Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1393 เยือนถิ่นเดิมอีกครั้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1393 เยือนถิ่นเดิมอีกครั้ง
สะท้านสะเทือน!
ใครเลยจะคาดคิด ราชันเกราะทองที่เคยขู่ว่าจะจับหลินสวินไปเป็นข้ารับใช้ กลับถูกหลินสวินตัดหัวตั้งแต่วันแรกที่มาถึงมณฑลซีหนานเสียได้
แม้แต่เขาวิญญาณหยินซึ่งเป็นแหล่งกบดานของเจ้าตัวยังถูกหลินสวินกำจัดสิ้นซากในคราวเดียว ทัพใหญ่สัตว์อสูรมารหลายแสนล้วนตายอนาถกลางป่าเขา
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็สะท้านฟ้าสะเทือนดินราวกับอสนีฟาดสรวงสวรรค์ ทำให้ทั่วหล้าเดือดพล่าน
“คุณชายหลิน… ช่างห้าวหาญเกินไปแล้ว!”
อย่าว่าแต่คนทั่วไป กระทั่งขุมอำนาจใหญ่ทุกแห่งในจักรวรรดิ รวมถึงชนชั้นนำที่กุมอำนาจสูงสุดในกองทัพยังพากันสะท้านสะเทือน
หากบอกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ผลกระทบที่หลินสวินเหยียบทำลายสองตระกูลจั่วและฉิน และตัดหัวผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลสิบเก้าคนทำให้ผู้คนพรั่นพรึงและกริ่งเกรง
เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้คนตื่นเต้นและฮึกเหิม!
เพราะหลินสวินกำลังช่วยจะจักรวรรดิกำจัดสัตว์อสูรมาร ซ้ำยังทำลายค่ายใหญ่ของขุมอำนาจสัตว์อสูรมารในมณฑลซีหนานของจักรวรรดิตัวคนเดียวอีกด้วย
ช่างสะใจเกินไปแล้ว!
ช่วงสิบกว่าปีมานี้จักรวรรดิปั่นป่วน ลมฝนโหมซัด จวนจะถูกขุมอำนาจสัตว์อสูรมารพวกนั้นกดข่มจนหายใจหายคอไม่ออก
แต่ยามนี้ความแข็งแกร่งและเฉียบขาดที่หลินสวินสำแดงในการต่อสู่ครั้งนี้ ก็ทำให้ทุกคนในจักรวรรดิแซ่ซ้องสรรเสริญ ปรีติยินดี
“จักรวรรดิมีเทพมนุษย์อย่างคุณชายหลิน ช่างโชคดีปานใด!”
ผู้คนมากมายหัวเราะลั่น จิตใจเบิกบาน ช่วงหลายปีมานี้จักรวรรดิต้องสูญชีวิตไม่รู้เท่าไหร่ภายใต้ความเหิมเกริมของทัพใหญ่สัตว์อสูรมาร
ตอนนี้ดียิ่ง หลินสวินบุกตีกร้าวแกร่ง ทำลายทัพใหญ่สัตว์อสูรมาร ตัดหัวราชันเกราะทอง ล้างบางเขาวิญญาณหยิน เหยียบหายนะตัวฉกาจในมณฑลซีหนานของจักรวรรดิราบคาบด้วยตัวคนเดียวอย่างง่ายดาย!
ทิวทัศน์ส่วนหนึ่งของเขาวิญญาณหยินถูกผู้ฝึกปราณใช้ม้วนหยกร่างเงาบันทึกเอาไว้ ไม่นานก็แพร่สะพัดทั่วจักรวรรดิ
เมื่อมองเห็นเทือกเขาวิญญาณหยินที่เหมือนถูกเหยียบราบ ทุกคนต่างตะลึงงัน ที่ตรงนั้นซากศพเกลื่อนรอบทิศ เลือดนองย้อมแผ่นดินเป็นสีแดงฉาน เต็มไปด้วยความพินาศย่อยยับ
โดยเฉพาะหัวราชันเกราะทองที่แขวนไว้นอกเมืองหมอกอำพราง ยิ่งชวนขนพองสยองเกล้ามากกว่าเดิม!
“ราชันอสูรมารพวกนั้นไม่ได้ร้องแรกแหกกระเชอ บอกว่าการที่คุณชายหลินไปกำจัดอสูรมารเป็นการไม่รู้จักความเป็นความตายหรือ ตอนนี้พวกเขายังจะกล้าโผล่หน้ามาอีกหรือ”
“สะใจโว้ย! พวกข้าผู้ฝึกปราณยกย่องคุณชายหลินเป็นแบบอย่างในเรื่องลงมือฆ่าฟันเฉียบขาด ทวงคืนสันติสุขเพื่อปวงชีวิตในจักรวรรดิ!”
ในจักรวรรดิข่าวการต่อสู้ครั้งนี้แพร่สะพัดไปทั่ว ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างได้รับผลกระทบ ในใจเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลินสวิน
อิทธิพลของเรื่องนี้มากมายเกินไปจริงๆ ซัดพาหมอกควันที่จักรวรรดิประสบมานานสิบกว่าปีในคราเดียว ทำให้พลทหารทั่วจักรวรรดิมีขวัญกำลังใจ สถานการณ์โกลาหลล้วนทุเลาลงไปไม่น้อย
ราชวังจักรวรรดิ เมื่อจ้าวจิ่งเซวียนรู้เรื่องนี้เข้าก็รีบบัญชาลงไป ตกรางวัลแก่ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตอย่างงามในนามของจักรวรรดิทันที!
ว่ากันว่าความมั่งคั่งของรางวัลที่ราชวังส่งไปให้ตระกูลหลินในวันนั้น แม้แต่ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงพวกนั้นยังพากันอิจฉาตาร้อนไม่จบไม่สิ้น
ไม่มีใครกล้าวิจารณ์เรื่องนี้!
และจ้าวจิ่งเซวียนก็ไม่ได้ตระหนี่ถี่เหนียว ถือโอกาสนี้บัญชาลงไปอีกครั้งความว่า “ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่สังหารศัตรูเพื่อจักรวรรดิ ล้วนสามารถได้รับรางวัลทำนองเดียวกันทั้งสิ้น!”
ชั่วขณะเดียวจักรวรรดิทั้งเบื้องบนเบื้องล่างล้วนสั่นสะเทือน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างฮึกเหิมเลือดสูบฉีด กระโจนเข้าสนามรบเอาอย่างหลินสวิน เริ่มลงมือสังหารอสูรมาร
“ไม่ยอมเห็นทีจะไม่ได้แล้ว…”
ณ ตระกูลฉือ ฉือหลิงเซียวถอนใจเฮือกยาว จากนั้นเขาเหลือบมองฉือฉางเหมยที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าออกหน้าเอง ไปที่ตระกูลหลินอีกครั้ง ช่วงชิงการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหลินให้ได้!”
“แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์?”
ฉือฉางเหมยตะลึงงัน “ข้าจะไม่แต่งกับหลินสวินเชียว!”
ฉือหลิงเซียวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าทั่วจักรวรรดินี้ นอกจากองค์หญิงจิ่งเซวียนแล้วยังมีใครคู่ควรกับหลินสวินอีกหรือ”
นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเขาจะกล่าวต่อไปว่า “ปีนี้น้องสาวของเจ้าคงสิบหกปีแล้วกระมัง เจ้าไปดูที่ตระกูลหลินที เด็กหนุ่มตระกูลหลินคนไหนที่พอจะเข้าตาเจ้าบ้าง ต่อให้ข้าต้องฉีกหน้าออกมาก็ต้องส่งน้องสาวเจ้าแต่งเข้าไปให้ได้ เพื่อเติมเต็มความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองตระกูลฉือและหลิน”
ฉือฉางเหมยทอดถอนใจในใจ ถึงแม้นางไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ก็รู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของท่านพ่อได้ นี่เขากำลังมองหาอนาคตเพื่อตระกูลฉืออยู่ และสิ่งที่เสียสละไปก็คือความสุขของน้องสาวหนึ่งคน…
“เจ้าควรคิดไปในทางที่ดี ต่อไปหากน้องสาวเจ้าแต่งเข้าตระกูลหลินได้ ไม่แน่ว่า… โชคชะตาก็จะแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้”
ฉือหลิงเซียวเอ่ยปลอบเสียงนุ่มคราหนึ่ง
และในเวลาเดียวกันนี้ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงในนครต้องห้ามอย่างตระกูลฮวา ซ่ง ฉี และเซี่ยก็กำลังไตร่ตรองและพิจารณา ว่าควรเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหลินอย่างไรดี
การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาปวดหัวคือ จากอำนาจบารมีของตระกูลหลินในยามนี้ จะตอบตกลงหรือไม่
……
เรื่องนี้ยังก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในหมู่ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารเช่นเดียวกัน
คำกล่าวที่ว่ากระต่ายสิ้นจิ้งจอกตรม ราชันอสูรมารตนหนึ่งร่วงหล่น สะเทือนถึงราชันอสูรมารไม่น้อยอย่างจัง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ร่างกายยังเริ่มหนาวสั่นขึ้นมา
“ราชันเกราะทองเป็นถึงพวกร้ายกาจระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ระมัดระวังตัวเรื่อยมา แต่กลับถูกไอ้เด็กแซ่หลินนั่นสังหาร นี่มัน… น่ากลัวเกินไปแล้ว”
“นี่คือบุคคลอันตรายอย่างที่สุดคนหนึ่ง จะต้องมองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจอันดับต้นๆ!”
“ลองตรวจสอบดู หลินสวินนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจักรวรรดินี้ยังมีตัวปัญหาร้ายกาจเช่นนี้อยู่ด้วย”
ไม่นานข้อมูลส่วนหนึ่งเกี่ยวกับหลินสวินก็ปรากฏต่อหน้าราชันอสูรมารทุกคน ถูกรับรู้และศึกษาอย่างจริงจัง ทำความเข้าใจถึงชาติกำเนิด บุคลิก นิสัยใจคอ พลังปราณ และประสบการณ์ของเขา
ระดับราชันเผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่สามารถสยบสังหารราชันเกราะทองได้ ก็ควรค่าพอจะให้ขุมอำนาจใหญ่ใดๆ ให้ความสำคัญได้แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินสวินยังไม่ธรรมดา ตัวคนเดียวก็สังหารราชันเกราะทองได้ดุจผ่าลำไผ่ ฝีมือช่างแข็งแกร่งและน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ในจักรวรรดิถึงกับมีคนร้ายกาจเช่นนี้เชียวหรือ”
“สมควรตาย! อีกไม่กี่ปีจักรวรรคินี้ก็จวนจะย่อยยับแล้วแท้ๆ กลับดันมีตัวแปรสำคัญเช่นนี้โผล่ออกมาเสียได้ หลินสวินนี่… ต้องตาย!”
แม้แต่ขุมอำนาจพ่อมดเถื่อนเก้าสายก็ยังตกใจ เริ่มระวังและศึกษาข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวกับหลินสวิน ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่แฝงตัวอยู่
ทางตอนใต้ของจักรวรรดิ ในทะเลสาบวาโยอสนีมีภูเขาสูงเสียดฟ้าที่ตัวเขาดำสนิท ไม่มีหญ้าผุดงอก หินประหลาดขรุขระ
เขานี้มีชื่อว่า ‘วายุดำ’ ปรากฏขึ้นมาหลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ถูก ‘ราชันอาภรณ์ดำ’ แสนลึกลับที่สุดในขุมอำนาจสัตว์อสูรมารยึดครองเรื่อยมาในช่วงหลายปีมานี้!
“อาภรณ์ดำ เนิ่นนานเรื่อยมา เจ้าเป็นศิษย์คนที่สามที่ข้ารับเข้าสำนัก ข้ารู้ เจ้าเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถก้าวสู่ประตูระดับอริยะแล้ว ครั้งนี้หากเจ้าฆ่าเจ้าเด็กหลินสวินได้ ข้ารับรอง วันที่หลุดพ้นพันธนาการ จะต้องช่วยเจ้าปีนป่ายสู่ระดับอริยะแน่!”
วังน้ำวนกลางอากาศสายหนึ่งลอยปรากฏภายในตัวเขาวายุดำ เสียงเย็นเยียบเคร่งขรึมของบรรพจารย์อสูรมารดังลอยออกมาจากส่วนลึกของกระแสน้ำวน ก้องสะท้อนไม่หยุดหย่อน
ราชันอาภรณ์ดำเอามือไพล่หลัง รับฟังอย่างเงียบๆ
เขาสวมชุดดำทั้งกาย เงาร่างอยู่กลางหมอกดำเลือนราง แม้แต่ใบหน้ายังถูกบดบัง ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายลึกลับชวนสยองออกมา
“ข้าสั่งการราชันอสูรมารคนอื่นๆ ไปแล้ว ให้ฟังคำสั่งของเจ้า ร่วมกันไปจัดการหลินสวินนี่ หากเจ้ายังมีอะไรเป็นกังวลก็พูดมาเถิด”
ราชันอาภรณ์ดำนิ่งเงียบเนิ่นนานค่อยเอ่ยปากยามนี้ “อาจารย์ ศิษย์ใกล้จะเผชิญมหาเคราะห์บรรลุอริยะในอีกไม่ช้าแล้ว ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวในช่วงนี้”
“เจ้าจะบรรลุอริยะด้วยตัวเองหรือ”
บรรพจารย์อสูรมารคล้ายจะแปลกใจอยู่บ้าง
“ไม่ผิด ช่วงหลายปีมานี้โลกนี้เกิดฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ปรากฏสัญญาณและโชควาสนาน่าเหลือเชื่อมากมายนัก ศิษย์เฝ้าสังเกตภาพรวมฟ้าดินเรื่อยมา มีความมั่นใจในระดับหนึ่งต่อการบรรลุอริยะ”
เสียงราชันอาภรณ์ดำราบเรียบ ไม่สุขไม่เศร้า
“ไม่ต้องการให้ข้าช่วย?”
บรรพจารย์อสูรมารเอ่ยถาม
“อาจารย์ สิ่งที่ศิษย์แสวงหาคือหนทางแห่งอริยะแท้ นอกจากตัวเองแล้วผู้อื่นไม่สามารถช่วยเหลือได้สักนิด ความหวังดีของท่าน ศิษย์น้อมรับด้วยใจแล้ว”
ราชันอาภรณ์ดำเอ่ยราบเรียบ
“เฮอะๆ มีปณิธาน!”
บรรพจารย์อสูรมารหัวเราะลั่น เพียงแต่น้ำเสียงกลับเจือแววเย็นเยียบ “แต่ว่าเจ้าอย่าลืมล่ะ หากไม่มีข้า ไหนเลยจะมีเจ้าในวันนี้ได้”
“บุญคุณยิ่งใหญ่ของอาจารย์ ศิษย์ไม่กล้าลืมชั่วชีวิต”
ราชันอาภรณ์ดำประสานมือกล่าว
“เฮอะ! ข้าจะถามเจ้าอีกประโยค หลินสวินคนนี้… เจ้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า”
เสียงของบรรพจารย์อสูรมารเปลี่ยนเป็นอึมครึมอย่างที่สุดแล้ว
ราชันอาภรณ์ดำนิ่งเงียบเนิ่นนาน กล่าวว่า “อาจารย์ หลังจากข้ากลายเป็นอริยะแล้ว จะเอาหัวเจ้าเด็กนั่นมาให้ท่านด้วยตนเองเป็นอย่างไร”
“ยังอีกนานแค่ไหน” บรรพจารย์อสูรมารถาม
“จวนแล้ว…”
ราชันอาภรณ์ดำสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวงึมงำว่า “ข้ารับรู้ถึงสัญญาณทะลวงระดับเสี้ยวหนึ่งแล้ว อีกไม่นานหรอก…”
“ดี! ข้าเองก็ไม่บังคับเจ้า แค่รอข่าวดีของเจ้าแล้วกัน”
กล่าวถึงตรงนี้กลิ่นอายของบรรพจารย์อสูรมารก็อันตรธานหายไป
‘ไม่บังคับข้า? หากไม่ใช่เพราะตอนแรกดวงวิญญาณของข้าถูกเจ้าลงคำสาปต้องห้ามเอาไว้ ไหนเลยข้าจะต้องอดทนอดกลั้นเช่นนี้เรื่อยมา…’
ราชันอาภรณ์ดำยืนตระหง่านเงียบๆ เนิ่นนาน อดทอดถอนใจไม่ได้ หมุนกายเดินออกจากแดนลับแห่งนี้
ยอดเขาวายุดำ ราชันอาภรณ์ดำยืนเอามือไพล่หลัง ทอดมองภูผาธาราที่อยู่ไกลๆ ในหัวก็นึกถึงชื่อของหลินสวินขึ้นมา
……
ยามที่โลกภายนอกโหมกระหน่ำ หลินสวินมาถึงนอกเมืองตงหลินเรียบร้อยแล้ว
ไกลออกไปหมู่เขากว้างใหญ่ ยอดเขาราวกับรวมตัวกัน ภายใต้แสงท้องฟ้าประหนึ่งมังกรยักษ์ที่เลื้อยผลุบโผล่ ราวกับไม่มีที่สุด
เพียงแต่หลายปีผ่านไป ก็เป็นที่รกร้างไร้สิ่งมีชีวิตตั้งนานแล้ว
เมืองตงหลินอันกว้างใหญ่ตกสู่สภาพเสื่อมโทรมนานแล้ว ไร้กลิ่นอายสิ่งมีชีวิต ไม่เหลือภาพความครึกครื้นในปีนั้นอีกต่อไป
หลินสวินยังคงจำได้ ปีนั้นเขาพาซย่าจื้อเข้ามาในเมืองนี้ และก็เป็นตั้งแต่ตอนนั้นที่ซย่าจื้อถูกราชินีจากตำหนักรัตติกาลพาตัวไป
ส่วนเขาก็ถูกจัดให้ไปฝึกปราณที่ค่ายกระหายเลือด
ตอนนี้ซย่าจื้อจากไปจนป่านนี้ก็ยังไม่หวนกลับ ทำให้ในใจหลินสวินอดถอนใจไม่ได้ ช่วงหลายปีมานี้มีเรื่องราวหลายอย่างเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกิน
ทันใดนั้นหลินสวินพลันขมวดคิ้วมุ่น หากราชันอินทรีแดงยังมีชีวิต ก็น่าจะรู้ข่าวการตายของราชันเกราะทองแล้ว แต่เหตุใดจนป่านนี้ยังไม่เคยปรากฏตัว
หรือว่าราชันอินทรีแดงประสบเคราะห์นานแล้ว
ครู่หนึ่งหลินสวินส่ายหน้าเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่าน มุ่งหน้าไปทางหมู่เขาสามพันคีรี
หมู่บ้านเฟยอวิ๋น
กำแพงทรุดเสื่อม สภาพระเนระนาด รกร้างมาเนิ่นนาน
วันนี้หลินสวินมาเยือน มองดูไร่ข้าววิญญาณที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตานั่น เขานึกถึงภาพยามมาถึงหมู่บ้านเฟยอวิ๋นครั้งแรก นึกถึงชาวบ้านที่เรียบง่ายและอัธยาศัยดีก็อดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้
ตนในตอนนั้นยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยนักสลักวิญญาณฝึกหัดที่รูปร่างซูบผอมคนหนึ่ง ยามนี้ไม่เพียงโชคชะตาของตนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
แม้แต่ชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นก็พากันอพยพไปอาศัยอยู่บนภูเขาชำระจิต ช่วงหลายปีมานี้ใช้ชีวิตกันไม่เลวทีเดียว ลูกหลานของชาวบ้านส่วนหนึ่งต่างเหยียบย่างบนมรรคาฝึกปราณ กลายเป็นกองกำลังกร้าวแกร่งของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต
เมื่อลองคิดดู นี่ก็เหมือนดั่งคำว่าทัศนียภาพดังเดิมแต่ผู้คนแปรเปลี่ยนจริงๆ
หลินสวินเยื้องย่างเนิบนาบ หวนรำลึกถึงอดีตที่ผ่านมาไปพลาง ก้าวย่างสู่หมู่บ้านที่เงียบเชียบวังเวงไปพลาง ท้ายที่สุดฝีเท้าก็หยุดลงตรงหน้าเรือนเล็กๆ หลังนั้นที่ตนเคยพักอาศัยในปีนั้น
ปีนั้นเขาที่รูปร่างผอมโซ สูญเสียชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดไป ได้ค้นพบห้องโถงมรรคาสวรรค์ และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไปอย่างสิ้นเชิงจากเรือนเล็กๆ หลังนี้ด้วยเช่นกัน!
เพียงแต่ขณะที่หลินสวินตั้งท่าจะผลักประตูออก ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
……………….