Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1401 เขามาแน่
พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลยไป การโจมตีกลับอย่างแข็งกร้าวก็เปิดฉากขึ้นในที่ต่างๆ ของจักรวรรดิ!
“ฆ่า!”
ในแต่ละพื้นที่ของจักรรรดิมีแต่ทหารออกศึกล้อมสังหารขุมอำนาจสัตว์อสูรมาร ฆ่าฟันกันจนภูผาธาราหลั่งเลือด สุริยันจันทราอับแสง
หลายปีมานี้ศึกในศึกนอกของจักรวรรดิสถานการณ์กระง่อนกระแง่น วุ่นวายไม่สงบ ทุกคนต่างอัดอั้นตันใจ
แต่ก่อนกำลังพลสัตว์อสูรมารรุกรานอาณาเขตจักรวรรดิ ขอเพียงยึดเมืองได้เมืองหนึ่งก็จะเข่นฆ่าอย่างเลวร้าย ซากศพกองสุม ก่อเรื่องจนฟ้าพิโรธคนอาฆาต เสียงคับแค้นใจดังระงม
แต่ตอนนี้สถานการณ์พลิกผันแล้ว!
หลินสวินคนเดียวกรำศึกไปทุกแห่งหนในจักรวรรดิ กระบี่เดียวต้านศัตรูได้นับแสน ปลิดชีพราชันอสูรมาร ทำลายกองทัพอสูรมาร ไม่มีศัตรูใดต้านทานได้
กล่าวอย่างไม่เกินเลยได้ว่า ที่สถานการณ์ทั้งจักรวรรดิพลิกผันล้วนเกิดจากการนำของหลินสวินเพียงคนเดียว!
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นนี้ ด้านขุมอำนาจสัตว์อสูรมารก็แสดงแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ถอยทัพอย่างต่อเนื่อง แทบจะแตกกระสานซ่านเซ็น
ได้ยินว่าตอนนี้ขอเพียงเอ่ยคำว่า ‘หลินสวิน’ สัตว์อสูรมารก็ต้องหวาดวิตกแล้ว!
……
“สะใจ! สะใจมากจริงๆ!”
“จักรวรรดิมีคุณชายหลินออกศึก ใครจะสู้ได้”
ขณะนี้ตามที่ต่างๆ ของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นตาสีตาสาหรือผู้สูงส่งในวัดวาอาราม ขอเพียงพูดถึงหลินสวินก็ต่างเจือความเคารพและชื่นชมจากภายในจิตใจทั้งนั้น
ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เช่นนี้สะเทือนขุมอำนาจพ่อมดเถื่อนเก้าสายเช่นกัน พอกองทัพพ่อมดเถื่อนที่กำลังรุกรานพื้นที่ชายแดนเหล่านั้นได้ข่าวเหล่านี้เข้า ก็ขวัญหนีดีฝ่ออย่างห้ามไม่ได้
หลินสวิน!
คุมแผ่นดินแต่ผู้เดียว ประหนึ่งตำนานเทพ ตลอดทางที่ห้อตะบึงไปไร้ศัตรูใดเทียบเทียม
ในช่วงใกล้ๆ นี้ แค่ราชันอสูรมารที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินก็มีหลายสิบตน ส่วนจำนวนสัตว์อสูรมารที่ตายด้วยน้ำมือเขา…
ไม่มีทางรวบรวมสถิติได้โดยสิ้นเชิง!
มีคนที่ทำศึกเด็ดขาด น่ากลัวถึงที่สุดเช่นนี้คนหนึ่งควบคุมดูแลในจักรวรรดิ จะไม่ทำให้พ่อมดเถื่อนเก้าสายเหล่านั้นตระหนกได้อย่างไร
“ถ้าจักรวรรดิคลี่คลายศึกในได้ เกรงว่าพวกเราจะลำบากแล้ว…”
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นต่างรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของทั้งจักรวรรดิเริ่มต่างออกไป พร้อมๆ กับการออกโจมตีอันแข็งกร้างของหลินสวิน
นี่ทำให้พวกเขากังวลใจ
ตอนนี้ยังมีขุมอำนาจสัตว์อสูรมารเหล่านั้นมาดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
แต่ยามขุมอำนาจเหล่านี้วอดวาย สายตาของหลินสวินก็ต้องเบนมาที่พวกเขาพ่อมดเถื่อนเก้าสายไปด้วย!
ในค่ายทัพใหญ่พ่อมดเถื่อนแห่งหนึ่ง พื้นที่ตะวันตกสุดของจักรวรรดิ
เหล่าคนใหญ่คนโตชั้นสูงพ่อมดเถื่อนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ล้วนสีหน้าอึมครึม หว่างคิ้วเจือความกังวล
“ตอนนี้ขุมอำนาจจักรวรรดิกำลังทรงพลังรุ่งโรจน์ เฉียบคมไม่อาจต้านทาน เพียงอาศัยการรุกจู่โจมยากนักที่จะฝ่าเข้าไปในอาณาเขตจักรวรรดิในเวลาอันสั้น”
“แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง รอหลังสัตว์อสูรมารพวกนั้นวอดวายไป กำลังพลของจักรวรรดิจะต้องพุ่งมาหาพวกเราทั้งหมดแน่!”
“ทำอย่างไรดี”
ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำลึก
“ไอ้เวรหลินสวินนี่ ตั้งแต่มันโผล่หัวมาสถานการณ์ในจักรวรรดิก็เปลี่ยนไป ทำไมเจ้าหมอนี่ต้องกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณด้วย”
มีคนกัดฟันเข่นเขี้ยว แค้นเคืองไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้พวกเขาสืบตื้นลึกหนาบางของหลินสวินอย่างถ่องแท้มานานแล้ว ทั้งรู้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเขาเพิ่งกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน
“สิบกว่าปีมานี้ผู้แข็งแกร่งระดับอริยะในจักรวรรดิล้วนจากไป เรื่องนี้เดิมทีเป็นโอกาสงามให้พวกเราจู่โจมจักรวรรดิ แต่ตอนนี้… ดันมีหลินสวินแจ้นออกมา!”
“เจ้านี่มันน่าชังจริงๆ!”
เหล่าบุคคลชั้นสูงพ่อมดเถื่อนต่างแย่งกันพูด ระบายความโกรธเคืองในใจ
คนผู้เดียวก็พลิกสถานการณ์จักรวรรดิครั้งใหญ่ นี่ทำให้พวกเขาต่างคาดไม่ถึง
“พอแล้ว! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบ่นเสียหน่อย”
ทันใดนั้นชายชราคนหนึ่งที่นั่งตำแหน่งหลักก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา เขาผมเผ้าเรียบร้อย สูงวัยแก่หง่อม ตามผิวหนังมีสัญลักษณ์สายฟ้าแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด
ผู้นี้คือราชันพ่อมดที่มีชีวิตอยู่ในโลกนานแล้วผู้หนึ่ง มาจากสายคนเถื่อนอสนี ตำแหน่งและฐานะสูงส่งอย่างยิ่ง
บรรยากาศในที่นั้นพลันเงียบเชียบไร้เสียง
“เรื่องเร่งด่วนขณะนี้คือต้องสะสางเรื่องยุ่งยากตรงหน้า และจะสะสางได้ก็ต้องจัดการหลินสวินคนนี้ให้ได้ก่อน”
เสียงแหบแห้งแก่ชราของราชันพ่อมดอสนีดังขึ้นในที่นั้น “จากที่ข้าเห็น ราชันอสูรมารที่เหลืออยู่พวกนั้น เกรงว่าคงรู้นานแล้วว่าถ้าไม่กำจัดหลินสวิน พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อกังขา”
เหล่าคนใหญ่คนโตพ่อมดเถื่อนต่างครุ่นคิด
“พวกเราจะทำเช่นไรดี” มีคนถาม
ราชันพ่อมดอสนีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่แน่บางทีอาจสามารถติดต่อราชันอสูรมารเหล่านั้น แล้วส่งราชันพ่อมดเถื่อนของพวกเราไปร่วมกันจัดการสังหารหลินสวินคนนี้!”
พอพูดถึงตรงนี้ดวงตาขุ่นมัวของเขาก็มีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน “ขอเพียงกำจัดเด็กนี่ได้ เสือร้ายอย่างจักรวรรดิก็จะถูกดึงเขี้ยวเล็บที่แหลมคมที่สุดไป!”
วันนั้น เหล่าพ่อมดเถื่อนเก้าสายต่างส่งกำลังพลออกมาเคลื่อนไหวเป็นการลับครั้งหนึ่ง
……
มณฑลเหิงสุ่ยแห่งจักรวรรดิ
เบื้องหน้าสายธารยาวมหึมายืดยาวลดเลี้ยวสายหนึ่ง หลินสวินหยุดเดิน นิ่วหน้าใคร่ครวญ
ครู่หนึ่งเขาจึงส่ายหัวอย่างอดไม่อยู่ รับรู้ได้ว่าราชันอสูรมารตนหนึ่งที่ยึดพื้นที่ใต้แม่น้ำแห่งนี้ หนีหายไร้ร่องรอยไปก่อนที่ตนจะมาถึงแล้ว
“ฆ่ายากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”
หลินสวินถอนใจเบาๆ
ช่วงสองเดือนมานี้เขาสังหารอสูรมารฟาดฟันศัตรูตลอดทางจนราบเป็นหน้ากลอง ประหัตประหารขุมอำนาจสัตว์อสูรมารหลายสิบกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็เป็นเพราะข่าวกระจายไป ทำให้ราชันอสูรมารเหล่านั้นล้วนเห็นท่าไม่ดี หลบหนีไปโดยเร็วไปด้วย เหลือเพียงรังเปล่าๆ เท่านั้น
นี่ทำให้หลินสวินก็ออกจะจนใจ ศัตรูไม่ได้โง่เขลา เป็นไปไม่ได้ที่จะบื้อรอให้ตนมาฆ่าถึงที่
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินดีใจก็คือ สถานการณ์ของจักรวรรดิในตอนนี้เริ่มฉายแววสดใส ดีขึ้นมากแล้ว
สวบ!
หลินสวินเอาม้วนหยกออกมาประเมินอย่างถี่ถ้วน
บนม้วนหยกบันทึกการกระจายตัวของสัตว์อสูรมารตามที่ต่างๆ ในอาณาเขตจักรวรรดิ ทั้งยังมีข้อมูลและเบาะแสราชันอสูรมารอยู่จำนวนหนึ่ง
ตอนนี้ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารที่อยู่บนม้วนหยกเกินครึ่งถูกทำลายไปแล้ว เหล่าราชันอสูรมารก็ตายไปเกือบหมด
แต่หลินสวินยังสังเกตได้อย่างฉับไวว่าตัวร้ายที่แท้จริงบางตนยังไม่ตาย
เช่นราชันผึ้งขาวและราชันเถาวัลย์เพลิงที่อยู่ในสิบพญาราชันอสูรมาร
หรืออย่างเช่นราชันอาภรณ์ดำที่ลึกลับและเก็บตัวที่สุด
นี่ก็หมายความว่าขุมอำนาจสัตว์อสูรมารในตอนนี้ดูเหมือนพ่ายแพ้ถอยทัพอย่างต่อเนื่อง กำลังพลเสียหายสาหัส แต่หากไม่กำจัดราชันอสูรมารที่ร้ายกาจที่สุดเหล่านั้น ก็ยังเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ดังเดิม!
ในขณะเดียวกัน พอนึกถึงข้อมูลของราชันอาภรณ์ดำก็ทำให้หลินสวินสังเกตเห็นจุดที่น่าสนใจได้อย่างหนึ่ง
ราชันอาภรณ์ดำไม่เหมือนราชันอสูรมารตนอื่น อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีสังกัดมาโดยตลอด อีกทั้งในช่วงสิบกว่าปีมานี้ ถึงกับเป็นไปได้สูงยิ่งว่าไม่เคยก่อบาปสังหารใดๆ!
แต่ศักยภาพของราชันอาภรณ์ดำกลับแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ลือกันว่ามีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าแล้ว ถึงกับเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสัมผัสระดับอริยะแล้ว
‘ถูกกำราบเช่นนี้ ราชันอสูรมารที่เหลืออยู่พวกนั้นต้องทนรับความพ่ายแพ้ของตนไว้ เกรงว่าพวกเขาคงจะ… ไปขอความช่วยเหลือจากราชันอาภรณ์ดำ’
ริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ หลินสวินก่อกองไฟ โยนปูยักษ์อวบอ้วนตัวหนึ่งลงไปต้มในหม้อ รอไปพลางครุ่นคิด
เขารู้ดีว่าราชันอสูรมารทุกตนในอาณาเขตจักรวรรดินี้ต่างต้องฟังคำสั่งของ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ที่ถูกขังอยู่ในสถานที่ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้สักแห่งเหมือนราชันเกราะทองตนนั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ราชันอาภรณ์ดำจะเก็บตัวและทนเงียบเพียงใด แต่ถ้าเป็นบรรพจารย์อสูรมารบัญชาให้มาต่อกรกับตน เขาจะไม่เชื่อฟังได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็นำแผนที่ดินแดนจักรวรรดิออกมา สายตาเริ่มกวาดไปมาในพื้นที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ทะเลสาบวาโยอสนี’ ในตอนใต้ของจักรวรรดิ
ทะเลสาบวาโยอสนีมีพายุใหญ่และสายฟ้าปกคลุมตลอดปี ในทะเลสาบมหึมาแห่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายยอดวายุและยอดอสนีอันน่ากลัวถึงที่สุด
สิบกว่าปีก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ในทะเลสาบวาโยอสนีมีภูเขาใหญ่แปลกประหลาดลูกหนึ่ง มีสีดำสนิททั้งลูก ไม่มีหญ้าโตสักกระเบียด ถูกขนานนามว่าเขาวายุดำ
ราชันอาภรณ์ดำก็ยึดที่มั่นอยู่ในนั้น
หลายปีมานี้ในจักรวรรดิก็มีผู้ฝึกปราณมากมายไปยังทะเลสาบวาโยอสนี เพื่อลองเปิดเผยโฉมหน้าอันลึกลับของราชันอาภรณ์ดำ
แต่ต่างจบลงด้วยความล้มเหลวทุกคนไป
ที่น่าประหลาดคือผู้ฝึกปราณที่ไปสืบเสาะเหล่านั้นต่างกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ได้ประสบเคราะห์ ถึงกับมีผู้ฝึกปราณที่ได้รับอันตรายที่ทะเลสาบวาโยอสนีบางคน ยังถูกคนอื่นช่วยส่งออกมาจากทะเลสาบวาโยอสนีอย่างลับๆ
แน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับว่าเป็นการกระทำด้วยความหวังดีของราชันอาภรณ์ดำผู้นี้
แต่ในความคิดหลินสวิน การกระทำผิดปกติแต่ละอย่างนี้ของราชันอาภรณ์ดำกลับดูน่าสนใจนัก
ราชันอสูรมารที่มีพลังปราณมากที่สุด ทั้งยังลึกลับที่สุดในบรรดาราชันอสูรมารในจักรวรรดิ กลับไม่เคยเข่นฆ่า ถึงขั้นยังช่วยผู้ฝึกปราณที่ติดอยู่ในทะเลสาบวาโยอสนีเหล่านั้นด้วย
เรื่องนี้ดูผิดแผกไปอย่างไม่ต้องสงสัย
และเพราะเหตุนี้ หลายปีมานี้แม้จักรวรรดิล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของราชันอาภรณ์ดำ แต่กลับส่งกำลังพลชั้นเลิศออกไปต่อกรราชันอาภรณ์ดำน้อยครั้งยิ่งนัก
‘ราชันอสูรมารเหล่านั้น… จะไปขอให้ราชันอาภรณ์ดำช่วยหรือไม่นะ’
หลินสวินไม่แน่ใจอยู่บ้าง
เกิดเสียงดังซ่า เขางมปูยักษ์ที่ต้มจนแดงก่ำตัวนั้นออกมาจากหม้อ หักก้ามปูกับขาปูไปแล้วเปิดกระดองปูออก เผยให้เห็นไข่ปูสีขาวนุ่มเปล่งปลั่ง กลิ่นหอมหวนยวนใจก็ตลบอบอวลออกมาด้วย
“รสชาติไม่เลว” หลินสวินลิ้มรสไข่ปูพลางดื่มสุรา ครู่หนึ่งก็กินปูยักษ์ตัวหนึ่งหมดเกลี้ยง
“ความสงบหายากจังนะ…”
หลินสวินถอนหายใจ
หลายเดือนมานี้เขาเร่งรุดกรำศึกตลอดทาง ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนวันนี้เลย
แต่หลินสวินก็รู้ว่าถ้าไม่ขจัดภัยอสูรมารครั้งนี้ให้สิ้นซาก ตนย่อมไม่มีทางผ่อนคลายได้โดยสมบูรณ์
และในวันนี้ หลินสวินหันกายรุดหน้าไปยังมณฑลทางใต้ของจักรวรรดิ
เขาอยากดูเสียหน่อยว่าการคาดเดาของตนจะเป็นจริงหรือไม่
……
ทะเลสาบวาโยอสนี
ราชันผึ้งขาวอาภรณ์ปลิวไสวยืนอยู่เหนือทะเลสาบ ทอดสายตามองไปไกล
รูปลักษณ์ของเขาหล่อเหลายิ่งนัก ประหนึ่งเด็กหนุ่มงามสง่าผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดสีหยกทั้งตัว บุคลิกผ่าเผย คนทั่วไปดูไม่ออกเลยว่านี่เป็นพญาราชันอสูรมารที่มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดผู้หนึ่ง!
“ราชันเถาวัลย์เพลิง เจ้าว่าถ้าหลินสวินนั่นเดาได้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ จะกล้าฝ่ามาคนเดียวหรือไม่”
ราชันผึ้งขาวพลันเอ่ยถาม
“ตอนนี้มีผู้ร่วมมรรครวมสิบหกคนมารวมตัวกันที่นี่ ทั้งยังมีราชันอาภรณ์ดำควบคุมดูแล เขาจะกล้าหรือ”
ราชันเถาวัลย์เพลิงโผล่หัวออกมาจากใต้น้ำ ผมสีแดงเพลิงทั้งหัวแผ่สยายบนผิวน้ำ นางเป็นสตรีทรงเสน่ห์คนหนึ่ง ผิวพรรณขาวปลอด ร่างกายอ่อนช้อยมีสัดส่วน ชวนดึงดูดยั่วยวนใจถึงที่สุด
“กล้าสิ”
ราชันผึ้งขาวนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก็เอ่ยเรียบเฉยว่า “ช่วงที่ผ่านมานี้ราชันอสูรมารที่เคยประเมินเด็กนี่ต่ำไปล้วนถูกฆ่าไม่เว้น คนร้ายกาจที่เหิมเกริมไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ คงไม่มีเรื่องที่เขาไม่กล้า”
ไออำมหิตปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วราชันเถาวัลย์เพลิง กล่าวว่า “เจ้าจะบอกว่าเขาอาจจะมาที่นี่หรือ”
ราชันผึ้งขาวพยักหน้า “ขอเพียงไม่โง่ก็จะเดาได้ว่าพวกเราต้องมาขอให้ราชันอาภรณ์ดำช่วย เขาหลินสวินคงไม่ปล่อยโอกาสที่จะกำจัดพวกเราในคราวเดียวนี้ไป ดังนั้นเขาต้องมาแน่!”
——