Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1264 อานุภาพของกระทะดำ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1264 อานุภาพของกระทะดำ
เหล่ายอดฝีมือในลานล้วนสัมผัสได้ถึงพลังต่อสู้อมตะเคราะห์ด่านสี่ของกู่ฝอจื่อนานแล้ว
มิหนำซ้ำตัวเขามาจากอารามกษิติครรภ์ ครอบครองมรดกวิชาชั้นสูงและสมบัติลับ ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าบุตรนรกแน่นอน ถึงขั้นอาจแข็งแกร่งกว่า!
เวลานี้เขาใช้พลังทั้งหมดหมายจับจี้ซิงเหยาเป็นตัวประกัน แน่นอนว่าย่อมไม่ยั้งมือ
กล่าวอย่างไม่เกินจริงได้ว่า หากเป็นช่วงเวลาปกติ ไม่ต้องเอ่ยถึงจี้ซิงเหยา หากเปลี่ยนเป็นบุคคลชั้นยอดคนอื่นๆ ในลาน เกรงว่าล้วนไม่อาจขัดขวางการโจมตีอันมุ่งมาดนี้ของกู่ฝอจื่อ
แต่ภาพแปลกพิสดารหนึ่งก็เกิดขึ้น ระหว่างที่อยู่กลางทาง พลังกฎระเบียบลายมรรคอันไร้รูปร่างผุดขึ้นมาเป็นสายๆ ตัดพันพาดผ่านพันธนาการร่างของกู่ฝอจื่อ
จากนั้นบีบรัดอย่างแรง!
เสียงตึงดังขึ้น สัตว์ประหลาดยุคโบราณแห่งอารามกษิติครรภ์ที่เร้นลับผู้นี้ ถูกกำราบกับพื้น!
ในใจทุกคนล้วนตะลึงงัน สูดหายใจหนาวสะท้าน
นี่ก็คือพลังของกระบวนค่ายกล แข็งแกร่งจนทำให้คนไม่กล้าเชื่อ ราวกับว่าแค่เพียงหลินสวินต้องการ เพียงความคิดไหวเคลื่อน ก็สามารถกำจัดศัตรูทั้งหมดในค่ายกลนี้ได้ทันที
ประหนึ่งนายเหนือหัวผู้กุมความเป็นตาย!
หลังผ่านพ้นความตกใจ ดวงตากระจ่างใสของจี้ซิงเหยาปรากฏโทสะรุนแรง เอ่ยว่า “นี่ก็คือผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์หรือ ถึงกับต่ำช้าและไร้ยางอายเช่นนี้!”
คนไม่น้อยเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
แต่ไหนแต่ไรกู่ฝอจื่อขึ้นชื่อเรื่องเร้นลับไร้ร่องรอย แทบไม่ทิ้งอะไรให้คนในใต้หล้าได้จดจำ
ทว่ายามเผยตัวครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน ก็จัดวางแผนการทำลายหลินสวินจนถูกขังอยู่ใต้แม่น้ำนรก
แผนการล้ำลึกและโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้คนหวาดผวาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
มาบัดนี้เขาเผยตัวอีกครา ก็ยังฉวยโอกาสยามหลินสวินอ่อนแรงเข้าจู่โจมดุดัน อีกทั้งวางแผนการต่างๆ ไว้อย่างดี หมายใช้ค่ายกลใหญ่สังหารหลินสวิน
เดิมทีแผนการชุดนี้ล้วนเรียกได้ว่างดงามไร้ที่ติ
แต่ใครเล่าจะคาดคิด หลินสวินกลับเหนือชั้นยิ่งกว่า สามารถวางกระบวนผนึกน่าสะพรึงทำลายแผนการทั้งหมดของกู่ฝอจื่อจนไม่มีชิ้นดี
หากเพียงเท่านี้ ภาพจำที่ทุกคนมีต่อกู่ฝอจื่อก็คงไม่ถึงขั้นเลวร้าย
ทว่ายามเขาออกโจมตีหมายจับจี้ซิงเหยาเป็นตัวประกัน พริบตานั้นก็ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณมากมายรู้สึกผิดหวัง
นี่ ยังเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่อีกหรือ
วิธีการอำมหิต จัดการเรื่องราวโดยปราศจากความกลัวเกรง ใช้ทุกวิธีการ ต่างอะไรกับพวกวิถีมารนอกรีต!
“เจ้านอกรีต เจ้าสมควรตาย!”
ทั่วร่างของกู่ฝอจื่อแสงธรรมโหดซัด ราวกับแปลงเป็นอรหันต์กราดเกรี้ยว ทำลายพันธการโดยพลันแล้วทะยานขึ้นสู่ฟ้า มือเขาถือบาตรดำใบหนึ่งพุ่งเข้าสังหารหลินสวิน
แม้ตกอยู่ในสภาพหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่เขากลับเยือกเย็นมั่นคง ไร้ท่าทีตื่นตระหนก
ตูม!
บาตรพุ่งทะยานเวหา สาดพรมแสงธรรมหมื่นจั้ง ควบรวมเป็นฝ่ามือธรรมขนาดมหึมา แต่ละข้อนิ้วดุจเสาสูงเสียดฟ้า เปล่งประกายแสงเจิดจรัสไร้จำกัด
เรียกได้ว่ามือเดียวปิดคลุมฟ้า!
นี่คือวิชามรรคที่แข็งแกร่งและเลื่องชื่อที่สุดวิชาหนึ่ง หัตถ์ธรรมกษิติครรภ์!
หลินสวินท่าทีนิ่งเฉย เมื่อความคิดขยับไหว แส้ยาวโซ่เทพที่แวววาวโปร่งแสงเส้นหนึ่งร่วงลงมา ควบรวมมาจากพลังกฎเกณฑ์กระบวนผนึก
เสียงเพียะดังขึ้นครั้งหนึ่ง ฝ่ามือธรรมที่ปิดคลุมฟ้านั่นถูกฟาดแตก กลายเป็นละอองแสงแตกซ่านเต็มฟ้า
เพียะ!
เสียงหวดแส้ดังแจ่มชัดอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของกู่ฝอจื่อมีรอยแส้ชุ่มเลือดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรอย ลึกถึงกระดูก
เขาเจ็บปวด ร่างกายร่วงหล่นลงพื้น ฝุ่นควันลอยตลบ
มาถึงตอนนี้ทุกคนล้วนมองออก ว่าในฟ้าดินแห่งนี้ต่อให้เจ้ามีพลังต่อสู้มากเพียงใด แต่ขอเพียงถูกขังไว้ในค่ายกลนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อปลาบนเขียง ได้แต่นอนรอความตายเท่านั้น!
“กล้าถอนค่ายกลนี้แล้วมาสู้กับอาตมาอย่างยุติธรรมหรือไม่”
กู่ฝอจื่อเอ่ยออกมาเสียงต่ำ ใบหน้าของเขาชโลมเลือด แต่กลับไม่ใส่ใจแต่อย่างใด ท่าทีนิ่งเฉยจนน่ากลัว
หน้าไม่อาย!
คนไม่น้อยต่างลอบด่าทอดูแคลนอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ตอนเขาใช้กระบวนผนึกมหาข้ามทุกข์กษิติครรภ์จัดการกับหลินสวิน เคยให้โอกาสต่อสู้อย่างยุติธรรมกับหลินสวินหรือ
แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น คำพูดไร้ยางอายเช่นนี้กู่ฝอจื่อกลับพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นแรง ความหนาของใบหน้าทำเอาผู้คนเบิกตาค้าง
แม้แต่หลินสวินยังอึ้งงันไป ไม่กล้าเชื่อ นี่คือคำพูดที่ภิกษุแห่งอารามกษิติครรภ์คนหนึ่งกล่าวออกมา มันช่าง… หน้าไม่อายเสียจริง!
เพียะ!
แส้กฎเกณฑ์หวดลง ชั่วขณะนั้นได้ทิ้งรอยแผลชุ่มเลือดสิบกว่ารอยบนร่างกู่ฝอจื่อ ลึกจนเห็นกระดูก น่าตระหนกยิ่ง
“เจ้าคิดว่าการหยามเกียรติอาตมาเช่นนี้จะทำให้อาตมายอมก้มหัวให้หรือ”
กู่ฝอจื่อเอ่ยเสียงเย็นเยียบ ทั่วร่างเขาเลือดไหลนอง แต่กลับดูเหมือนไม่รู้สึก ยังคงรักษาท่าทางเคร่งขรึมดังเดิม
“ไม่ ข้าไม่เคยคิดอยากให้เจ้าก้มหัวให้ ข้าเพียงแค่อยากฆ่าเจ้าทีละน้อยก็เท่านั้น”
สีหน้าหลินสวินเรียบเฉย
ขณะพูด ดาบกฎเกณฑ์คมกริบหลากสายโฉบพุ่งขึ้น หนาแน่นถี่ยิบดุจพายุฝนคลั่ง ปกคลุมลงมา
ฉัวะๆๆ!
กู่ฝอจื่อหลบหนีสุดกำลัง แต่ยังคงถูกบาดจนทั้งตัวเลือดเนื้อกรีดแหวก สภาพไม่เหลือชิ้นดี ภาพน่าอนาถนั่นทำเอาผู้ฝึกปราณไม่น้อยใจสะท้านไม่หยุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินสวินไม่ได้โกหก เขาต้องการทรมานกู่ฝอจื่อจนตายจริงๆ!
“อาตมายอมรับว่าครั้งนี้เจ้าต่ำไป ทว่าหากเจ้าต้องการเห็นท่าทางน่าตลกที่อาตมาอ้อนวอนร้องขอชีวิต นั่นไม่มีทางเกิดขึ้น”
สีหน้าของกู่ฝอจื่อเฉยเมย เขาเหมือนตระหนักได้แล้วว่าในฟ้าดินแห่งนี้ดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ จึงนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้น ท่าทางรอความตายอย่างไม่สะทกสะท้าน
นี่ทำให้คนตะลึงนัก ต้องยอมรับว่าแม้กู่ฝอจื่อจะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่นิสัยของเขากลับกล่าวได้ว่ามั่นคงและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นต้องมารับความทรมานเช่นนี้ เกรงว่าคงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องขอชีวิตไปนานแล้ว
ทว่ากู่ฝอจื่อกลับไม่เป็นเช่นนั้น!
“น่าขัน หรือเจ้าไม่คิดว่าตอนนี้เจ้ากำลังแสดงท่าทีน่าตลกอยู่”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงกล่าวออกมาอย่างอดไม่อยู่
กู่ฝอจื่อชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งค่อยเก็บสายตากลับมา เมินเฉยไม่แยแส
นี่ทำให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงเดือดดาล แค้นจนอยากฟันลาหัวโล้นนี่ให้ตาย
ในเวลานี้หลินสวินกลับยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าในอารามกษิติครรภ์มีบทลงโทษประเภทหนึ่ง ชื่อว่า ‘นรกสิบแปดขุม’ เมื่อใช้แล้วสามารถทำให้เทพปีศาจต่างสิ้นหวังยอมจำนน ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
นรกสิบแปดขุม?
ทุกคนล้วนงงงัน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้
แต่กู่ฝอจื่อกลับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หัวใจหนาวเหน็ยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นี่เป็นการลงโทษลับอย่างหนึ่งของอารามกษิติครรภ์ มีไว้สำหรับผู้ทรยศโดยเฉพาะ
เนื่องด้วยมันโหดร้ายและนองเลือดเกินไป หากแพร่งพรายออกไปจะต้องทำลายชื่อเสียงของอารามกษิติครรภ์ ฉะนั้นคนที่ล่วงรู้ถึงบทลงโทษนี้จึงมีเพียงคนสำคัญในอารามกษิติครรภ์เท่านั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินก็รู้เรื่องนี้!
สวบ
และตอนนี้เองเมื่อหลินสวินดีดนิ้ว เพลิธรรมสีดำสายหนึ่งก็พุ่งออกไปดุจดั่งสายฟ้า ทะลวงเข้าไปภายในร่างกู่ฝอจื่อ
“เจ้านอกรีต! เจ้าจะทำอะไร!?”
นัยน์ตากู่ฝอจื่อหดรัด แข็งทื่อไปทั้งตัว อยากจะต่อต้านแต่กลับถูกพลังกฎเกณฑ์กระบวนผนึกเป็นชั้นๆ กดกำราบอยู่ตรงนั้น ทำให้เขาไม่อาจขยับตัว
“นรกสิบแปดขุม ขุมแรกมีนามว่านรกดึงลิ้น ก็คือการดึงลิ้นด้วยวิชาลับ จากนั้นค่อยๆ ยืดออกให้ยาว ใช้เพลิงธรรมทรมาน กระมั่งเนื้อลิ้นไหม้แต่ยังไม่ถึงกับเละ ค่อยใช้ดาบคมเล็กบางเฉือนลิ้นออกเป็นริ้วๆ…”
หลินสวินกล่าวออกมาด้วยเสียงราบเรียบ ทว่าสิ่งที่เขากล่าวราวกับน้ำเย็นเฉียบสายหนึ่ง ทำเอาผู้ฝึกปราณที่อยู่ตรงนั้นต่างสะท้านไหว สีหน้าแปรเปลี่ยน
บทลงโทษนี้ ช่างวิปริตนัก!
“อ๊าก…!”
กู่ฝอจื่อร้องเสียงดังทันใด ร่างกายเกร็งกระตุก ใบหน้าบิดเบี้ยว
ทุกคนต่างมองเห็นว่าลิ้นของเขาถูกดึงออกมาทีละชุ่น ด้านบนถูกเผาด้วยเพลิงธรรมสีดำ ตัวลิ้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไหม้ดำ
เห็นชัดว่าเขากำลังรับบทลงโทษทารุณอย่าง ‘นรกดึงลิ้น’!
ผู้ฝึกปราณบางส่วนถึงขนาดไม่อาจทนดูต่อไปได้
กู่ฝอจื่อ ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ที่ผ่าเผย ถือเป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งในแดนเก้าบน มาบัดนี้กลับเผชิญบทลงโทษทารุณต่อหน้าผู้อื่น
นี่จะให้ใครวางเฉยได้อีก
และที่หลินสวินกล้าทำเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยอกสั่นขวัญผวา ตระหนักได้ในตอนนี้ว่าฉายาของเทพมารหลินไม่ใช่ตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่อย่างใด
“เจ้านอกรีต! อาตมาจดจำแค้นนี้ไว้แล้ว วันหน้าจะต้องเอาคืน!”
กู่ฝอจื่อพลันกลับมาสงบนิ่งอีกหน เขากำจัดประสาทสัมผัสทั้งหก ความเจ็บปวดบนลิ้นไม่สามารถส่งผลต่อจิตใจเขาได้อีก
หลินสวินยิ้มอย่างไม่แยแส บทลงโทษทารุณอย่างนรกสิบแปดขุมหาใช่รับมือได้ง่ายๆ เท่านี้ ละทิ้งหกรับรู้ไปก็ไร้ประโยชน์!
“ให้นายท่านนกอย่างข้าจัดการเอง!”
เพียงแต่ขณะที่หลินสวินจะลงมือต่อ พลันมีเสียงร้องหนึ่งดังก้อง ก็เห็นนกทมิฬตัวใหญ่ตัวหนึ่งมาเยือนกลางฟ้า
ที่ทำให้หลินสวินหนังตากระตุกก็คือ เจ้าหมอนี่ถึงกับเข้าออกในกระบวนค่ายกลที่ตนสร้างขึ้นได้อย่างอิสระ ราวกับเป็นแดนดินว่างเปล่าไร้ผู้คน!
ทว่าเมื่อเห็นนกทมิฬปรากฏตัว ในใจของหลินสวินกลับเบาใจลงอย่างอดไม่อยู่ ก่อนหน้านี้เขากังวลจริงๆ ว่าเจ้านกหัวขโมยตัวนี้จะถูกกู่ฝอจื่อทำร้ายไปแล้ว
นกทมิฬร่างใหญ่โบยบินมาถึงก็ยกกระทะดำด้านหลังขึ้น ฟาดใส่หลังศีรษะกู่ฝอจื่อเสียงเป๊งดังลั่น
ก่อนหน้านี้กู่ฝอจื่อที่ต่อให้ภูเขาทลายลงตรงหน้าก็ไม่เปลี่ยนสีหน้ามาตลอด ยามนี้กลับเผยแววตระหนกลนอย่างยากจะได้เห็น กล่าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า “อาจารย์อาเล็ก นี่ท่านจะช่วยคนนอกมาจัดการข้าหรือ”
“มารดามันเถอะ ในสายตาเจ้ายังจะมีอาจารย์อาเล็กอย่างข้าอยู่อีกหรือ”
ในน้ำเสียงของนกทมิฬเจือแววแค้นเคือง ฟาดกระทะดำใบเดิมลงไปอีกหน เสียงเป๊งๆ ดังระรัวกึกก้อง ไม่นานศีรษะของกู่ฝอจื่อก็บวมเป่งขึ้นมา
อีกทั้งเขายังตะโกนร้องอย่างอนาถไม่หยุด คล้ายได้รับความเจ็บปวดถึงที่สุด
ห่างอออกไปทุกคนล้วนตาเบิกค้าง การปรากฏตัวของนกทมิฬตัวโตทำให้พวกเขาคาดไม่ถึง ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือ กู่ฝอจื่อยังเรียกนกตัวนี้ว่า ‘อาจารย์อาเล็ก’!
นี่อยู่เหนือการคาดเดาของทุกคน
เมื่อถึงช่วงท้าย กู่ฝอจื่อถูกฟาดจนหมอบคว่ำกับพื้น ร่างเกร็งกระตุกไม่หยุดเหมือนคนเป็นลมชัก น้ำลายฟูมปาก ทั่วทั้งศีรษะบวมแดงตะปุ่มตะป่ำ อเนจอนาถยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้เขายังดูศักดิ์สิทธิ์ผุดผ่องประหนึ่งพุทธองค์มาเยือนโลก ท่วงท่าสง่างามไร้ที่ติ แม้ว่าจะถูกกดกำราบก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
แต่ตอนนี้กลับอนาถจนทนมองไม่ได้ ทำเอาผู้คนต่างรู้สึกเจ็บปวดแทนเขา
เป๊ง!
หลังเสียงกังวานสะท้านฟ้าดิน กู่ฝอจื่อก็ถูกกระทะดำตีจนสลบแล้ว
ทุกคนล้วนสูดหายใจหนาวสะท้าน อนาถ! อนาถเกินไปแล้ว! กู่ฝอจื่อที่แสนสง่าถึงกับถูกกระทะดำใบหนึ่งฟาดจนสลบ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะต้องเป็นเรื่องน่าขันที่สุดแน่
“เงียบ!”
นกทมิฬตะคอก ก็เห็นกระทะดำใบนั้นส่งเสียงวู้ม ปลดปล่อยเกลียวคลื่นเร้นลับออกมาสายหนึ่ง ทันใดนั้นก็กลืนกินร่างกู่ฝอจื่อจนหายลับไป
“เจ้าคิดจะช่วยเขาหนีออกไป?” หลินสวินขมวดคิ้ว
นกทมิฬสีหน้าซับซ้อนสื่อจิตว่า ‘เจ้ามองผิดแล้ว นี่เป็นเพียงร่างแยกหนึ่งของกู่ฝอจื่อเท่านั้น หลายปีนี้ร่างต้นของเขาไม่เคยปรากฏตัวออกมา!’
นัยน์ตาดำของหลินสวินพลัดหดรัด ร่างแยกหนึ่งก็มีพลังต่อสู้ระดับอมตะเคราห์ด่านสี่แล้ว?
เช่นนั้นร่างต้นของเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน
ชั่วขณะหนึ่งในใจหลินสวินปรากฏคลื่นโหมซัด ข่าวนี้ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ยากจะปักใจเชื่อ!
……………..