Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1366 การประชันอันไร้รูป
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1366 การประชันอันไร้รูป
หลังออกจากเผ่าทอเมฆา เยี่ยเฟยเหิงยิ่งคิดก็ยิ่งยินดีปรีดา คนผู้นั้นเป็นถึงเทพมารหลินที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบเชียวนะ ถึงกับให้อภัยตนได้!
นี่ทำให้เยี่ยเฟยเหิงรู้สึกเหมือนเก็บเอาชีวิตกลับมาได้ครั้งหนึ่ง
ส่วนเรื่องแค้น เขาแค้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้แค้นหลินสวิน
“เซี่ยงเซ่าถิง ข้าไม่สนว่าเป้าหมายที่พวกเจ้าบังคับแต่งงานคือเหตุผลกลใด แต่คราวนี้เพราะพวกเจ้า กลับทำให้ข้าเกือบหมักบ่มความแค้นชั่วนิรันดร์ เรื่องนี้จะไม่จบลงเท่านี้แน่!”
เยี่ยเฟยเหิงเสียงเหี้ยมเกรียม พอพูดจบก็จากไปอย่างรวดเร็ว คร้านจะมองเซี่ยงเซ่าถิงอีก
ในใจเขาถึงกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะหาโอกาสจัดการเผ่ากระจิบลำนำทองนี้เสียหน่อย อาศัยสิ่งนี้ก็ถือว่ารักษาหน้าเผ่าทอเมฆาไว้ได้ หากเทพมารหลินรู้เรื่องนี้เข้า คิดว่าต้องรับน้ำใจไว้แน่
เซี่ยงเซ่าถิงงุนงง ขวัญหนีดีฝ่อ
ที่จริงวันนี้เขามาเผ่าทอเมฆาเพื่อบังคับแต่งงาน เดิมทีคิดว่ามีเยี่ยเฟยเหิงเป็นที่พึ่งก็จะบรรลุเป้าหมายทุกอย่างโดยง่ายดาย
จะคิดได้อย่างไรว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพนี้!
วันนั้นหลังจากเซี่ยงเซ่าถิงกลับเผ่าแล้วก็ไม่กล้าปิดบัง พูดเรื่องนี้ออกมา พลันก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งเผ่ากระจิบลำนำทอง
“อะไรนะ เทพมารหลินหรือ!”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เผ่าทอเมฆาของพวกเขาตกต่ำลงไปกี่ปีแล้ว จะมีความสัมพันธ์กับคนร้ายกาจแห่งยุคอย่างเทพมารหลินได้อย่างไร”
“จบแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องล่วงเกินเทพมารหลิน ยังล่วงเกินตระกูลเยี่ยโดยสมบูรณ์…”
เสียงร้องตกตะลึงต่างๆ ดังขึ้น เศร้าหมองอึมครึมไปทั่วทั้งเผ่ากระจิบลำนำทอง
มีเพียงหัวหน้าเผ่าเซี่ยงหวาเจิ้นที่ไม่พูดสักคำ
เขารีบร้อนออกไป พอมาถึงในเขตหวงห้ามของเผ่าที่นั่นก็มีแขกคนหนึ่งกำลังรออยู่
“ผู้อาวุโส การใหญ่ไม่สู้ดีเสียแล้ว การเคลื่อนไหว… ล้มเหลวแล้ว”
เซี่ยงหวาเจิ้นทรมานและห่อเหี่ยวใจ
ชายชราผมเผ้าเป็นระเบียบ ดวงตาดุจดวงอาทิตย์โชติช่วงผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เมื่อได้ยินดังนี้ก็นิ่วหน้าพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “ตามแผนของข้า การไปเอาอาภรณ์สวรรค์ปีกดาราจากเผ่าทอเมฆา ย่อมไม่เปลืองแรงมากมาย จะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้อย่างไร”
แม้เสียงสงบนิ่ง แต่กลับมีความโกรธเคืองที่กดข่มไว้ไม่อยู่
เซี่ยงหวาเจิ้นจิตใจสั่นระรัว รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด
“หลินสวิน… เจ้าเด็กนี่อีกแล้ว… ฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋ไป ทำลายแผนใหญ่ของข้า ตอนนี้ยังกล้ามาทำลายการเคลื่อนไหวที่ข้าจะกลับคืนบ้านเกิดเสียได้!”
ดวงตาของชายชราฉายวาวโรจน์น่าหวาดหวั่น ทั้งจิตสังหารในส่วนลึกของจิตใจก็กำลังจะคุมไม่อยู่
หากเหมิงชิวจิ้งยังอยู่ จะต้องจำได้ว่าชายชราผู้นี้ก็คือกึ่งจักรพรรดิปาฉี บุคคลน่ากลัวผู้มาจาก ‘ทะเลดารามืด’ ในดินแดนโบราณยอดหยิน
‘น่าชังนัก ข้าไม่สามารถลงมือภายใต้พลังกฎระเบียบของดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ หาไม่แล้วหากเผยพลังทั้งหมด จะต้องดึงดูดความสนใจของคนร้ายกาจแห่งยุคนี้พวกนั้นแน่’
ปาฉีรำพึงในใจ ความไม่ยินยอมและเคียดแค้นเต็มอก
คราวก่อนแผนใหญ่ที่เขาทุ่มเทจิตใจมานานปีถูกทำลายลงเพราะความตายของอวิ๋นชิ่งไป๋ ทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่ง
ภายในใจเขายิ่งแค้นหลินสวินที่เป็นตัวการก่อเรื่องเข้ากระดูกดำแล้ว
ตอนนี้เขาจำศีลอยู่ที่เผ่ากระจิบลำนำทอง เดิมทีคิดจะใช้แผนช่วงชิงอาภรณ์สวรรค์ปีกดาราไป แล้วอาศัยสิ่งนี้ออกจากดินแดนรกร้างโบราณ
จะคิดได้อย่างไรว่าจะถูกหลินสวินทำลายลงอีกแล้ว!
ในชั่วขณะเดียว ด้วยจิตใจอันลุ่มลึกของปาฉียังไม่อาจควบคุมความรู้สึกไว้ได้อยู่บ้าง ถูกเจ้าคนรุ่นเยาว์ที่เหมือนมดคนหนึ่งทำลายแผนการสองครั้งติดต่อกัน เรื่องนี้ทนไม่ได้จริงๆ
“ผู้อาวุโส ตอนนี้เพราะเผ่าข้าช่วยท่านกระทำการ จึงล่วงเกินเทพมารหลินและตระกูลเยี่ยโดยสมบูรณ์ ท่าน… ออกหน้าช่วยพวกเราคลี่คลายสักหน่อยได้หรือไม่”
เซี่ยงหวาเจิ้นเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
ชายชราเบื้องหน้าคนนี้ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน บอกว่าขอเพียงช่วยเขาจัดการเรื่องหนึ่ง ก็จะมอบโอกาสเปลี่ยนแปลงโชคชะตาให้แก่พวกเขาเผ่ากระจิบลำนำทอง
แต่จะคิดได้อย่างไรว่าไม่เพียงแผนการล้มเหลว ขนาดสถานการณ์ของเผ่าพวกเขายังวิกฤต
“ไอ้โง่ ทำเสียการหมดแล้วยังคิดจะขอให้ข้าลงมืออีกหรือ ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้ามันนับเป็นตัวอะไร!”
ขณะนี้ปาฉีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาหาใดเทียบ เผยให้เห็นความดูถูกวางตัวเหนือผู้อื่นอย่างที่สุด
เซี่ยงหวาเจิ้นหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ทั้งโกรธทั้งอายยากทานทน
“เรื่องนี้เป็นเจ้าทำเอง ไม่เกี่ยวกับข้า เผ่าของพวกเจ้าตกต่ำลงมาถึงขั้นนี้ เป็นการทำตัวเองทั้งนั้น”
ปาฉีพูดจบก็ทะยานลอยจากไป
“ผู้อาวุโส ท่านจะจากไปเช่นนี้ไม่ได้นะ”
เซี่ยงหวาเจิ้นลุกลี้ลุกลนนัก แต่พอจะรีบตามไป จะยังมีเงาของปาฉีได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้นเซี่ยงหวาเจิ้นหมดอาลัยตายอยากโดยสมบูรณ์ ในใจก็มีสองคำปรากฏขึ้นเช่นเดียวกับเซี่ยงเซ่าถิง…
จบแล้ว
……
‘หลินสวิน… หลินสวิน…’
เงาร่างของปาฉีเคลื่อนที่เดินทางไปกลางฟ้าดินอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็เห็นอาณาเขตที่เผ่าทอเมฆาพำนักอยู่ลิบๆ
‘ทำลายการใหญ่ของข้าสองครั้ง ถ้ามดอย่างเจ้าไม่ตาย ข้าจะยินยอมจากไปได้อย่างไร และมีแต่ฆ่าเจ้า ล้างบางเผ่าทอเมฆา ถึงอาจจะเอาอาภรณ์สวรรค์ปีกดารากลับมาได้กระมัง’
ในใจปาฉีมีไฟโทสะแผดเผาถาโถม
เขาเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง แม้แต่ระดับอริยะยังไม่อยู่ในสายตา แต่กลับแพ้พ่ายให้คนรุ่นเยาว์ระดับอมตะเคราะห์คนหนึ่งอย่างหลินสวินสองครั้งติด นี่ทำให้เขาไม่อาจทนได้
‘ขอเพียงชิงทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนถูกพวกร้ายกาจในยุคปัจจุบันพวกนั้นสังเกตเห็น คงพอให้ข้าอาศัยอาภรณ์สวรรค์ปีกดาราจากไปได้แล้ว…’
ปาฉีประมาณการเงียบๆ ในใจมาครู่ใหญ่แล้ว ในที่สุดแววเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตา ทำตัดสินใจ
ตูม!
พลังจิตรับรู้น่าหวาดหวั่นเคลื่อนออกมาจากร่างของปาฉี พุ่งเข้าไปในอาณาเขตที่เผ่าทอเมฆาพำนักอยู่ผ่านอากาศ
ชั่วพริบตาเขาก็จับเป้าที่เงาร่างของหลินสวินได้!
หลินสวินกำลังได้รับการปรนนิบัติอย่างใหญ่โตจากเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าทอเมฆาในห้องโถงหนึ่ง บรรยากาศครึกครื้นนัก สีหน้าของแต่ละคนต่างเจือไปด้วยความเคารพ
ยามปาฉีเห็นภาพนี้เข้า ก็จุดฉนวนให้ไฟโทสะและความแค้นในใจเขาโดยสมบูรณ์
“ตาย!”
แม้ตัวปาฉียังยืนอยู่ที่เดิมห่างไปไกลลิบ แต่จิตรับรู้ของเขากลับแฝงอานุภาพสูงสุดของกึ่งจักรพรรดิ แปรสภาพเป็นคมดาบฟันเข้าไปในห้วงนิมิตของหลินสวินอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
เขาถึงกับมั่นใจว่าหลินสวินจะไม่ทันได้ตอบสนองแต่อย่างใด
ระยะห่างระหว่างระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดกับกึ่งจักรพรรดิไม่ได้ห่างกันเพียงหนึ่งแสนแปดพันลี้!
ทว่าพอจิตรับรู้ของปาฉีเพิ่งสัมผัสห้วงนิมิตของหลินสวิน กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบก็โฉบออกมาและเคลื่อนกวาดเบาๆ
ปึง!
จิตรับรู้ของปาฉีระเบิดออกทุกกระเบียดเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
โครม!
แทบจะในขณะเดียวกัน กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นหาใดเทียมนั้นก็พุ่งมาตามทางจิตรับรู้ของปาฉีโดยพลัน
“ระยำเอ๊ย เกิดอะไรขึ้น”
ปาฉีหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ดึงเอาจิตรับรู้กลับไปอย่างฉับไว ต้านทานเต็มกำลัง
ปึง!
แม้กลิ่นอายหาใดเทียมนั้นจะถูกต้านไว้ได้ แต่กลับทำให้ร่างกายของปาฉีไหววูบทันที จิตวิญญาณเจ็บแปลบไปครู่หนึ่ง ส่งผลให้เขาส่งเสียงอู้อี้อย่างอดไม่ได้
“กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งกลับลอบจู่โจมคนรุ่นเยาว์อย่างต่ำช้าเช่นนี้ ไม่กลัวขายหน้าหรือ”
เสียงเย็นยะเยือกแว่วไกลเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตูม!
ไล่หลังกับเสียงนี้ กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเคลื่อนมาอีกครั้ง
“หึ!”
ปาฉีรับรู้ได้ว่าไม่สู้ดี พลันปลีกตัวเคลื่อนกายสูงขึ้นไปในอากาศ
ชั่วพริบตาตัวเขาก็อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ หลังสังเกตได้ว่ากลิ่นอายน่าครั่นคร้ามนั้นไม่ได้ตามมา ในใจเขาก็ลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เกิดอะไรขึ้น บนร่างเจ้ามดปลวกนั่นมีคนร้ายกาจเช่นนี้ได้อย่างไร
“น่าแค้นนัก!”
ในที่สุดไฟโทสะทั้งใจปาฉีก็ไม่มีที่ปลดปล่อย ทำได้เพียงก่นด่าออกมาแรงๆ ฉาดหนึ่ง
เขาพลันพบว่าขอเพียงตนได้พบกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน ก็จะเปลี่ยนเป็นโชคร้ายถึงที่สุด เหมือนกับเด็กนี่เกิดมาเพื่อยับยั้งตนอยู่รางๆ
ความรู้สึกเช่นนี้น่าอัดอั้นเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้นเหนือเวิ้งฟ้ามีพลังกฎระเบียบระลอกแล้วระลอกเล่าสั่นสะเทือนประหนึ่งอสนีบาต ราวกับระเบียบมหามรรคกำลังถูกปั่นป่วนในขณะนี้
ปาฉีเย็นเยียบไปทั้งตัวทันที ด้วยรู้ว่ากลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวในการลงมือเมื่อกี้ได้รบกวนพลังกฎระเบียบของดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้แล้ว
“ไป!”
เขาไม่สนใจสิ่งอื่นอีก ถลาออกไปไกลลิบโดยไม่ลังเลสักนิด
“สหายยุทธ์ท่านนี้ เหตุใดถึงรีบร้อนจากไป”
“สหายยุทธ์อะไร เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนของดินแดนรกร้างโบราณของข้าเห็นๆ รีบตามไป!”
“ให้ตายสิ เมื่อไรกันที่ดินแดนรกร้างโบราณมีปลาตัวโตเช่นนี้แทรกซึมเข้ามาได้ หรือสนามรบแนวหน้าจะมีคนทรยศ”
“เลิกพูดไร้สาระ ตามไป!”
ในขณะเดียวกัน เหนือเวิ้งฟ้าก็มีเสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้น ทุกเสียงยิ่งใหญ่ น่าเกรงขามและเกรียงไกรถึงที่สุด ประหนึ่งเทพเทวาบนสวรรค์เจรจาพาที
ฉับพลันทันใด ทั้งหมดนี้ก็มลายหายไป
ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในตำหนักสีม่วงของเผ่าทอเมฆา หลินสวินยังดื่มกินอย่างแช่มชื่น สนทนากับผู้แข็งแกร่งเผ่าทอเมฆาที่เข้ามาดื่มเหล้าคารวะทีละคนอยู่
ก่อนหน้านี้มีชั่ววูบหนึ่งที่หลินสวินก็รู้สึกได้ถึงความหวาดผวา แต่ยามสัมผัสโดยละเอียดกลับไร้ร่องรอย
กระทั่งหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น เขาถึงได้วางใจ
มีเพียงหญิงลึกลับผู้อยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ในห้วงนิมิตผู้นั้นที่รู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะนางลงมือทันท่วงที เกรงว่าหลินสวินคงประสบเคราะห์ไปแล้ว
‘กึ่งจักรพรรดิที่มาจากดินแดนภายนอกคนหนึ่ง… น่าสนใจ… ก็ต้องดูว่าเขาจะหนีการไล่ฆ่าของพวกร้ายกาจในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้นพ้นหรือไม่แล้ว…’
หญิงลึกลับครุ่นคิดเล็กน้อยก็หลับตาลงอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส นี่เป็นสิ่งที่ท่านเมี่ยวเสวียนแห่งหอฤทธิ์เทพมอบให้ บอกว่าหากต้องการให้ท่านช่วยเหลือ ขอเพียงนำสิ่งนี้ออกมาก็พอ”
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลินสวินก็นำกล่องสำริดที่ถูกผนึกด้วยลายมรรคแน่นขนัดกล่องหนึ่งออกมา แล้วส่งให้หลันชิงเหินที่อยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นทุกสายตาในห้องโถงต่างถูกดึงดูด
“หรือว่าจะเป็น…”
คนใหญ่คนโตบางส่วนตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว คล้ายคาดเดาอะไรได้
แม้แต่หลันชิงเหินยังเหม่อไปครู่หนึ่ง คล้ายคิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้จะยังมีช่วงเวลากลับสู่เผ่าอีกครั้ง
“ขอบคุณมาก”
ครู่หนึ่งหลันชิงเหินถึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง รับสิ่งนี้มาด้วยสองมือ นางไม่ได้เปิดออก แต่เก็บสิ่งนี้ไว้อย่างระวัง
“หัวหน้าเผ่า ใช่จริงๆ หรือ…”
มีคนเอ่ยถาม
หลันชิงเหินพยักหน้า ชั่วขณะเดียวคนใหญ่คนโตของเผ่าทอเมฆาที่อยู่ในโถงต่างตื่นเต้นขึ้นโดยสมบูรณ์ ลมหายใจกระชั้นถี่
ประหนึ่งสิ่งที่อยู่ในกล่องสำริดนั้นมีความหมายไม่ธรรมดากับพวกเขา
“ถ้าเจ้านำสิ่งนี้ออกมาแต่แรก ต่อให้พบกับอุปสรรคที่รับมือได้ยาก เผ่าข้าก็จะเข้าช่วยเหลือโดยมิอาจปฏิเสธ”
นางคิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้จะถูกหลินสวินนำกลับมา พอนึกถึงท่าทีที่ตนปฏิบัติต่อหลินสวินตอนแรก ในใจนางก็ละอายขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
“ข้าเป็นสหายกับไฉไฉ่ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คิดจะเอาของนอกกายเหล่านี้มาแลกเปลี่ยน”
หลินสวินยิ้มพลางพูด
ประโยคเดียวทำให้ทุกคนในงานต่างหน้าเปลี่ยนสี ในใจทอดถอนใจไม่ว่างเว้น แววตาที่มองไปยังหลินสวินก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีความปรารถนาดีเจือไปกับความเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูก
——