Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1315 คลื่นลมรวมตัว รอแค่คนเดียว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1315 คลื่นลมรวมตัว รอแค่คนเดียว
ศิลาโบราณหมื่นลักษณ์
ในแดนลับฝึกปราณที่สร้างจากภาพยุทธ์หลอมกายหมื่นลักษณ์ที่สามสิบหก
ตูม!
เสียงราวฟ้าผ่าดังกระหึ่ม ทั้งประหนึ่งเสียงคำรามของทวยเทพเหนือสวรรค์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังสะเทือนใจคน
ทุกเสียงล้วนดังมาจากร่างหลินสวิน!
ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิ เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่านส่งเสียงกัมปนาทดุจเตาหลอม บนผิวนั้นราวถูกหล่อจากทองเทพหยกเซียน เจิดจรัสงามแปลกตา ลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นปรากฏ
ท่ามกลางความเลือนรางพร่ามัว ราวกับมีมายาเทพมากมายนั่งบัญชาอยู่ภายใน ส่งเสียงธรรมแผ่กว้างก้องฟ้าดิน
แม้ยามหลินสวินหายใจก็ดุจลมอสนีบาตปั่นป่วน เนิบช้า พร่ามัว เรียบง่ายทรงพลัง
ตั้งแต่เริ่มใช้ศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ฝึกตนถึงตอนนี้ หลินสวินทยอยได้รับการเคี่ยวกรำและบททดสอบด่านแล้วด่านเล่า
การหยั่งรู้และประโยชน์ที่ได้รับบนวิถีหลอมกายก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่หยั่งถึงเหล่านี้บ้างมาจากการเปลี่ยนแปลงของพลังกาย บ้างก็มาจากประสบการณ์และใจความที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพเหลือไว้
บัดนี้ต่างมารวมกันที่ร่างหลินสวิน ทำให้วันนี้เขาทะลวงปราณหลอมกายถึงระดับราชันในคราเดียว!
ทั้งยังก้าวเข้าสู่มกุฎ!
กายหยาบบรรลุราชัน หลอมกายถึงขอบเขตมกุฎ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงเดือนก็ครองระดับความรู้อันลึกซึ้งเช่นนี้บนวิถีหลอมกาย ช่างเรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้า
หากแพร่ออกไปต้องนำมาซึ่งความปั่นป่วนในใต้หล้าแน่นอน
แต่สำหรับหลินสวินกลับดูเป็นขั้นเป็นตอน
เพราะตั้งแต่เริ่มหลอมกายถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยเจอสิ่งกีดขวางและอุปสรรคอะไรเลย ตลอดทางมีจิตใจห้าวหาญที่เหลือบแลใต้หล้า รุดหน้าอย่างรวดเร็ว!
ทุกอย่างนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปูพื้นฐานที่มั่นคงยามเขาฝึกปราณก่อนหน้านี้ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคี่ยวกรำและทดสอบในศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ด้วย
ถึงอย่างไรศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ก็เป็นสิ่งที่จักรพรรดิสงครามรุ่นหนึ่งเหลือไว้ เรียกได้ว่าเป็นศุภโชคพลิกฟ้า ขุมสมบัติของการหลอมกาย น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
แต่ที่สำคัญกว่าคือชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดในร่างหลินสวิน ระหว่างที่เขาเลื่อนขั้นบรรลุราชันได้สร้างประโยชน์ที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้!
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ยามฝึกในแดนลับที่สร้างจากศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดแทบจะแผ่คลื่นประหลาดออกมาตลอดเวลา ราวกับตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
นี่ทำให้ปัญหาทุกอย่างที่หลินสวินเจอยามหลอมกายคลี่คลายอย่างง่ายดาย ไม่ถูกขวางและหยุดชะงักแม้แต่น้อย การเลื่อนขั้นก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะตอนนี้ ปราณหลอมกายของเขาเพิ่งเลื่อนระดับกลายเป็นราชัน พลังกายทั้งมวลเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ความรู้สึกนั้นเหมือนคืนชีพเกิดใหม่ ราวกับหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อ!
แต่สิ่งที่ตามมาคือขณะที่พลังกายแปรสภาพ ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึง
แสงเจิดจ้าหาใดเปรียบมากมายเริ่มแผ่ออกมาจากชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ท่ามกลางความเลือนรางพร่ามัวยังมีเสียงธรรมเร้นลับยากหยั่งถึงสั่นสะเทือนและดังขึ้น
เมื่อดูอย่างละเอียด ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่ขาวกระจ่างราวกับหยกเส้นนั้นเหมือนดวงตะวันโชติช่วงดวงหนึ่ง เปล่งแสงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายถึงที่สุด
ภายใต้แรงกระตุ้นที่น่าตกตะลึงนี้ หลินสวินรู้สึกแค่ตรงหัวใจราวกับมีเตาหลอมไร้เทียมทานหนึ่งลุกโหมพลุ่งพล่าน พลังประหลาดที่น่ากลัวหาใดเปรียบทำเอาผิวหนัง กล้ามเนื้อกระดูก เยื่อผิว จุดชีพจร อวัยวะตันห้ากลวงหกของเขา…
เหมือนถูกพลังอันน่ากลัวอัดแน่นราวเขาถล่มสมุทรคำรามในชั่วขณะเดียว แทบจะระเบิดออก!
ตามมาด้วยความเจ็บปวดสาหัสยากจะเอ่ย ทำให้ผิวของหลินสวินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใบหน้าที่เดิมหล่อเหลาสุภาพเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมบิดเบี้ยว
เจ็บ!
เจ็บเกินไปแล้ว!
หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่าขณะหลอมกายบรรลุราชัน การเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงที่ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดสร้างขึ้นจะบ้าระห่ำและน่ากลัวเช่นนี้
ถึงขั้นที่ว่าเขาไม่ทันตั้งตัว รับมือไม่ทัน!
“อ๊าก…!”
ในที่สุดหลินสวินก็ทนไม่ไหว แหงนมองฟ้าคำรามออกมา
ตูม!
มองจากไกลๆ ก็เห็นทั้งตัวเขาถูกแสงเจิดจ้าลุกโหมปกคลุม แสงพวกนั้นคืบคลานไม่หยุด แผ่กระจายอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นภาพคล้ายหุบเหวหนึ่ง
ร่างดั่งหุบเหว ลุกโชนไม่สิ้นสุด!
พริบตานั้นแดบลับแห่งนี้สั่นสะเทือนรุนแรง ฟ้าดินยังถูกกลืนเข้าไปในเหวส่องประกายลุกโชนนั่น!
เคราะห์ดีที่สถานที่นี้เป็นแดนลับซึ่งศิลาโบราณหมื่นลักษณ์สร้างขึ้น หากเกิดขึ้นยังโลกภายนอก แค่การเคลื่อนไหวนี้คงพอที่จะดึงดูดความสนใจจากทั่วทิศ
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดจึงหายไปราวกระแสน้ำ
ยามทุกอย่างฟื้นคืนความสงบก็เห็นหลินสวินนอนอยู่กับพื้น หน้าซีดเผือด หว่างคิ้วเผยความอ่อนเพลียที่ยากปกปิด
ทั้งตัวเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ ถูกหยาดเหงื่อไหลซึมจนชุ่ม
ทว่านัยน์ตาดำล้ำลึกดุจหุบเหวนั้นของหลินสวิน เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นวาววาบหาใดเปรียบ เจือความยินดีที่มาจากใจ
ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์!
และหลินสวินก็ได้กุมอภินิหารพรสวรรค์แรกที่เป็นของตัวเองแล้ว!
ฮู่ว…
ครู่ใหญ่หลินสวินสูดหายใจลึก หยัดร่างขึ้น ก้าวออกจากแดนลับฝึกปราณที่ศิลาโบราณหมื่นลักษณ์สร้างขึ้น
เขาปิดด่านมาหลายวัน ยามนี้ได้หลอมกายจนบรรลุถึงขอบเขตมกุฎระดับราชัน ได้กายศึกมายาพิสุทธิ์และครองวิชาต่อสู้หลอมกายที่คู่กันอย่าง ‘ประทับปราบมายาพิสุทธิ์’ แล้ว!
“พี่ใหญ่!”
“ในที่สุดพี่หลินก็ออกด่านแล้ว!”
เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวินก้าวออกมาจากสถานที่ปิดด่าน ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าคางคก หรือเหล่าสหายอย่างจี้ซิงเหยาต่างดวงตาเป็นประกายราวยกภูเขาออกจากอก
ตอนนี้เหลือเวลาแค่สามวันจะถึงวันนัดประลองกับอวิ๋นชิ่งไป๋
…
เวลาสามวันผ่านไปชั่วพริบตา
ไม่ทันไรเวลาของศึกตัดสินก็มาถึง
แดนยอดศูนย์กลาง สังเวียนพิฆาตมาร
นี่คือยอดเขาลูกหนึ่ง ส่วนยอดถูกถางเรียบราวพื้นที่ราบ คราบเลือดเกรอะกรังอาบทั่วผืนดิน ณ ที่นั้น การกัดกร่อนของกาลเวลาไร้สิ้นสุดก็ลบล้างไม่ได้
นี่ก็คือสังเวียนพิฆาตมาร
ลือกันว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมีอริยะแห่งยุคคนหนึ่งถือกระบี่ฆ่าฟันศัตรูที่นี่ เจ็ดวันเจ็ดคืนสังหารศัตรูภายนอกจากแปดดินแดนกว่าพันคน เลือดหลั่งย้อมภูเขา ไม่ดับสลายชั่วนิรันดร์
ก่อนหน้านี้ใกล้ๆ สังเวียนพิฆาตมารทั้งเงียบเหงาและอ้างว้างยิ่งนัก แต่ตอนนี้ในรัศมีพันลี้กลับมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนมารวมกัน!
แบ่งเป็นผู้กล้า ยักษ์ใหญ่ นายเหนือหัว เทพธิดา ธิดาเทพในแดนเก้าบน… ล้วนรีบเร่งมารวมตัวกันที่นี่ล่วงหน้านานแล้ว
“ธิดาเทพลัทธิไร้สวรรค์เยวี่ยไฉ่เวย คิดไม่ถึงว่านางจะมาด้วย”
“เดี๋ยวก่อน นั่นคือผู้ร้ายกาจแห่งยุคที่จัดอยู่ในอันดับห้าของกระดานทองคำผู้กล้าหยวนฝ่าเทียนไม่ใช่รึ”
“เจ้ามันกระต่ายตื่นตูม หลายวันมานี้ระดับนายเหนือหัวมากมายบนกระดานทองคำผู้กล้าล้วนมารวมตัวที่นี่เกือบหมดแล้ว!”
ในที่นั้นเสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบ
ใกล้สังเวียนพิฆาตมารนี้ราวกับแหล่งรวมผู้กล้าและผู้แข็งแกร่งมากมาย ผู้นำแต่ละฝ่ายมาอยู่รวมกันคล้ายหมู่ดาวส่องประกาย ต่างมีคมปลายที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมาย ณ ที่นั้นตื่นเต้นหาใดเปรียบ
เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์!
อย่างน้อยที่สุดในอดีตที่ผ่านมา แดนเก้าบนก็ยังไม่เคยมีการต่อสู้ที่ดึงดูดความสนใจทั่วทิศ ชักนำมาซึ่งอานุภาพยิ่งใหญ่เช่นนี้สักครั้ง
และนี่ก็คืออิทธิพลของอวิ๋นชิ่งไป๋และหลินสวินในแดนเก้าบนปัจจุบัน!
ฝ่ายแรกเคยผงาดในใต้หล้า มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเดียวกัน พลังต่อสู้เป็นเลิศ โดดเด่นเป็นสง่า
ฝ่ายหลังตั้งแต่เข้าสู่มรรคาถึงปัจจุบันราวกับเทพมารไร้พ่าย เด่นผงาดด้วยการย่ำซากศพกองพะเนิน มีมาดประหนึ่งว่าไร้คู่ต่อกร ชื่อเสียงสะเทือนทั่วทิศ
และในวันนี้การต่อสู้แห่งยุคก็จะเปิดฉากขึ้นระหว่างทั้งคู่ ใครเล่าจะไม่สนใจ
สามารถพูดอย่างไม่เกินจริงได้ว่า การต่อสู้นี้ไม่ว่าใครแพ้ชนะก็ต้องปั่นป่วนใต้หล้า สั่นสะเทือนดินแดนรกร้างโบราณ ได้จารึกเป็นประวัติศาสตร์ไปชั่วกาล!
“เทพมารหลินล่ะ ยังไม่มารึ”
คนมากมายต่างจับตามองอย่างตื่นเต้น
“รออีกหน่อย เขาต้องปรากฏตัวแน่ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋คงไม่ยอมออมมือให้เหล่าสหายของหลินสวินเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เกี้ยวสมบัติหนึ่งกดอัดผืนฟ้า ส่องประกายดั่งรุ้งเทพมาเยือน
จากนั้นเซ่าเฮ่าในชุดคลุมหยก ร่างผึ่งผายราวเทพไท้เหนือพิภพก็มาถึงหน้าสังเวียนพิฆาตมาร ภายใต้การรายล้อมของผู้แข็งแกร่งมากมาย
“องค์ชายเซ่าเฮ่า!”
บรรยากาศในที่นั้นพลันเงียบสงัด ทุกสายตาล้วนถูกดึงดูดไป
หากกล่าวว่ากระดานทองคำผู้กล้าเมื่อหลายปีก่อน ตำแหน่งอันดับหนึ่งถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ยึดครองอย่างสมเกียรติ ไม่มีใครสามารถสั่นคลอน!
แต่หลายปีมานี้ ตำแหน่งอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้ากลับถูกองค์ชายเซ่าเฮ่ายึดครองมาตลอด!
ผู้คนต่างพูดว่าองค์ชายเซ่าเฮ่าน่าจะเป็นนายเหนือหัวที่อยู่ในระดับเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ หากทั้งสองปะทะกัน ผลกระทบจะต้องไม่น้อยกว่าการต่อสู้ของหลินสวินและอวิ๋นชิ่งไป๋แน่
“คารวะพี่อวิ๋น”
ทันทีที่มาถึงเซ่าเฮ่าก็เหลือบสายตาไปยังร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสังเวียนพิฆาตมารนั่น นัยน์ตาฉายแววอัศจรรย์
คนผู้นี้ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋
เขามาถึงที่นี่เมื่อสิบวันก่อน นั่งขัดสมาธิกับพื้นกอดกระบี่ หลุบตาลงราวภิกษุชราเข้าฌาน
สิบวันที่ผ่านมา ไม่ว่าบริเวณใกล้เคียงจะสถานการณ์ปรวนแปร ผู้แข็งแกร่งแต่ละฝ่ายทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย ก็ไม่เคยทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋มีการตอบสนองเพียงเสี้ยว
แต่ตอนนี้อวิ๋นชิ่งไป๋กลับเชยตาขึ้นเล็กน้อย มองเซ่าเฮ่าวูบหนึ่งพลางกล่าว “องค์ชายเซ่าเฮ่า ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
เซ่าเฮ่ายิ้มน้อยๆ กล่าว “ความอาฆาตพึงละไม่พึงผูก เรียนถามพี่อวิ๋น หากข้าร้องขอจะสลายศึกนี้ได้หรือไม่”
อวิ๋นชิ่งไป๋ถอนสายตากลับไม่มองเซ่าเฮ่าอีก กล่าวเฉยชา “เช่นนั้นก็ต้องถามกระบี่ของข้าแล้ว”
เซ่าเฮ่าพยักหน้าน้อยๆ แล้วถอยไป
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นบนเวิ้งฟ้ามีแสงประกายสีแดงเพลิงสายหนึ่งโน้มลงมา จากนั้นก็กลายเป็นร่างสูงโปร่งหนึ่ง ทั้งตัวถูกวงแหวนเทพอัคคีห้อมล้อม
นางก้าวมาถึงหน้าสังเวียนพิฆาตมาร มองเซ่าเฮ่าที่อยู่ไม่ไกลเล็กน้อยแล้วหันมองอวิ๋นชิ่งไป๋วูบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไร ลอยล่องไปยืนอยู่อีกฝั่ง
แต่ตอนนี้ ณ ที่นั้นกลับลุกฮือไปทั้งแถบ ทุกสายตาที่มองไปยังเงาร่างนี้ล้วนเจือความตกตะลึง เลื่อมใส ให้เกียรติและเร่าร้อน
เทพธิดารั่วอู่!
ทายาทเลือดบริสุทธิ์เผ่าวิหคชาด ตั้งแต่ปรากฏตัวบนโลกเมื่อหลายปีก่อนก็ครองตำแหน่งสามอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้ามาตลอด ถูกมองเป็นผู้กล้าหญิงแห่งยุคคนหนึ่งที่มีโอกาสสั่นคลอนอันดับหนึ่งของเซ่าเฮ่ามากที่สุด!
ในเวลาต่อมาหวังเสวียนอวี๋แห่งสำนักเอกอุ หมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เย่หมัวเฮอผู้สืบทอดลัทธิเทพต้นกำเนิด… รวมถึงบุคคลระดับนายเหนือหัวแห่งยุคที่ชื่อเสียงสั่นสะเทือนแดนเก้าบนนานแล้วบางส่วนก็ทยอยมาถึง
บรรยากาศในที่นั้นพลันไม่สงบและสั่นสะเทือนยิ่งกว่าเดิม
“เทพมารหลินล่ะ จะมาหรือไม่มากันแน่”
จนกระทั่งพลบค่ำ คนมากมายต่างรอจนหมดความอดทน
แต่บุคคลแห่งยุคอย่างเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่กลับยืนอยู่เงียบๆ ไม่เห็นถึงความร้อนรนและหงุดหงิดแม้เพียงนิด
แสงยามเย็นดุจเพลิงผลาญ แดงสดดั่งโลหิต อาบทั่วผืนฟ้ากว้าง
ไอสังหารเย็นเยียบเต็มแน่นกลางฟ้าดิน
ทันใดนั้นบนเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไป เงาร่างหนึ่งก้าวมาเยือน แขนเสื้อพลิ้วไหว ร่างสูงโปร่ง ยามก้าวเดินดูลอยชายเหมือนเดินเล่นในสวนบ้าน
เขาสองมือไพล่หลัง นัยน์ตาดำราบเรียบ กลิ่นอายยากหยั่งถึงเหมือนเหวลึกไร้สิ้นสุด แสงยามเย็นดุจอัคคีส่องสะท้อนจนเงาร่างเขาราวก้าวออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ สาดส่องผืนฟ้ากว้าง
………………