาดนั้นเริ่มรับรู้ถึงความหวาดกลัวและกริ่งเกรง ชั่วขณะนี้เจตจำนงที่ไม่รู้รั้งอยู่มาเนิ่นนานเท่าไรเริ่มหลบเลี่ยงด้วยความลนลาน
เคราะห์สวรรค์ เป็นตัวแทนเจตจำนงแห่งฟากฟ้า มีหรือจะปล่อยให้ภูตผีปีศาจรอดชีวิต
ครืน!
เสียงฟ้าคำรามเริ่มดังก้องอยู่ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ หนักทึบเหมือนเทพอสนีลั่นกลองรบ ชวนตระหนกอกสั่น สะท้านสะเทือนสิบทิศ
ใต้แม่น้ำนรกแห่งนี้ เสียงกรีดร้องโหยหวนชวนให้คนหนังศีรษะชาวาบดังขึ้นเป็นระลอก ราวกับเป็นเสียงกรีดร้องตกใจกลัวของผีร้ายวิญญาณอาฆาต
แม่น้ำนรกสีเลือดแถบนี้เหมือนกับหม้อต้มน้ำร้อนกำลังเดือดพล่านก็ไม่ปาน เกลียวคลื่นโหมกระหน่ำ กระแสน้ำม้วนตัว สั่นเทือนเลื่อนลั่นอย่างที่สุด
ใต้แม่น้ำนรกรอบตัวหลินสวินอาบไล้แสงมรรคเจิดจรัส เงยหน้าขึ้นขวับกล่าวพึมพำว่า “ด่านเคราะห์ของข้า มาแล้ว…”
ยังไม่ทันสิ้นสุดเสียง ตัวเขาก็ห้อทะยานขึ้นไปแล้ว
และสิ่งที่จากไปพร้อมกับเขา ก็ยังเป็นโคมไร้มลทิน
……
สวบ!
เหนือแม่น้ำนรก เงาร่างพร่างพราวสายหนึ่งโฉบพุ่งออกมา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้เมฆาเคราะห์สีดำหนาทึบ อาภรณ์โบกสะบัด เรือนผมสีดำแผ่สยายบ้าคลั่ง
ถูกจองจำสี่ปี และยามนี้ชักนำมาซึ่งโอกาสเข้าถึงมรรค ปรากฏกายต่อโลกอีกครา!
เพียงแต่หลินสวินไม่อาจได้ตื่นเต้นและซึมซาบ
เพราะมหาอมตะเคราะห์เบื้องหน้าบีบเข้ามาจวนตัวแล้ว!
ตูม!
กลางเมฆาเคราะห์ปั่นป่วน อสนีบาตสนั่นหวั่นไหว สะเทือนจนโลกหล้าปั่นป่วน แม่น้ำเดือดพล่าน ห้วงอากาศโกลาหล แปรปรวนจวนจะพังครืนลงมา
พื้นที่ทั่วสิบทิศถูกอานุภาพสวรรค์แผ่ครอบโดยสิ้นเชิง
‘นี่… คงไม่ใช่สามด่านเคราะห์มาพร้อมกันหรอกกระมัง’
ทันใดนั้นนัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด สีหน้าตื่นตกใจ
เก้าด่านอมตะเคราะห์ แบ่งออกเป็นสามพิบัติหกเคราะห์
สิ่งที่เรียกว่าสามพิบัติ ก็คือพิบัติจิตใจ พิบัติวิญญาณ และพิบัติสังขาร
แบ่งมุ่งเป้าออกเป็นใจ วิญญาณ และร่างกายของผู้บำเพ็ญมรรค!
หกเคราะห์ หมายถึงเคราะห์เจ็ดอารมณ์ เคาะห์หกปรารถนา ด่านเคราะห์มารผจญ เคราะห์กฎกรรม เคราะห์บุพเพ และเคราะห์อมตะ
ทุกครั้งที่ข้ามผ่านหนึ่งด่านเคราะห์ ก็สามารถก้าวไปยังขอบเขตหนึ่งในมรรคาอมตะ ปราณและแก่นแท้แห่งชีวิตก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมตามมาด้วย
คำกล่าวที่ว่าหนึ่งเคราะห์หนึ่งฟ้าดิน ทุกย่างก้าวสู่อมตะแสนยากเข็ญ ก็เป็นเช่นนี้
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงเลยสักนิด ว่าเคราะห์ใหญ่ที่ตนรอคอยอย่างยากเข็ญก็ไม่มาเสียทีนี้ แต่บทจะมาก็มาถึงสามด่านเคราะห์พร้อมกัน!
ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์มีสายฟ้าสีเงินเดือดพล่าน น่าเกรงขามดุจกระบี่เทพสีเงิน อสนีเคราะห์นี้มีชื่อเรียกว่าอสนีพิบัติจิตใจ
มีสายฟ้าสีม่วงกึกก้อง นิ่งลึกราวกับรุ้งสีม่วง อสนีเคราะห์นี้มีชื่อเรียกว่าอสนีพิบัติวิญญาณ
มีสายฟ้าสีแดงม้วนตลบ ดุเดือดราวกับเตาเพลิง อสนีเคราะห์นี้มีชื่อเรียกว่าอสนีพิบัติพิฆาตกาย
จากสิ่งนี้สามารถสรุปได้ว่า ด่านเคราะห์แห่งสามพิบัติได้ปรากฏขึ้นพร้อมกันในยามนี้แล้ว!
“กำลังกังวลว่าช่วงสี่ปีนี้เสียเวลาเลื่อนขั้นไปไม่น้อยอยู่เลย คิดไม่ถึงว่ายามนี้กลับเป็นฝ่ายมาเยือนเองถึงที่!”
หลังจากสงบใจหลินสวินกลับยิ้มขึ้นมา มีความรู้สึกภาคภูมิผงาดกร้าวอย่างไร้รูปร่างอยู่รางๆ
ตูม!
ราวกับถูกคำพูดของหลินสวินยั่วโทสะ ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ อสนีพิบัติจิตใจสีเงินที่หนาใหญ่เท่านบ้านสายหนึ่งฟาดลงมาก่อนเป็นอันดับแรก
ที่ไล่หลังมาติดๆ คืออสนีพิบัติวิญญาณสีม่วง และอสนีพิบัติพิฆาตกายสีแดงที่ระเบิดผ่าลงมา
ฟ้าดินแห่งนี้คล้ายจะทนรับการสังหารของอานุภาพสวรรค์ระดับนี้ไม่ไหว พลันระเบิดกึกก้อง ปั่นป่วนอลหม่านดุจก้อนกระดาษที่ถูกขยำ
หลินสวินทะยานขึ้นไปรับโดยไม่หลบเลี่ยง
สภาวะจิต จิตวิญญาณ และร่างกายของเขาในชั่วขณะนี้ล้วนรับการพิฆาตจากอสนีเคราะห์ที่แตกต่างกัน
ในสภาวะจิต ราวกับมารร้ายผุดกำเนิด
ในจิตวิญญาณ ราวกับดาบนับหมื่นฟาดฟัน
บนร่างกาย ราวกับห่าธนูจ้วงแทงพร้อมกัน!
เพียงชั่วอึดใจผิวหนังทั่วร่างกายของหลินสวินแตกระเบิด เลือดสดๆ หลั่งริน สภาพวะจิตปรากฏรอยแตกเหมือนกระจกเงาก็ไม่ปาน ส่วนจิตวิญญาณก็เหมือนเปลวเพลิงที่ใกล้มอดดับกลางลมคลั่ง!
พลังของสามพิบัติมีหรือจะธรรมดา
และยามนี้มันเล่นงานกับร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณของหลินสวินในเวลาเดียวกัน การโจมตีเช่นนั้นทำเอาเขามายืนบนเส้นขอบแห่งความตายในชั่วพริบตา!
รสชาติที่เจ็บปวด มึนงงดุจมายาทะลักทั่วร่าง ทำให้หลินสวินส่งเสียงทอดยาวเหมือนสัตว์ป่าร้องคำรามออกมาอย่างอดไม่ได้
ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ล้วนกริ่งเกรงพลังแข็งกล้าของเขาเทพมารหลิน
แต่ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังที่เขาสามารถครอบครองพลังแกล้วกล้าเช่นนี้ได้ ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปเท่าไร
ก็เหมือนกับด่านเคราะห์สามพิบัตินี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทบรับไหวเลยสักนิด!
ยิ่งกว่านั้นด่านเคราะห์ที่เล่นงานหลินสวินยังต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง แต่ละด่านเคราะห์ต่างเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน สามด่านเคราะห์มาเยือนพร้อมกัน อานุภาพระดับนั้นเพียงพอจะทำให้คนสั่นสะท้านได้อย่างสิ้นเชิง!
“ทะลวง!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนเกรี้ยวกราด รูปจำลองพลังจิตสามองค์ของหลินสวินพากันโคจรเคล็ดมหาเวทบริกรรม ลมแปดทิศประดังมา ตัวข้ายืนมั่นไม่ไหวติง
สภาวะจิตของเขาแน่วนิ่วดุจดั่งดาบนานแล้ว สามารถเฉือนเทพผีสุริยันจันทรา ไม่ใช่สิ่งที่กระจกเงาจะเทียบชั้นได้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแตกสลายพังครืนง่ายๆ เช่นนั้น
และพร้อมๆ กับที่เขาปลดปล่อยพลังปราณในตัวออกมาทั้งหมด อสนีเคราะห์พิฆาตกายนั้นก็ถูกสลายตามไปด้วย!
ท่ามกลางแสงอสนีเจิดจ้าพร่าตา ร่างของหลินสวินไหม้เกรียม ลมหายใจถี่กระชั้น การพิฆาตครั้งนี้แม้จะบาดเจ็บสาหัสปางตาย แต่อย่างไรก็ถูกเขาสกัดไว้ได้แล้ว!
โอสถเทพต้นหนึ่งถูกหลินสวินกลืนเข้าไปอย่างไม่ลังเล
นัยเร้นลับไร้มรณะที่บรรลุถึงระดับระเบียบมรรคนานแล้วก็ถูกโคจรออกมาด้วย
เพียงไม่กี่อึดใจหลินสวินก็คืนสู่สภาพปกติ ยิ่งกว่านั้นร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณที่ผ่านการหลอมตีและจู่โจมจากอสนีเคราะห์ก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!
ตูม!
กลางเมฆาเคราะห์ อสนีเคราะห์สามแบบพลิกม้วน สีเงิน สีม่วง สีแดงตัดสลับไปมา ย้อมฟ้าดินจนเกิดสีสันแพรวพราวงดงาม ตระการตาไร้ใดเปรียบ
เปรี้ยง!
อสนีเคราะห์อีกสายผ่าลงมาจากฟ้าอีกครา ท่ามกลางความเลือนรางมีเสียงสวรรค์สังหารโลกหล้าดังก้องขึ้น ประหนึ่งทหารสวรรค์หนึ่งแสนคนห้อทะยานกู่ร้อง
อสนีเคราะห์แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
เพียงแต่หลินสวินไม่ได้เกรงกลัวตั้งนานแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึก รอบกายเปล่งประกายเจิดจ้า แสงมรรคไหลเวียน ทั้งตัวเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุเดือดลูกหนึ่ง ปลดปล่อยเต็มพลัง
โครมครืน!
ไม่ทันไรเขาก็ประสบอันตรายอีกครั้ง ถูกผ่าจนร่างกายเส้นเอ็นกระดูกแตก สะบักสะบอมสุดทน จิตวิญญาณและสภาวะจิตล้วนตกสู่สถานการณ์เลวร้าย
อสนีเคราะห์ครั้งนี้ ถึงกับวิปริตและพลิกฟ้าอย่างแสนพิสดาร!
ต่อให้ถูกระดับมกุฎราชันคนอื่นเห็นเข้า เกรงว่าต่างล้วนไม่กล้าเชื่อว่าโลกนี้จะมีด่านเคราะห์ที่น่าสะพรึงถึงขั้นนี้ได้
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะมรรคาที่หลินสวินก้าวเดินต่างจากอดีตกาล ไม่เหมือนกันโลกหล้า แตกต่างจากผู้คน! เป็นมรรคาที่เป็นของเขาเท่านั้น!
ด้วยเหตุนี้ ด่านเคราะห์ที่เขาต้องเผชิญย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ครั้งนี้หลินสวินฟื้นฟูอาการเจ็บได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อสนีเคราะห์ครั้งที่สามก็พิฆาตมาเยือนแล้ว
ไม่ว่าเขาจะสู้สุดกำลังที่มีอย่างไร ท้ายที่สุดก็เกือบถูกสังหาร ทั้งตัวล้วนถูกผ่าจนร่วงลงกลางแม่น้ำนรก ร่างกาย จิตวิญญาณ และสภาวะจิตจมสู่สภาพใกล้พังทลาย
ความเจ็บปวดกลายเป็นด้านชา
ความเป็นตายในเวลานี้ล้วนเบาบางและถูกลืมเลือน
ในใจหลินสวินมีเพียงเจตจำนงที่ไม่ย่อท้อคอยเกื้อหนุนเท่านั้น!
ในเวลาต่อมาพลังของอสนีเคราะห์น่ากลัวขึ้นทุกครั้ง การโจมตีและความยากลำบากที่หลินสวินต้องเผชิญก็รุนแรงขึ้นทุกครั้งด้วยเช่นกัน
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยยอมแพ้!
แม้ว่าผลสุดท้ายจะถูกทำลายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ เขาก็จะสู้ให้ถึงที่สุด!
ปัง!
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่รอดชีวิตจากอสนีเคราะห์อย่างยากลำบากอีกครั้ง ร่างกายของหลินสวินพังทลายอย่างสิ้นเชิง รูปจำลองพลังจิตสามองค์ก็เลือนรางแตกแยก
เหลือเพียงแรงเจตจำนงที่ไม่ย่อท้อเสี้ยวหนึ่ง ฝืนเคลื่อนขวางกลางฟ้าดิน!
…………..