Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1303 บริวารองค์ชาย
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1303 บริวารองค์ชาย
ฟ้าดินมืดมัว ไอหนาวเหน็บกดทับทั้งที่นั้น
ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นพากันถอยหนีไปโดยไม่รู้ตัว หยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยพลานุภาพรุ่งโรจน์ยิ่งนัก ทำให้พวกเขารู้สึกใจสั่นระรัวและกดดัน
อาหลู่กับเจ้าคางคกก็อึ้งไปก่อน จากนั้นแววตาพากันเปล่งประกายขึ้นมา เผยให้เห็นแววบ้าคลั่ง
“ในที่สุดก็มีคนที่ดูเข้าท่ามาสักที”
จิตต่อสู้ของอาหลู่เดือดพล่าน เจตจำนงต่อสู้ทะยานขึ้น
“นี่ เจ้าอย่าแย่ง ให้ข้าลองหน่อยว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนกลวงๆ ที่ดูได้แต่สู้ไม่ได้หรือไม่”
เจ้าคางคกก็ลูบมือลูบหมัด ท่าทางอยากจะลงมือรอมร่อ
สิ่งนี้ทำให้หยวนฝ่าเทียนอึ้งไป จากนั้นก็เดือดดาลพูดเสียงเหี้ยมว่า “หมาแมวที่ไหนกัน ยังกล้ามาเห่าหอนบ้าคลั่งต่อหน้าข้า ให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง ไปเรียกหลินสวินออกมาแล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”
เสียงของเขาราวอสนีดังลั่นฟ้าดิน ขับเน้นให้อานุภาพของหยวนฝ่าเทียนยิ่งน่าหวาดหวั่น
“อ๋อ… ที่แท้ก็ผู้หลอมกาย!”
ดวงตาอาหลู่ยิ่งเปล่งประกายเหมือนกับจับจ้องเหยื่อ เผยความตื่นเต้นที่ไม่เคยมีมาก่อน เลือดลมทั้งกายต่างเดือดพล่าน
“หือ?”
ในขณะเดียวกันหยวนฝ่าเทียนก็สังเกตได้ว่ากลิ่นอายทั้งตัวของอาหลู่ไม่ธรรมดา เลิกคิ้วเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าก็เป็นผู้หลอมกายหรือ”
ตูม!
อาหลู่พุ่งทะลุเมฆขึ้นไปในทันใด แล้วฉีกยิ้มกว้าง “สหาย อยากเล่นกันสักหน่อยไหม ถ้าเอาชนะข้าได้รับรองว่าจะให้เจ้าได้พบพี่ใหญ่ของข้า แต่ถ้าไม่ได้ ก็อย่าหาว่าข้าโหดกับเจ้าแล้วกัน”
หยวนฝ่าเทียนยิ้มด้วยความโมโหถึงที่สุด “ในวิถีหลอมกาย ข้ายังไม่เคยกลัวใคร ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าท้าทายเลย หาไม่แล้วคงตายอนาถเท่านั้น!”
ความดูแคลนหนาแน่นเจืออยู่ในเสียง
เขาเป็นลูกหลานเผ่าวานรจมูกเชิด เก็บตัวเงียบอยู่ภายในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ที่ฝึกฝนก็คือเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ วิชาหลอมกายของเขาทะลวงจนสุดขอบเขตมกุฎมานานแล้ว มองไปในใต้หล้าล้วนไม่กลัวผู้ใด!
คำท้าของอาหลู่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้… สอนจระเข้ว่ายน้ำ โง่เขลาไม่รู้ความ!
“อาหลู่ เขาดูถูกเจ้าเห็นๆ เปลี่ยนเป็นข้าเข้าไปแทนดีไหม”
เจ้าคางคกโวยวายเสียงดัง
“เหลวไหล ดูว่าข้าจะรังแกเขาอย่างไรเถอะ!”
ท่ามกลางเสียงตะคอกดัง ผิวหนังทั้งตัวอาหลู่พองขยาย ทั้งร่างกายแผ่ไอเลือดคับฟ้าออกมา ราวกับแปลงกายเป็นเทพเถื่อนคนหนึ่ง เพียงแค่กลิ่นอายก็ทำให้ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงยุบตัว ส่งเสียงโครมครามไม่ว่างเว้น
ตูม!
อาหลู่ลงมือแล้ว ยามกระแทกหมัดหนึ่งออกไป ในห้วงอากาศก็บังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดลักษณ์เทพกดข่มห้วงดารา บดบังฟ้าดิน ทรงพลังจนหมื่นบุรุษไม่อาจต้านทาน
“เอ๋ วิชาดาวเหนือสยบโลกา! เจ้าลิง คนผู้นี้เป็นผู้สืบทอดสายเลือดจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ อย่าประมาทเด็ดขาดล่ะ!”
ไกลออกไปราชันเผิงปีกทองน้อยรีบเตือน
“หึ!”
หยวนฝ่าเทียนสีหน้าเย็นชา เกิดเสียงกระทบชิ้งๆ ราวเสียงกระบี่ขึ้นภายในร่าง นั่นสะท้อนว่าพลังเลือดลมในร่างกายน่ากลัวถึงที่สุด
ก็เห็นว่าแสงกระจ่างอันงดงามสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นทั่วร่างของเขา สะท้อนลักษณ์แห่งเทพธรรมบาล ท่ามกลางความคลุมเครือ ภายในแสงกระจ่างสายแล้วสายเล่านั้นประหนึ่งมีเทพสั่งการ สวดภาวนาอยู่ภายใน สถานการณ์สะท้านโลกา
“ปล่อย!”
หยวนฝ่าเทียนกระโจนขึ้นไป ชกหมัดหนึ่งออกมาเช่นกัน พลังหมัดนั้นดุจดั่งสร้างขึ้นจากกระจกสลัก แต่กลับน่ากลัวไร้ที่สิ้นสุด มีพลังสังหารพลิกกลับจักรวาล ทำลายภูผาธารา
เปรี้ยง!
ทั้งสองเหมือนดาวหางปะทะกัน เสียงโครมครามน่าครั่นคร้ามปะทุออก ฟ้าดินแถบนั้นพลันตกอยู่ในความโกลาหล ชั้นเมฆพังทลาย เสียงธรรมไม่ขาดสาย
ตึงๆๆ!
ท่ามกลางการจับจ้องของสายตาตกตะลึงทั้งมวล เหนือฟ้าสูงหยวนฝ่าเทียนกับอาหลู่ต่างถูกซัดกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว
“ไม่เลว! ไม่เลวจริงๆ!”
อาหลู่ร้องเสียงดัง ตื่นเต้นนัก นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝึกปราณมาที่เขาได้พบกับผู้หลอมกายที่มีฝีมือสมน้ำสมเนื้อ จิตต่อสู้ในใจลุกโชนโดยสมบูรณ์แล้ว
“หึ!”
หยวนฝ่าเทียนสายตาเย็นชา แต่แท้จริงในใจเก็บงำความดูถูกลงไปแล้ว
เขารู้ว่าจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพเป็นคนน่ากลัวปานไหน และในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของคนผู้นั้น วิชาในวิถีหลอมกายของคนเถื่อนผู้นี้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับบุคคลขอบเขตมกุฎทั่วไป
“ฆ่า!”
ทั้งสองประมือกันอีกครั้งโดยมิได้นัดหมาย
โครม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน มองจากไกลๆ เหมือนเทพสององค์กำลังปะทะกัน พลังกายอันน่าหวาดหวั่นปลดปล่อยอานุภาพที่สามารถทำลายโลกได้ออกมา
บนพื้นผู้สังเกตการณ์ต่างสูดหายใจเยียบเย็น หยวนฝ่าเทียนเป็นถึงพวกร้ายกาจชั้นยอด พลังกายทั้งตัวสามารถโอหังเหนือผู้คนได้ พลังต่อสู้สูงล้ำ
แต่พลังหลอมกายที่อาหลู่สำแดงออกมากลับไม่ด้อยไปกว่ากันสักนิด สู้กับหยวนฝ่าเทียนจังๆ ได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง!
‘อาหลู่คนนี้ก็เป็นบุคคลที่มาพร้อมกับโชควาสนายิ่งใหญ่ ถึงกับทะลวงมรรคหลอมกายมาได้ถึงขั้นนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย’
ในใจของราชันเผิงปีกทองน้อยก็ลอบตกตะลึงไม่หยุด
ที่พวกเขามาคราวนี้ก็เพื่อประมือกับหลินสวิน ใครจะไปคิดได้ว่ายังไม่ทันได้พบหลินสวิน กลับมีบุคคลแข็งกร้าวอย่างยิ่งยวดผู้หนึ่งออกมาสู้
“เจ้านกเผิงน้อย ไม่สู้พวกเรามาเล่นด้วยกันหน่อยเล่า”
ทันใดนั้นเบื้องหน้าราชันเผิงปีกทองน้อยก็พร่าเลือน แล้วจึงเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งยืนยิ้มน้อยๆ ห่างออกไปนอกร้อยจั้ง
“เจ้าคางคกเรื้อน ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าหาที่ตายดีกว่า!”
ราชันเผิงปีกทองน้อยสีหน้าถมึงทึง แววเย็นชาผุดออกมาจากหว่างคิ้ว
เขาสวมชุดทองทั้งตัว รูปลักษณ์ธรรมดา แต่กลับมีกลิ่นอายพยศจองหอง และด้วยมีฐานะเป็นลูกหลานพญาเผิงปีกทอง ใครจะกล้ามาเรียกเขาเช่นนี้
“ปากดีจริงนะ! วันนี้ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าอย่างไรเรียกอาจหาญกำราบเผิง!”
เจ้าคางคกออกโจมตีในทันใด กลิ่นอายกลืนตะวันคายจันทรา นิ้วมือแปลงเป็นดาบฟาดฟันออกไปเหมือนสายฟ้าฟาด
‘ดุดันนัก!’
หลายคนลอบประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ผู้คนในโลกล้วนรู้ว่าหลินสวินใจกล้าเกินใคร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่สองพี่น้องคู่นี้ก็ล้วนห้าวหาญนัก
คนผู้นั้นเป็นถึงราชันเผิงปีกทองน้อย บุคคลระดับนายเหนือหัวที่โอหังเหนือโลกาผู้หนึ่ง พยศอวดดี กล้าหาญเหนือคนรุ่นเดียวกัน!
หลายปีมานี้แม้เขาจะวางตัวถ่อมตน แต่กลับไม่มีใครกล้าละเลยการมีอยู่ของเขา!
แต่เจ้าคางคกกลับไม่สนใจเลย
“กบก้นบ่อ รนหาที่ตาย!”
ราชันเผิงปีกทองน้อยก็โมโหแล้ว เงาร่างระเบิดแสงทองเปล่งประกายออกมา เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ รัศมีสายฟ้าแวววาวสายแล้วสายเล่าพลิกตลบอยู่รอบกายเขา
ชั่วพริบตาเขาเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน แผ่ประกายคมล้ำเลิศออกมา ทุกการกระทำล้วนปล่อยอานุภาพโอหังเหนือสรรพสัตว์
“ทลายนภาคราม!”
ลำแสงสีทองเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากฝ่ามือของราชันเผิงปีกทองน้อย เฉียบคมบาดตาดั่งกระบี่เทพดุจดาบเซียน ขึ้นรับการโจมตี
โครม!
ตรงนั้นฟ้าดินพลิกผัน ละอองแสงโชติช่วง
ที่ทำให้ราชันเผิงปีกทองน้อยประหลาดใจก็คือ ด้วยการโจมตีนี้เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นกลับเพียงถูกซัดถอยไปเท่านั้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
ควรรู้ว่าการโจมตีนี้ของเขาสามารถสังหารศัตรูรุ่นเดียวกันอย่างง่ายดาย ไม่ได้ออมมือหรือหยั่งเชิงสักนิด แต่ตอนนี้กลับถูกรับไว้ได้ พิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายไม่อาจดูแคลนง่ายๆ
“เข้ามาอีก!”
กลับเห็นว่าเจ้าคางคกร้องเสียงดัง โอหังบ้าระห่ำดุจอัคคี ไฟต่อสู้ไหลวนถาโถมในนัยน์ตาสีทอง พุ่งตัวมาข้างหน้า ผมยาวพลิ้วไหวบ้าคลั่ง บนใบหน้าหล่อเหลามีแต่ความบ้าระห่ำ
“ในเมื่อเจ้าหาที่ตายเอง ก็จะให้เจ้าสมใจ!”
ราชันเผิงปีกทองน้อยสีหน้าถมึงทึงโดยสมบูรณ์แล้ว รู้สึกถูกหยามเกียรติ จึงไม่ลังเลอีก ปลดปล่อยพลังพุ่งขึ้นไป
ตูม!
ชั่วพริบตาทั้งสองก็ประมือกันมากกว่าร้อยครั้ง สู้กันจนฟ้าดินหม่นหมอง ตะวันจันทราอับแสง เหนือห้วงอากาศมีแต่รอยเงาที่พวกเขาหลงเหลือไว้เต็มไปหมด
ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปต่างตื่นเต้นจนตัวสั่นระริก
คิดไม่ถึงสักนิดว่าเพียงครู่สั้นๆ จะเกิดการประลองหายากถึงสองครั้งเสียได้ ไม่ว่าจะเป็นหยวนฝ่าเทียนหรือราชันเผิงปีกทองน้อย ต่างพบเข้ากับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก!
การประมือระดับนี้โดยทั่วไปหาชมได้ยากนัก จะไม่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นได้อย่างไร
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นบนยอดเขาฝนดาวตกแล้ว เขาทอดตามองการต่อสู้ทั้งสองที่กำลังปะทุขึ้นไกลออกไป สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว
เพียงแต่ตอนเห็นหยวนฝ่าเทียนใจเขาก็กระตุก ลอบพูดว่าข้ากำลังหาเจ้าพอดี เจ้ากลับมาเยือนถึงที่เสียเองแล้ว!
ชั่วขณะนั้นสายตาที่เขามองไปยังหยวนฝ่าเทียนก็เจือไปด้วยนึกสนุก
ช่วงก่อนหน้านี้หลังจากใคร่ครวญเรื่องมรรคหลอมกาย ความจริงหลินสวินได้ตัดสินใจไปแล้ว เพียงแต่เมื่อจะลงมือปฏิบัติจริง กลับจำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนสักครั้งหนึ่ง
และจุดเปลี่ยนนี้ก็อยู่กับหยวนฝ่าเทียน!
ขณะนี้หลินสวินถึงกับยังแอบรู้สึกบังเอิญเหมือนฟ้าลิขิต
“อาหลู่ ในเมื่อเจ้าหมอนี่กล้ามาหยาม ก็จะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้เด็ดขาด”
หลินสวินพลันส่งเสียงกังวานดังก้องในฟ้าดิน
เทพมารหลิน!
ทุกคนทั้งที่นั้นล้วนหันมอง ต่างรู้สึกทึ่ง จากนั้นก็โกลาหลโดยสมบูรณ์แล้ว เทพมารหลินที่จำศีลไม่ออกมาโดยตลอดปรากฏตัวขึ้นในขณะนี้ คาดการณ์ได้ว่าการต่อสู้วันนี้คงไม่ได้ปิดฉากอย่างสงบแน่!
“พี่ใหญ่ เจ้าวางใจได้ ข้าจะจับเจ้าลิงน้อยเผ่าวานรจมูกเชิดนี่เสีย!”
อาหลู่หัวเราะร่า ห้าวหาญหยาบกระด้าง
มองเห็นทั้งหมดนี้ทำให้หยวนฝ่าเทียนกราดเกรี้ยว ดวงตาลุกวาว ไอสังหารพลุ่งพล่าน
“หลินสวิน รอข้าฆ่าเจ้าคนเถื่อนนี่ได้ค่อยไปทวงแค้นในตอนนั้นจากเจ้า เจ้าวางใจได้ ข้ารับรองว่าจะไม่ฆ่าเจ้าให้ตาย!”
เขาตะคอกลั่น กลิ่นอายยิ่งแข็งกล้าขึ้นไปอีก
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อ
ทว่าครู่ต่อมาเขาก็หรี่ตาลง มองไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้วสื่อจิตว่า ‘เจ้าดำ มีคนมาอีกแล้ว ข้าจะไปรับหน่อย เจ้าจับตาดูการต่อสู้ของพวกอาหลู่ไว้ ควรลงมือก็ลงมือเสีย’
พูดจบเขาก็กระโจนขึ้นไปในเวหา สองมือไพล่หลัง ยืนตระง่านกลางอากาศรออยู่เงียบๆ
เหนือเขาฝนดาวตก นกทมิฬชะเง้อหัวออกมาลับๆ ล่อๆ มองดูเวิ้งฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ทันใดนั้นก็กระจ่างใจ มันหัวเราะหึๆ พูดว่า “ให้ข้าจัดการเอง”
ครู่ต่อมามันก็หายลับไป
ก็ในตอนนี้เอง เสียงรื่นหูราวเสียงสวรรค์เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือเขาฝนดาวตก
“หวั่นอินสาวใช้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชาย พาเหล่าผู้ร่วมมรรคมาเยี่ยมเยียนสหายยุทธ์หลิน!”
ท่ามกลางสายตาจับจ้องอันตื่นตะลึงทั้งมวล ที่เวิ้งฟ้าไกลลิบปรากฏเงาร่างแถวหนึ่ง ผู้ที่นำหน้ามาเป็นหญิงสาวงามสง่าที่ทั้งร่างโอบล้อมอยู่ท่ามกลางหมอกฝนพร่ามัวผู้หนึ่ง ดุจเทพธิดามาเยือนโลกา
เบื้องหลังของนางมีเงาร่างห้าร่างตามมาด้วย มีทั้งชายทั้งหญิง ล้วนขี่ลมเหนือฟ้าสูง กลิ่นอายประหนึ่งทวยเทพ แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ
ในที่นั้นเงียบสงัดไปชั่วขณะ ทุกคนฉงนใจไม่ว่างเว้น
ใครก็คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะครึกครื้นขนาดนี้ หลังจากหยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยมาเยือน ยังมีคนมาเยือนเขาฝนดาวตก อีกทั้งยังทรงพลังมหาศาล!
แม้แต่เจ้าคางคก อาหลู่ หยวนฝ่าเทียนและราชันราชันเผิงปีกทองน้อยที่กำลังขับเคี่ยวดุเดือด เวลานี้ก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน
แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ จดจ่อกับการต่อสู้โดยไม่กล้าวอกแวก
“อวี๋ซี ไป๋เฉียน เหยาหลี…”
หลินสวินกวาดสายตามองดู พลันจำใบหน้าคุ้นตาได้หลายคน
สุดท้ายสายตาเขาหยุดลงที่หวั่นอินผู้นำหน้ามา ในใจก็เข้าใจแล้ว
ยามช่วยอาหลู่ที่แดนโบราณหมื่นลักษณ์ตอนนั้น เขาเคยฟันหนึ่งกระบี่ออกไปกลางอากาศ ทำร้ายบุคคลล้ำเลิศที่ซ่อนตัวในความมืดผู้หนึ่ง
ตอนนี้ดูท่าก็คงจะเป็นหญิงสาวนามหวั่นอินผู้นี้
——