Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1388 พลังพลิกฟ้าดิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1388 พลังพลิกฟ้าดิน
เงาเลือดพันจั้งถูกเพลิงปทุมเผาจนสลายไปสิ้น!
และไกลออกไป ธงเล็กสีเลือดสิบแปดธงที่อยู่ในการควบคุมของราชันอสูรมารสิบแปดตนก็แหลกละเอียดไปพร้อมกัน!
ตูม!
กลางฟ้าดินแสงพุทธไพศาล ไอกระหายเลือดชั่วร้ายถูกชะล้างออกไปจนหมด
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ราชันอินทรีอสนีเขียวก็ตื่นตระหนกจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้า ร้องเสียงหลงดังลั่น
ค่ายกลเงาโลหิตนรกเทพเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่น่ากลัวที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดได้ มีที่มาที่ไปน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด
แต่ตอนนี้การโจมตีเดียวก็ตีพ่ายไป!
“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร”
ไม่เพียงแค่ราชันอินทรีอสนีเขียว ตอนนี้ราชันอสูรมารสิบแปดตนนั้นกับเหล่ากองทัพสัตว์อสูรมารที่อยู่ไกลออกไปต่างหวาดผวา จิตใจสั่นระรัว
เดิมทีด้วยการตีเมืองหมอกอำพรางแตก ทั้งมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิก็จะถูกยึดครองโดยสมบูรณ์ ถูกพวกเขากองทัพสัตว์อสูรมารยึดครองอาณาเขต
หนำซ้ำก่อนหน้านี้พวกเขาใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!
แต่ตอนนี้ เพียงเพราะการปรากฏตัวขึ้นของชายหนุ่มคนหนึ่งกลับทำให้สถานการณ์พลิกผันทันที
การโจมตีแรก ฟ้าดินรัศมีสามพันจั้งนองเลือดดั่งภาพวาด หมื่นอสูรวอดวาย
การโจมตีที่สอง เพลิงโทสะพุทธปทุมมาเยือนโลกา ส่องแสงยิ่งใหญ่ ทำลายกระบวนค่ายกลลงในคราวเดียว!
สถานการณ์พลิกผันจากจุดนี้!
ตอนนี้เหนือสนามรบกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมีเพียงแสงพุทธสว่างไสว กลิ่นอายไพศาลธำรงชั่วนิรันดร์!
เหนือหอประตูเมือง พวกซ่งจวินกุยต่างอึ้งงันอยู่เช่นนั้น ในใจตื่นเต้นยิ่งนัก
อะไรคือทวยเทพ
พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ในสายตาของพวกเขา ชายหนุ่มที่ยืนลำพังเบื้องหน้าหอประตูเมืองคนนั้นก็เป็นดั่งทวยเทพ!
ใกล้กับกำแพงเมือง พลทหารจักรวรรดิต่างสั่นสะท้าน
“ภัยพิบัติอสูรมารครั้งนี้… ควรสิ้นสุดลงแล้ว”
ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ภาพที่เห็นระหว่างทางก่อนหน้านี้ภาพแล้วภาพเล่าอุบัติขึ้นในสมอง
ราษฎรในจักรวรรดิที่หลบหนีอย่างลนลานเหล่านั้น พลทหารจักรวรรดิที่เสียสละยอมตายเหล่านั้น เมืองใหญ่โตที่เหมือนถูกทิ้งร้างนั้น…
หลินสวินโกรธเข้าจริงๆ แล้ว
พอเสียงพูดเงียบลง เงาร่างของเขาก็ทะลวงอากาศขึ้นไป เบื้องหลังมีเจินหลงท่องไปเหนือฟ้าดารา ชูคอส่งเสียงคำราม แผ่พลานุภาพน่าหวาดหวั่นข่มสรรพชีวิต
สำหรับสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์อสูรมารแล้ว มังกรเจินหลงก็เป็นดั่งนักล่าที่อยู่ปลายยอด เจือกลิ่นอายควบคุมสรรพสัตว์ ผงาดผยองเหนือเหล่าอสูรมารแต่กำเนิด
และตอนนี้เมื่อออกเคลื่อนไหวไปกับหลินสวิน เหนือสนามรบอันใหญ่โต กองทัพอสูรมารจำนวนมหาศาลต่างรู้สึกถึงแรงกดดันจนหายใจไม่ออก
ในสายตาของพวกเขา หลินสวินที่โผล่มากลางอากาศไม่ใช่คนสักนิด แต่เป็นมังกรเจินหลงที่ทำได้ทุกอย่างตัวหนึ่ง เคลื่อนออกมาจากฟ้าดาราในวัฏจักรแล้วลงมาเยือนโลก!
ตูม!
ฟ้าดินถูกกลิ่นอายเจินหลงอันน่าหวาดหวั่นปกคลุม สุริยันจันทราอับแสง ดินทรายปลิวว่อน
สัตว์อสูรมารมากมายเพียงรู้สึกว่าสติแตกกระเจิง ส่งเสียงร้องโหยหวน กายอ่อนยวบลงไปตัวสั่นงันงกกับพื้น ปลุกความคิดจะต้านทานขึ้นมาไม่ได้สักนิด
ต่อให้มีพลังปราณแกร่งกล้าเหมือนราชันอินทรีอสนีเขียว ขณะนี้ยังสูดหายใจเย็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตามข่าวที่เขารู้มา ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจักรวรรดิตอนนี้ถึงกับยังมีพวกร้ายกาจไร้เทียมทานเช่นนี้คนหนึ่ง
“เร็ว! ขวางเขาไว้!”
ราชันอินทรีอสนีเขียวคำรามคลั่ง
ไกลออกไปราชันอสูรมารสิบแปดตนก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงสำแดงการโจมตีโดยไม่ลังเล แต่ละตนต่างพลังปราณน่ากลัวคับฟ้า
ใครก็รู้ดีว่าหากหลินสวินโจมตีเช่นนี้ต่อไป กองทัพสัตว์อสูรมารต้องแพ้แน่!
ตอนนี้แม้แต่ราชันอินทรีอสนีเขียวยังเริ่มสู้สุดชีวิต มันแปลงกายเป็นสายฟ้าไหววูบสีเขียวเจิดจ้าสายหนึ่งฉีกทึ้งห้วงอากาศ ยื่นกรงเล็บยักษ์ออกไปลอบโจมตีหลินสวินจากระยะไกล
ฉึบ!
ก็เห็นว่าหลินสวินไม่หลบไม่หนี ยื่นแขนออกมาข้างหนึ่ง ฝ่ามือมหึมามือหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ บังฟ้าเร้นตะวัน
ไม่ทันไรร่างใหญ่ยักษ์ของราชันอินทรีอสนีเขียวก็ถูกมือใหญ่จับไว้อย่างง่ายดายเหมือนคว้าใบไม้ร่วงสักใบ
“แย่แล้ว!”
ราชันอินทรีอสนีเขียววิญญาณแทบหลุดจากร่าง ตอนนี้มันถึงรู้ได้ทันทีว่าตนผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว ความน่ากลัวในศักยภาพของชายหนุ่มผู้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเทียบได้เลย!
“โง่เง่า”
หลินสวินสีหน้าเย็นชา
เขาออกแรงที่นิ้วมือ
ปึง!
ตอนนี้ผู้ทรงพลังระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่อย่างราชันอินทรีเขียวผู้นี้กลับเหมือนมดตัวหนึ่ง ถูกมือใหญ่บี้ตาย ฝนเลือดเทลงมาเหมือนน้ำตก
ก่อนตายมันยังไม่อาจเชื่อได้ ว่าแม้แต่ดิ้นรนต้านทานตนยังทำไม่ได้ได้อย่างไร!
“อะไรน่ะ”
เหนือหอประตูเมือง ผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง
สำหรับพวกเขาแล้ว ราชันอินทรีอสนีเขียวเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่น่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุดไปแล้ว พลังแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้
ทว่าตอนนี้ด้วยมือหลินสวิน เพียงชั่วพลิกฝ่ามือก็ถูกสังหาร!
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ถ้าไม่ห่วงว่าจะทำลายเมืองและภูผาธาราที่อยู่ใกล้เคียงไป หากลงมือเต็มกำลังด้วยพลังต่อสู้ของหลินสวิน ก็ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้สักนิด
“ถอยเร็ว!”
ไกลออกไปพอได้เห็นสภาพน่าอนาถของราชันอินทรีอสนีเขียว ราชันอสูรมารสิบแปดตนต่างมือเท้าเย็นเฉียบ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหากการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไปอีกก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว
“หนี!”
“หนีสิ!”
กองทัพสัตว์อสูรมารพังทลายโดยสมบูรณ์แล้ว
คนผู้เดียวราวกับมังกรเจินหลงมาเยือนโลก กำราบสนามรบทั้งแถบ ท่วงท่าไร้ศัตรูใดต้านทานได้เช่นนั้น สามารถทำให้ไม่ว่าอสูรมารตนใดก็สติกระเจิงได้
เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่าราชันอินทรีอสนีเขียวถูกสังหารในชั่วพลิกฝ่ามือ
“กำราบ!”
ทันใดนั้นหลินสวินเปล่งเสียงธรรม ยื่นมือกดลงไป ประทับปี้อั้นสิบแปดอันก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ละอันราวกับภูเขาเทพร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์
ปึง!
ราชันอสูรมารตนหนึ่งยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกประทับปี้อั้นกระแทกร่างแหลก ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าหดหู่หาใดเทียบ
ประทับปี้อั้นตกลงมาปกคลุมทั่วแปดทิศ ผนึกมั่นทุกหัวระแหง เต็มไปด้วยพลังกฎระเบียบของเจินหลง ราชันอสูรมารธรรมดาพวกนั้นจะต้านทานได้หรือ
ปึงๆๆ!
ต่อมาเสียงระเบิดแน่นขนัดก็ดังขึ้นกลางฟ้าดิน ระหว่างที่ดีดนิ้วสามครั้ง ราชันอสูรมารสิบแปดตนต่างถูกสังหารสิ้น
ระดับราชัน เป็นบุคคลผู้เป็นที่เคารพในสายตาของทุกคนในจักรวรรดิแล้ว
ขณะนี้พอราชันอสูรมารสิบแปดตนสิ้นชีพไป ฝั่งผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิต่างก็นิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์อยู่เช่นนั้น
ฆ่าราชันเหมือนเชือดไก่!
ฝีมือสังหารสูงส่งปานนี้ก็เหมือนรอยประทับที่ไม่อาจลบเลือนได้รอยหนึ่ง กลายเป็นความความทรงจำอันยากลืมเลือนชั่วนิรันดร์ของผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิเหล่านี้ไปแล้ว
ในสนามรบไกลออกไป หลินสวินเหมือนเสือในฝูงหมาป่า แข็งแกร่งจนหมื่นศัตรูต้านทานไม่อยู่
“หึ!”
เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรมารราวมดปลวกเหล่านั้น หลินสวินคร้านจะไปโจมตี ทำเพียงร้องหึเบาๆ ครั้งหนึ่ง
พลังคลื่นเสียงไพศาลนั้นในชั่วพริบตาเดียวก็ม้วนตลบออกมา ซัดสาดไปทั่วสารทิศ ทำให้สัตว์อสูรมารตัวแล้วตัวเล่าต่างอกสั่นขวัญแขวน ร่างกายระเบิดแหลก
กลิ่นคาวเลือด เสียงคำรามรวดร้าว เสียงร้องโหยหวนตลบอบอวลกลางฟ้าดิน
“สหาย พวกเจ้ามาจากตระกูลหลินหรือ”
บนหอประตูเมือง ผู้บังคับการซ่งจวินกุยพลันเอ่ยถาม
หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า
“คุณชายท่านนั้นหรือจะเป็น… ผู้นำตระกูลหลินของพวกเจ้า”
ซ่งจวินกุยเอ่ยถาม
หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้าอีกครั้ง
ซ่งจวินกุยไม่ถามอีกแล้ว แววตาเหม่อลอย “ที่แท้ก็เป็นเขา…”
เขาเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
คนผู้เดียวเหยียบย่ำขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลได้ในคืนเดียว สังหารผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลสิบเก้าคนหัวหลุดกระเด็น
นี่คือบุคคลผู้แห่งยุคที่ราวกับตำนานคนหนึ่ง!
ซ่งจวินกุยจะไม่รู้จักได้อย่างไร
ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็จิตใจสั่นสะเทือน หลินสวิน! ชายหนุ่มคนนั้นก็คือหลินสวิน! มิน่า… มิน่าล่ะ!
ไม่เพียงแต่พวกเขา เหล่าลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกหลินเสวี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ยังจิตใจหวั่นไหว เลือดในกายสูบฉีดฮึกเหิม ตื่นเต้นจนคุมตัวเองไม่อยู่
เพราะว่าบุคคลในตำนานผู้นั้น คือผู้นำตระกูลของพวกเขา!
……
ในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากสังหารราชันอินทรีอสนีเขียวกับราชันอสูรมารอีกสิบแปดตน เพียงชั่วกะพริบตาสิบครั้ง ศึกอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ก็ปิดฉากลง
หลินสวินคนเดียวใช้พลังกำราบกองทัพสัตว์อสูรมารนับหมื่น เข่นฆ่าจนฟ้าดินหม่นหมอง สุริยันจันทราอับแสง!
ยามเงาร่างของหลินสวินหันกลับมาจากสนามรบไกลลิบ เหนือฟ้าบนดินต่างเงียบสงัดไร้เสียง
ทุกคนล้วนเจือไปด้วยสีหน้าเคารพ คลั่งไคล้ และหวาดหวั่น ไม่มีถ้อยคำใดสามารถบรรยายจิตใจของพวกเขาในตอนนี้ได้แล้ว
กลางฟ้าดินเหลือเพียงความเงียบ
วันนี้ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ ที่นอกเมืองหมอกอำพราง หลินสวินผู้นำตระกูลหลินสังหารเหล่าราชันอสูรมารอย่างเดือดดาลเพียงผู้เดียว ทำลายกองทัพสัตว์อสูรมารนับแสน ช่วยมณฑลหนึ่งท่ามกลางความทุกข์ยากมหันต์ ความรุ่งโรจน์แห่งอิทธิฤทธิ์สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดิน!
……
ตำหนักเฉียนหยวนในวังหลวง นครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิ
“องค์หญิง มณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิมีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที ถูกจ้าวจิ่งเซวียนซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการกับเหล่าขุนนางในตำหนักล่วงรู้ ฉับพลันนั้นในตำหนักเฉียนหยวนก็ระส่ำระสายขึ้นระลอกหนึ่ง บรรยากาศกดดัน
เขตแดนหนึ่งมณฑลจะตกอยู่ใต้อาณัติของกองทัพสัตว์อสูรมารหรือ
“องค์หญิง ขอให้รวมกำลังพลในจักรวรรดิไปเป็นกำลังเสริมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันใดนั้นขุนนางใหญ่หลายคนก็เอ่ยแนะนำ ดูวิตกกังวลนัก
ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “กองหนุนยังไงก็ต้องส่งไปช่วย แต่เท่าที่ข้ารู้มา ผู้นำตระกูลหลินเดินทางไปสังหารอสูรมารที่มณฑลซีหนานแล้ว หากมีเขาอยู่ สถานการณ์อันตรายของมณฑลซีหนานอาจยังมีความเป็นไปได้ที่จะพลิกผัน”
เหล่าขุนนางได้ยินดังนี้ก็หมดคำพูดไปครู่หนึ่ง หลินสวินเพียงผู้เดียวจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพสัตว์อสูรมารหลายแสนตนกับเหล่าราชันอสูรมารได้อย่างไร
ที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจก็คือ องค์หญิงเป็นสตรีมหัศจรรย์ผู้มีชื่อเสียงปานไหน เหตุใดถึงฝากความหวังไว้กับหลินสวินเพียงคนเดียว
จ้าวจิ่งเซวียนไม่อธิบายอะไรอีก มีบัญชาลงมาว่าจะเคลื่อนกองหนุนจักรวรรดิกองหนึ่งไปยังมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิทันที
และในคืนนั้นเอง มีข่าวส่งเข้ามาในวังว่าวิกฤตที่มณฑลซีหนานคลี่คลายแล้ว กองทัพสัตว์อสูรมารพ่ายแพ้ย่อยยับ!
เหล่าขุนนางที่รอข่าวอยู่ในตำหนักเฉียนหยวนมาโดยตลอดต่างนิ่งอึ้งไปโดยสมบูรณ์ สะท้านขวัญจนคำพูด เขาหลินสวิน ถึงกับทำได้แล้วจริงๆ หรือ!
ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนลอบถอนหายใจโล่งอกในใจ แต่ยังไม่ได้อธิบายอะไรเหมือนเดิม
เพราะนางรู้ดีว่าต่อให้อธิบายไปก็ไม่มีทางทำให้ขุนนางใหญ่เหล่านี้เข้าใจ ว่าศักยภาพของมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดผู้หนึ่งน่ากลัวปานไหน!
ในโลกชั้นล่างแห่งนี้ เว้นแต่มีอริยะปรากฏตัว หาไม่แล้วย่อมไม่มีใครช่วงชิงความเป็นหนึ่งไปจากหลินสวินได้!
แม้กองทัพสัตว์อสูรมารจะมีกำลังจำนวนมาก แต่ต่อหน้าพลังสูงสุด จำนวนมากน้อยก็ไม่มีความหมายไปแล้ว
วันนี้ นครต้องห้ามสะท้านสะเทือน
หลายปีมานี้สัตว์อสูรมารกำเริบเสิบสาน จู่โจมเมืองปล้นหมู่บ้าน เผาฆ่าชิงปล้น กระทำความชั่วทุกประการภายในจักรวรรดิ กลายเป็นภัยใหญ่ร้ายแรงของจักรวรรดิ
โดยเฉพาะในช่วงใกล้ๆ นี้ ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารยิ่งแผลงฤทธิ์ บีบเข้ามาทีละก้าว ทำให้จักรวรรดิตกอยู่ในความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง
นี่ก็เหมือนก้อนหินยักษ์ที่กดทับอยู่บนหัวใจทุกคนในจักรวรรดิ ทำให้หลายคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลยิ่งนัก
และเมื่อข่าวของศึกนี้กระจายออกมาก็เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง ทำให้จักรวรรดิคึกคักขึ้นโดยสมบูรณ์ ผู้คนนับไม่ถ้วนตื่นเต้นโห่ร้องยินดี และฮึกเหิมเพราะเรื่องนี้
พูดง่ายๆ ก็คือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่คราวนี้ปัดเป่าหมอกทะมึนในจักรวรรดิไปในคราวเดียว!
“หลินสวินคนนี้ สมกับเป็นดาวสังหารที่ตกมาจากฟากฟ้าจริงๆ”
ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลเหล่านั้นต่างทอดถอนใจไม่ว่างเว้น
“โอ้ ข้าจำได้ว่าราชันเกราะทองที่ครองอาณาเขตในมณฑลซีหนานนั่นเคยคุยโวว่าจะรับหลินสวินเป็นข้ารับใช้ใช่ไหม ก็ไม่รู้ตอนนี้เขาได้พบหลินสวินหรือยัง…”
ในพระราชวัง จ้าวจิ่งเซวียนที่จัดการเรื่องราวในมือกำลังฟุบอยู่ตรงโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ดวงหน้างามหนุนอยู่บนแขนขาวเปล่งปลั่ง ดวงตากระจ่างสุกสกาว ริมฝีปากอวบอิ่มระบายยิ้มประหลาด
——