Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1277 ประมือกับอวิ๋นชิ่งไป๋ครั้งแรก!
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1277 ประมือกับอวิ๋นชิ่งไป๋ครั้งแรก!
ณ ชั้นสิบแปดของสถูปเจดีย์ ไอสังหารราวกระแสเย็นยะเยือก กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นโอบล้อม
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะปรากฏตัวขึ้นตอนนี้”
ชายหนุ่มชุดหยกเชยตามอง เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินชัดเจน หลังจากอึ้งไปเล็กน้อยก็คืนสู่ความเรียบเฉย
ตั้งแต่เริ่มจนจบปราณกระบี่รอบกายเขาราววังน้ำวน พลิกตลบครั่นครืน ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งจอมกระบี่ มีความเชื่อมั่นในตัวเองซึ่งเก็บงำไว้ภายในถึงที่สุด
“นี่ก็เรียกว่ากรรมตามทันคนทำชั่ว”
ดวงตาดำของหลินสวินเย็นชา
ตอนนี้เขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แขนเสื้อโบกกระพือ ไอสังหารราวหิมะถล่มลูกใหญ่!
เพราะคนตรงหน้ามีนามว่าอวิ๋นชิ่งไป๋!
ผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคที่ถูกมองว่าเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เคยมีฉายาว่า ‘อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน’ คนนั้น
นามของเขาเลื่องลือในใต้หล้า ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
แต่สำหรับหลินสวิน อวิ๋นชิ่งไป๋มีเพียงฐานะเดียว…
ศัตรู!
ความแค้นนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดและน้ำตามากมายนัก
หลายปีมานี้ที่หลินสวินเสาะหามาตลอดตั้งแต่ออกมาจากคุกใต้เหมือง ผ่านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น เข้าจักรวรรดิจื่อเย่า สู่ดินแดนรกร้างโบราณ…
ประสบกับภยันตรายและความยากลำบากนับไม่ถ้วนตลอดทางนี้ เป้าหมายก็เพื่อจบความแค้นนี้!
แค้นนี้ไม่ชำระ จะเป็นคนอยู่ได้อย่างไร
และตอนนี้เมื่อได้พบอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างไม่คาดคิดที่ชั้นสิบแปดของสามพันสถูปเจดีย์แห่งนี้ ความแค้นที่หลินสวินกดอัดไว้ในส่วนลึกที่สุดภายในใจก็ปะทุขึ้นราวหินหนืดโดยสมบูรณ์ไปด้วย
ทว่าเขายังควบคุมสติอารมณ์ให้สุขุมเยือกเย็นถึงที่สุด สภาวะจิตก็ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณก็โคจรภายใต้การควบคุมของเขา
การล้างแค้นไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ!
แต่หลินสวินไม่ได้ถูกความแค้นมอมเมา
เขารู้ดีว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนที่แข็งแกร่งปานไหน ไม่ว่าจะเป็นแต่ก่อนหรือตอนนี้ คนผู้นี้ยังเรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับนายเหนือหัวซึ่งเป็นผู้นำยุคสมัย
ความแข็งแกร่งของเขาเป็นที่รู้กันอยู่ก่อนแล้ว
บนกระดานทองคำผู้กล้าแดนเก้าบน ตำแหน่งอันดับหนึ่งนั้น จวบจนตอนนี้ยังไม่มีใครสั่นคลอนได้
ดังนั้นหากหมายจะต่อกรคนเช่นนี้ ก็ต้องปฏิบัติด้วยท่าทีแห่งมหาศัตรู!
“กรรมตามทันหรือ”
อวิ๋นชิ่งไป๋เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงเชื่อกระบี่กลางจิต ไม่เคยเชื่อคำกล่าวเรื่องกรรมสนอง ข้าอวิ๋นชิ่งไป๋ฝึกปราณมากระทั่งตอนนี้ ฟาดฟันสังหารคนไปไม่รู้เท่าไร หากมีกรรมสนองจริง ข้าจะอยู่รอดถึงตอนนี้ได้อย่างไร”
“ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนอง แต่เวลายังมาไม่ถึง”
หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง แต่นิ้วมือกลับสั่งสมพลังไว้แล้ว “และตอนนี้ กรรมตามทันแล้ว”
“ได้พบกันแล้ว ไม่ต้องรีบไปตายทันทีหรอก พวกเรามาคุยกันก่อนดีกว่า จะว่าไปนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบหน้ากันจริงๆ”
ดวงตาอวิ๋นชิ่งไป๋สงบนิ่ง เรียบเฉยถึงที่สุด
เขาสงบนัก ตั้งแต่เริ่มจนจบก็นั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น ท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่กลับทำให้รู้สึกไร้ช่องโหว่ให้โจมตีได้
นี่ทำให้นกทมิฬนัยน์ตาหดรัด ฉายแววไหววูบไม่ว่างเว้น
เห็นได้ชัดว่ามันก็เคยได้ยินเรื่องราวของอวิ๋นชิ่งไป๋ รู้ถึงความเก่งกาจของเขา
เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงสักนิดว่าเดิมทีคราวนี้มาเพื่อสังหารร่างต้นของกู่ฝอจื่อ จะคิดได้อย่างไรว่าดันพบกับอวิ๋นชิ่งไป๋โดยบังเอิญเสียได้
“ร่างต้นของกู่ฝอจื่อล่ะ ถูกเจ้าฆ่าไปแล้วใช่ไหม”
นกทมิฬพลันเอ่ยปาก
อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้าอย่างเรื่อยเฉื่อย พูดว่า “คนผู้นี้ฝึกคัมภีร์พ้นดีชั่ว หลายปีมานี้เคยฆ่าผู้ร่วมวิถีไปไม่รู้เท่าไร ณ ที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าบาปคับฟ้า”
“แน่ล่ะ ข้าไม่ใจรักคุณธรรมเช่นนั้น สาเหตุที่ฆ่าเขา ก็เพียงอยากรู้มรรคาที่เขาเสาะแสวงก็เท่านั้นเอง”
เรื่องฆ่าคนถูกเขาบรรยายอย่างราบเรียบ ทำให้นกทมิฬกลัวจนตัวสั่นอย่างอดไม่ได้
ควรรู้ว่านั่นเป็นถึงกู่ฝอจื่อแห่งอารามกษิติครรภ์ แข็งแกร่งปานไหน แต่กลับถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ปลิดชีพ ไม่อยู่ในสายตาเลย!
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่จากไป”
หลินสวินก้าวเท้าไปข้างหน้าทันที ฝีเท้าเชื่องช้า ในขณะเดียวกันพลานุภาพไพศาลหาใดเทียมก็แผ่ขยายออกมาจากร่างของเขา
ผมดำของเขาปลิวไสว แววตาดุจสายฟ้า ไอสังหารจับจ้องแน่วนิ่งไปยังอวิ๋นชิ่งไป๋
“แล้วทำไมต้องจากไป”
อวิ๋นชิ่งไป๋เหมือนไม่สนใจ ทั้งไม่ตอบสนองต่อการเข้าประชิดของหลินสวินแต่อย่างใด
สายตาของเขากวาดมองไปโดยรอบแล้วกล่าวว่า “สามพันสถูปเจดีย์แห่งนี้เป็นสิ่งที่อริยพุทธคนหนึ่งในยุคต้นบรรพกาลหลงเหลือไว้ มีศุภโชคใหญ่ชิ้นหนึ่งผนึกอยู่ ตามการสันนิษฐานของข้า ก็ซ่อนอยู่ใน ‘ภาพมรรค’ ที่สลักอยู่บนผนังสิบแปดภาพนี้ ถ้ายังไม่หยั่งรู้ปริศนาภายในนั้น ข้าย่อมไม่จากไป”
ตอนหลินสวินกับนกทมิฬมาถึงก็สังเกตเห็นภาพมรรคหินสลักสิบแปดภาพนี้จริง แต่ไม่ทันได้ไปสืบเสาะ
เวลานี้นกทมิฬมองไปอย่างอดไม่ได้
ส่วนหลินสวินกลับจิตใจไม่หวั่นไหวสักนิด เขาราวกับไม่ได้ยิน ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ไอสังหารดั่งห้อทะยานรวมอยู่บนร่างอวิ๋นชิ่งไป๋
ชิ้ง!
ดาบหักเคลื่อนออกมา มายาดุจขนนก ขาวเจิดจ้าตระการตา รัศมีไร้เทียมทานแผ่นซ่าน
“ของดีนี่!”
อวิ๋นชิ่งไป๋ตาเป็นประกาย เอ่ยวิจารณ์ว่า “ดาบนี้ต้องมีที่มาที่ไปใหญ่ยิ่ง ข้ารู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของมันไม่ธรรมดาเพียงเท่านี้แน่”
ตั้งแต่เริ่มจนจบการตอบสนองของอวิ๋นชิ่งไป๋สงบนิ่งนัก แต่เพราะสงบนิ่งเกินไป กลับพาให้รู้สึกจับไม่ได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดลวง
“เช่นนั้นเจ้าว่าใช้ดาบนี้บั่นหัวเจ้าเป็นอย่างไร”
เสียงหลินสวินเรียบเฉย
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งกายเขาได้โคจรมาถึงสภาวะสูงสุดแล้ว และตัวเขาก็อยู่ในสภาพ ‘ยอดนิรันดร์ไร้รั่ว’
สามารถคาดเดาได้ว่า ทันทีที่ลงมือต้องเป็นการโจมตีที่ทรงอานุภาพมากแน่!
“เจ้ามีเพียงพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสามเท่านั้น แม้พลังต่อสู้จะเย้ยฟ้ากเพียงไหนก็ย่อมไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
อวิ๋นชิ่งไป๋เอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าได้ศุภโชคลี้ลับเหลือจะกล่าวบางอย่างมาโดยบังเอิญ ทำให้พลังปราณทะลวงถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าในคราวเดียว หากลงมือ จะสามารถสังหารเจ้าได้ภายในสามกระบี่”
เสียงยังคงสงบนิ่งดังเดิม นี่เป็นความเชื่อมั่นว่าไร้ศัตรูต้านทาน เนื้อหาในถ้อยวจีสามารถทำให้ผู้อื่นหายใจติดขัด
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ลงมือ”
หลินสวินไม่หวั่นไหวไปตามเขา ตั้งแต่เริ่มจนจบสีหน้าเรียบเฉย
ระหว่างที่พูดเขาก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ระยะห่างจากอวิ๋นชิ่งไป๋เหลือเพียงเก้าจั้งเท่านั้น!
อวิ๋นชิ่งไป๋กล่าวเรียบๆ ว่า “สงสัยก็เท่านั้น ตามที่ข้าเข้าใจ คนที่ถูกชิงชีพจรปราณไปแทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตได้อีก มีเพียงเจ้าที่ทำลายความเป็นไปได้นี้ จึงทำให้หักใจลงมือสังหารในทันทีไม่ได้อยู่บ้าง”
“เท่าที่ข้ารู้ ยามอวิ๋นชิ่งไป๋เผชิญหน้ากับศัตรู ที่ผ่านมาล้วนสังหารเด็ดขาด มักไม่ชักช้าอืดอาด แต่เหตุใดคราวนี้กลับพูดจาไร้สาระ”
หลินสวินหยุดเดิน เงาร่างผอมบางสูงโปร่งราวทวนยาวที่แทงทะลุเวิ้งฟ้าเล่มหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”
อวิ๋นชิ่งไป๋ถอนหายใจเบา ลุกขึ้นจากพื้นโดยพลัน
ชั่วพริบตานี้ ราวกับกระบี่เทพที่ผนึกอยู่ในส่วนลึกของเหวลึกเร้นลับสลัดตัวออกจากโซ่ตรวน ปรากฏขึ้นบนโลกในเวลานี้!
ความดุดัน เชื่อมั่น โอหัง ตระการตาเช่นนั้น เฉียบคมเหลือคณา!
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่ายังไม่ทันลงมือคงอกสั่นขวัญแขวน เจตจำนงต่อสู้พังทลาย
เพราะกลิ่นอายนี้น่าหวาดหวั่นเกินไป!
เพียงแต่หลินสวินกลับยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก “เสแสร้งแกล้งทำ!”
สวบ!
ยามเสียงเพิ่งดังขึ้น ดาบหักก็โฉบออกไปแล้ว
กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้!
ทว่าอานุภาพของกระบวนเฉือนนี้บรรยายด้วยถ้อยคำอันเป็นรูปธรรมได้ยากมากแล้ว เร็วจนเหลือเชื่อ และดุดันถึงที่สุด
ประหนึ่งแสงสายหนึ่งที่ฉีกทึ้งมวลอากาศ!
กระบวนเฉือนนี้ นัยเร้นลับที่มีอยู่ก็ถึงขั้นเป็นที่ตกตะลึงในโลก ทั้งโทสะหยาจื้อ วิชาอริยะยุทธ์ ยอดนิรันดร์ไร้รั่ว มรรคดับดารากลืนกิน…
กระบวนเฉือนนี้ เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลินสวินปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มพิกัด!
กาลเวลาเหมือนหยุดเคลื่อนไหวลงในตอนนี้
อวิ๋นชิ่งไป๋ที่ขึ้นพร้อมอานุภาพน่าหวาดหวั่น ชั่วพริบตานี้นัยน์ตาหดรัดลงทันใด สีหน้าที่เดิมเรียบเฉยถึงที่สุดปรากฏความเคร่งขรึมอย่างพบเห็นได้ยาก
กระบวนเฉือนนี้ ถึงกับทำให้เขายังรู้สึกตื่นตะลึงอย่างหาที่เปรียบมิได้!
จินตนาการได้ยากจริงๆ ว่าเด็กทารกที่เฉียดใกล้ความตายในตอนนั้น ขณะนี้ดันครอบครองวิชาระดับนี้บนมรรคา
น่าเสียดาย…
เคร้ง!
เสียงกระแทกสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น สนั่นหวั่นไหวจนหูแทบหนวก ทั้งโถงใหญ่พลันไหวคลอนไปครู่หนึ่งในทันใด
บนผนังที่อยู่ใกล้กัน ภาพมรรคหินสลักสิบแปดภาพพากันเปล่งแสง แปรสภาพเป็นพลังลึกลับไร้รูปร่าง กดข่มคลื่นกระแทกของการโจมตีนี้ลง
ด้านนกทมิฬก็ร้องเสียงแหลม ทั้งร่างก็แปะไปกับผนัง ส่งเสียงร้องครางออกมา
ปึง!
ในขณะเดียวกันร่างของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ถูกซัดกระเด็น ถอยหลังไปสิบกว่าจั้ง ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยยากสังเกตเห็น
แววตาเขาดุจกระบี่ แผ่พุ่งประกายแหลมคมเป็นริ้วๆ ออกมา จับจ้องไปที่หลินสวินดั่งสายฟ้าแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ยังทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี”
ทว่าในตอนนี้หลินสวินกลับยิ้มแล้ว “เจ้าเพิ่งฆ่าร่างแยกของกู่ฝอจื่อ กลืนกินพรสวรรค์ของเขาไป เกรงว่ายังไม่ทันได้ย่อยหมดกระมัง”
ดวงตาอวิ๋นชิ่งไป๋หรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง คล้ายได้รู้จักกับหลินสวินใหม่ เอ่ยว่า “เจ้าก็ครอบครองมหามรรคกลืนกินอยู่ ถูกเจ้ามองออกก็ไม่เห็นมีอะไร น่าเสียดาย แม้เป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ชิ้ง!
ดาบหักส่งเสียงกังวาน ออกโจมตีอีกครั้งหนึ่ง หลินสวินไม่คิดจะพูดจาเรื่อยเปื่อยกับเขาแล้ว
“เฉือน!”
ในขณะเดียวกันกระบี่มรรคเล่มหนึ่งโฉบพุ่งมา ไอเทียมฟ้าแผ่ซ่าน สำแดงปรากฏการณ์ประหลาดไร้สิ้นสุด ถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ฟันออกมา
เจตกระบี่ประหนึ่งเทียมฟ้า มีอานุภาพไร้ศัตรูใดเทียบเทียม!
เคร้ง!
ทั้งสองปะทะกัน ครึกโครมราวอสนี ถึงกับฉายปรากฏการณ์ประหลาดน่าหวาดหวั่นอย่างฟ้าถล่มดินแตกระแหง สรรพสัตว์สูญสลาย ดุจพิบัติเคราะห์วันสิ้นโลกมาเยือน
แค่คิดก็รู้ว่าการประมือเช่นนี้น่ากลัวปานไหน
ตึงๆๆ…
อวิ๋นชิ่งไป๋ถอยออกไปอย่างต่อเนื่องหลายก้าว ดูเหมือนไม่อาจต้านทานได้ แต่กลับไม่บาดเจ็บสักนิด
เขาเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ที่เจ้าพูดเมื่อกี้ก็ถูก หากไม่ได้กำลังหลอมพรสวรรค์ของกู่ฝอจื่ออยู่ ข้าย่อมไม่พูดพร่ำทำเพลงกับคนที่เดิมทีควรตายไปตั้งแต่เกิดแล้วอย่างเจ้า”
หลินสวินสาวเท้ายาวไปข้างหน้า อานุภาพราวสายรุ้ง ประหนึ่งเทพมารก้าวเดิน ดาบหักฟาดฟันออกไปอีกครั้งด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
ปึงๆๆ!
ในการปะทะครั้งต่อมา อวิ๋นชิ่งไป๋ถูกซัดถอยอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่บาดเจ็บสักนิดแต่ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน ใบหน้าก็ซีดขาวลงเล็กน้อย
เพียงแต่สีหน้าของเขายังสงบนิ่งและเฉยชา เหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“เจ้าดำ ลงมือ!”
จู่ๆ หลินสวินก็ตะโกน
“จะลงมือด้วยกันหรือ”
ความดูแคลนไหวเคลื่อนในดวงตาอวิ๋นชิ่งไป๋
“ระเบิด!”
กลับเห็นว่าปากนกทมิฬเปล่งถ้อยคำคลุมเครือเหมือนคำสาปของเทพมารบรรพกาลออกมา
พรูด!
ในขณะเดียวกันอวิ๋นชิ่งไป๋ดั่งต้องอสนีบาต ทรวงอกพองขึ้นมาฉับพลันทันใด กระอักเลือดออกมาอย่างทนไม่ได้อีกต่อไป
ส่วนดาบหักก็ฟันลงมาในเวลาเดียวกัน
ฟุบ!
แม้อวิ๋นชิ่งไป๋จะหลบหลีกทันที แต่ยังคงถูกคมดาบกวาดโดน เห็นได้ว่าบนหลังของเขาถูกกรีดเป็นรอยแยกตรงแน่วรอยหนึ่งอย่างจัง ผิวหนังแหวกออกลึกจนเห็นกระดูก เลือดสดๆ สาดกระเซ็น!
ที่ชวนให้ใจหล่นวูบก็คือ อวิ๋นชิ่งไป๋ได้รับการโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ แต่สีหน้ากลับสงบนิ่งเฉยชาดังเดิม การตอบสนองยิ่งรวดเร็วเหนือความคาดหมาย
สวบ!
เงาร่างพริบไหว ตัวเขาพุ่งกระโจนออกไป
“ต้องโทษที่ข้ามีการใหญ่ คราวหน้าข้าจะเผาพวกเจ้าเป็นเถ้าธุลีเสียให้หมด!”
——