Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1438 ซากศพระดับจักรพรรดิ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1438 ซากศพระดับจักรพรรดิ
ฟู่! ฟู่!
หนึ่งเดือนให้หลัง หลินสวินพ่นลมหายใจดังฟู่ นั่งขัดสมาธิลงกับพื้นโดยไม่ลังเล เริ่มตั้งจิตทำสมาธิ
เขาเพิ่งผ่านการต่อสู้หฤโหดมาหมาดๆ ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ หยาดเลือดไหลเอ่อ แต่เขากลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร พยายามฟื้นคืนสภาพ
ฮูม!
พลังกฎเกณฑ์ไร้มรณะไหลเวียนทั่วกายทั้งบนล่าง ปรับสภาพบาดแผลทั่วร่างของเขาให้กลับคืนสภาพเดิมด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
หนึ่งเดือนมานี้หลินสวินลืมไปแล้วว่าตัวเองผ่านการเข่นฆ่าอันนองเลือดดุเดือดมามากน้อยเท่าไร
มีหลายครั้งหลายคราที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกฉีกทึ้งท่อนแขน ถูกจ้วงแทงหน้าอก ถูกบดขยี้แผ่นหลัง ถูกตัดขาทั้งสองข้าง…
หากไม่ได้อยู่บนเส้นทางกายหยาบบรรลุอริยะของผู้บำเพ็ญหลอมกายที่พลังการคืนสภาพน่าตกใจ หากไม่ใช่เพราะมีกฎเกณฑ์ไร้มรณะทำการรักษา หลินสวินยังสงสัยว่าตนจะยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่
แต่ว่าหลังผ่านประสบการณ์ฆ่าฟันดุเดือดที่ชวนเขย่าขวัญครั้งนี้ ทำให้ความเดือดดาลในตอนแรกเริ่มของหลินสวินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเคยชินและสงบนิ่ง เริ่มปรับตัวให้ชินเหมือนเป็นปกติ
ฮือๆๆ…
เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา กลางห้วงอากาศไกลออกไปก็มีเสียงปานผีสางโหยไห้หมาป่าเห่าหอนดังขึ้นระลอกหนึ่ง ไอสังหารพลุ่งพล่านราวกับเมฆทะมึนปั่นป่วน หวีดหวิวลอยมา
สวบ!
หลินสวินหยัดตัวขึ้นจากการนั่งสมาธิ สีหน้าเยือกเย็น กระโจนพรวดออกไป
“ฆ่า!”
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างไม่น่าแปลกใจ
เมื่อเทียบกับหนึ่งเดือนก่อน ในแง่การต่อสู้ทางสายหลอมกาย หลินสวินเหมือนถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน
ร่างกายราวกับเตาหลอม สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งร่างควบหลอมเดือดพล่านทั้งตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังกายถูกควบคุมและขับเคลื่อนโคจรได้อย่างถนัดมือ
วิชาต่อสู้หลอมกายทั้งปวงยิ่งถูกหลอมรวมเข้ากับพลังวิชามหามรรค โบกสะบัดดั่งใจอย่างชำนาญช่ำชอง ปรากฏท่วงทำนองที่ราวกับเอิบอิ่มนิ่งขรึมไม่ปาน
นี่ก็คือสิ่งที่หลินสวินได้รับจากการหลอมกายในศึกฆ่าฟันตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ถึงแม้พลังปราณจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่พลังต่อสู้นั้นไม่เหมือนที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว
ก็เหมือนหยกที่ไม่ได้เจียระไนชิ้นหนึ่ง เริ่มสำแดงประกายที่สามารถสะเทือนโลกหล้า!
……
ในโลกอันมืดมิด หญิงลึกลับเดินมาเป็นระยะทางยาวนานมากแล้ว ระหว่างทางทิวทัศน์อัปมงคลและพิสดารอุบัติขึ้นอยู่ตลอด
นางรู้ดีว่าหากเปลี่ยนเป็นพวกระดับอริยะเหล่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินมาถึงตอนนี้เหมือนกับตน
เพราะความอัปมงคลและแปลกพิสดารพวกนั้น เพียงพอจะสร้างการโจมตีถึงแก่ชีวิตให้กับเหล่าอริยะได้!
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหญิงลึกลับเลยด้วยซ้ำ
เพราะมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจว่านี่เป็นโลกแบบไหน
ทว่าขนาดนางเองยังคิดไม่ถึง ว่าในสมรภูมิกระหายเลือดถึงกับมีโลกเช่นนี้อยู่หนึ่งแห่ง เรื่องนี้ทำให้ในใจนางเริ่มไม่อาจสงบได้เช่นกัน
ก่อนจะพาหลินสวินมาที่นี่ นางได้สำรวจโลกมืดมิดนี้เป็นเวลาหนึ่งปี น่าเสียดาย จนป่านนี้ก็ยังไม่พบคำตอบที่นางแสวงหา
เพราะโลกนี้ดำรงอยู่นานเกินไป เบาะแสมากมายล้วนถูกกำจัดไปตามการกัดกร่อนของกาลเวลา ไม่สามารถอนุมานความจริงบางส่วนได้อีกต่อไป
เรื่องนี้ทำให้หญิงลึกลับอดทอดถอนใจไม่ได้ อริยะสามารถควบคุมพลังแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าได้ แต่กฎเกณฑ์แห่งเวลานั้น ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิก็ยังยากจะสัมผัส ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน!
“ถึงแล้ว”
ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องหน้า ปรากฏพื้นที่ผุพังยุ่งเหยิง ทั้งกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต ให้สัมผัสที่กว้างขวางประหนึ่งภาพลวงตาเวิ้งว้างแก่ผู้คน
เพียงแต่ที่นั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง แผ่สัมผัสแห่งความโดดเดี่ยวและดับสูญ
“ขนาดรากฐานมหามรรคยังไม่เหลือแล้ว…”
หญิงลึกลับยืนอยู่เนิ่นนาน และนิ่งเงียบไปนาน นางคิดไม่ตก บุคคลระดับจักรพรรดิที่ทำให้นางรู้สึกสะท้านสะเทือนหาใดเปรียบคนหนึ่ง เหตุใดถึงมีจุดจบเช่นนี้ได้
นี่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
น่าเสียดาย จากฝีมือในปัจจุบันของนางกลับไม่สามารถหยั่งรู้ความจริงภายในนั้นได้
เพราะเวลายาวนานเกินไป
กาลเวลาไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลกได้ ยังกำจัดร่องรอยส่วนหนึ่งได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิหรือมดตัวจ้อย เมื่อตายไปย่อมต้องถูกพลังแห่งกาลเวลากัดกร่อน จากนั้นก็ถูกกำจัดไป
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันอาจจะเป็น… ร่องรอยของพวกระดับจักรพรรดินั้น หากคิดจะให้กาลเวลากำจัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิงก็คงไม่ง่ายดายเช่นนั้น
ดังนั้นถึงทำให้หญิงลึกลับได้เห็นทุกอย่างเบื้องหน้านี้
“จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสมรภูมิกระหายเลือด… หรือว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้า”
เนิ่นนานหญิงลึกลับพึมพำเสียงเบา
……
สามเดือนให้หลัง
พร้อมๆ กับเสียงดังกระหึ่ม รอบกายหลินสวินปรากฏเหวลึกขึ้นมา พลังขับเคลื่อนพลุ่งพล่านเป็นฐานตั้ง ห้อทะยานอยู่ในนั้น
มรรคดับดารากลืนกิน!
เพียงแต่ว่าครั้งนี้กลับถูกหลินสวินใช้พลังหลอมกายโคจรออกไป
ฮู้ม!
เพียงไม่กี่อึดใจภูตผีมากกว่าสิบตัวก็ถูกหลินสวินสังหารเกลี้ยงรวดเดียว ถูกกำจัดสิ้นซาก
ทอดสายตามองออกไป ในโลกแถบนี้ไม่มีไอสังหารโผล่ขึ้นมาอีกเลยแม้แต่สายเดียว เงียบกริบเวิ้งว้าง เย็นเยียบทั้งแถบ
สีหน้าหลินสวินไม่สุขไม่ทุกข์ ไร้อารมณ์แปรปรวน สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายทั่วร่างโดยละเอียด เนิ่นนานกว่าจะโรยตัวลงมาจากห้วงอากาศอย่างแผ่วเบา เก็บงำกลิ่นอายทั่วร่างเอาไว้
สามเดือน การเข่นฆ่าดุเดือดที่มากมายไม่จบไม่สิ้น
การต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งที่ได้มาคือการเปลี่ยนแปลงพลังหลอมกายครั้งแล้วครั้งเล่า!
หากเป็นสามเดือนก่อน หลินสวินคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่า ในแง่มรรคหลอมกายตนจะถึงกับมีศักยภาพแฝงที่ไม่เคยขุดพบมากมายขนาดนี้
เรื่องนี้ก็ทำให้หลินสวินยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลอมกายกับหลอมปราณนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตนในอดีตยังดูเบาความอัศจรรย์ของมรรคาหลอมกายอยู่
ในระดับเดียวกัน ผู้หลอมกายครอบครองพลังและรากฐานที่สามารถกดข่มผู้หลอมปราณ ประโยคนี้ไม่เกินจริงเป็นอันขาด
ขณะนี้หลินสวินเองก็ได้สัมผัสเรื่องนี้ด้วยตนเองแล้ว
“รู้สึกอย่างไรบ้าง”
หญิงลึกลับปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ดีมาก”
หลินสวินขบคิดก่อนกล่าวยิ้มๆ
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปที่อื่นอีกแล้วกัน”
ขณะพูดหญิงลึกลับก็พาหลินสวินหายตัวไปกลางอากาศแล้ว
ครู่ต่อมาหลินสวินมาโผล่ในอีกโลกหนึ่ง มืดมิด เวิ้งว้างและเย็นเยียบเหมือนเดิม
และไอสังหารก็กลายเป็นพายุโหมกระหน่ำเดือดพล่านกลางฟ้าดินอีกเหมือนเดิม
สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือไอสังหารพวกนั้นน่าสะพรึงเกินไป แข็งแกร่งกว่าไอสังหารที่เคยพบเจอมาในโลกก่อนหน้านั้นถึงหนึ่งช่วงใหญ่ๆ!
“ต้องระวังหน่อย ไอสังหารที่นี่ไม่ธรรมดา”
หญิงลึกลับทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ก็ทิ้งหลินสวินที่ทำหน้าจนคำพูดให้ยืนโดดเดี่ยวตัวคนเดียวอยู่ตรงนั้น แล้วลอยตัวจากไป
ควรรู้ว่าจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดว่านี่คือสถานที่แบบไหนกันแน่!
ฮู้ม!
ฟากฟ้าไกลๆ ไอสังหารซัดโหมเข้ามาดั่งกระแสน้ำเชี่ยว
ฉับพลันนั้นหลินสวินเข้าสู่สถานะเตรียมต่อสู้โดยสัญชาตญาณ ความคิดฟุ้งซ่านในหัวหายไปอย่างสิ้นเชิง เริ่มเปิดศึกต่อสู้
นี่คือสัญชาตญาณการต่อสู้อย่างหนึ่งที่บ่มเพาะจากการเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่องในช่วงสามเดือนมานี้!
“คว้าโอกาสไว้ให้ดีเถิด คราวหน้าคิดจะมาที่นี่ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว…”
กลางความมืด หญิงลึกลับพูดกับตัวเองเสียงเบา
นางสัมผัสได้แล้วว่าใช้เวลาไม่นานนัก ทุกอย่างที่นี่ก็จะกลายเป็นพลังต้นกำเนิดอย่างหนึ่งและหายไปจากโลก
และจากการอนุมานของนาง นี่น่าจะเกี่ยวข้องกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ใกล้จะปรากฏในสมรภูมิกระหายเลือด!
เวลาเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว
หลินสวินตื่นจากการทำสมาธิ ตอนที่เปิดเปลือกตาก็เหมือนสายฟ้าแลบคมกริบสายหนึ่งปราฏขึ้น ฉีกทึ้งห้วงอากาศ
เขาในตอนนี้ต่างไปจากครึ่งปีก่อนแล้ว
ผิวพรรณทั่วกายขาวเนียนดุจหยก เจือแสงระเรื่อแวววาว ดูเหมือนปกติทั่วไป แต่กลับแข็งแกร่งพอๆ กับยอดศาสตรามรรคราชัน
และทุกๆ การเคลื่อนไหวระหว่างกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ผิวหนัง ล้วนเหมือนภูเขายักษ์กำลังชนปะทะกันก็ไม่ปาน เกิดเสียงสะเทือนกังวานราวกับฟ้าคำราม
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างเขาดั่งมังกรคำราม ควบรวมห้อทะยาน พลังชีวิตที่บรรจุในเลือดหยดหนึ่งถึงขนาดเทียบได้กับโอสถราชันหายาก มีพลังพลุ่งพล่านอย่างน่าเหลือเชื่อ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในครึ่งปีมานี้พลังหลอมกายของหลินสวินก็ทะลวงสู่ขั้นสมบูรณ์ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว!
นอกจากนี้การเข่นฆ่าดุเดือดนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงครึ่งปีมานี้ ทำให้ความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้านหลอมกายของหลินสวินพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วย
เวลานี้ต่อให้เฒ่าโดดเดี่ยวได้เห็นเขา เกรงว่าคงต้องร้องประหลาดใจอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนพลังหลอมกายของหลินสวินยังขาดความคงที่ ด้อยการเคี่ยวกรำและการเลื่อนขั้นอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้ข้อบกพร่องเหล่านี้หายไปนานแล้ว!
ถึงขั้นที่ในการเข่นฆ่านับครั้งไม่ถ้วนนี้ พลังหลอมกายของเขาถูกเคี่ยวกรำจนถึงขั้นสมบูรณ์สุดขีดไปนานแล้ว
“เหลืออีกแค่ระดับขั้นเดียว ก็จะเทียบชั้นกับพลังหลอมปราณได้แล้ว…”
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในใจออกจะตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
เมื่อก่อนเพราะข้อบกพร่องของในมรรคาหลอมกาย ทำให้หลังจากเขาเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดก็ทุ่มเทกายใจให้กับมรรคาหลอมกาย
ตอนนี้เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งปีเศษๆ เท่านั้น พลังหลอมกายก็มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดด ทำให้เขาพลอยผ่อนคลายลงด้วยเล็กน้อย
“นายท่าน!” เสี่ยวอิ๋นโฉบพุ่งมาจากไกลๆ กล่าวว่า “ข้าทะลวงอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว!”
หลินสวินประหลาดใจ “ไวเช่นนี้เชียว?”
เขาจำได้แม่น ก่อนจะเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด เสี่ยวอิ๋นเพิ่งจะเลื่อนระดับเป็นอมตะเคราะห์ด่านสามเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว
ควรรู้ว่าปราณของเสี่ยวอิ๋นนั้น หากต้องการข้ามอมตะเคราะห์ก็สุดแสนจะอันตรายและยากลำบาก ไม่เหมือนกับตนที่แค่ต้องฝึกปราณต่อไป พลังปราณก็จะเพิ่มสูงเหมือนน้ำขึ้นแล้ว
เสี่ยวอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าเคารพ “ดีที่มีคำชี้แนะของผู้อาวุโสท่านนั้น ให้ข้ามุ่งหน้าสู่พื้นที่ลึกลับแห่งหนึ่ง และได้รับการลับคมที่แสนล้ำค่า”
หลินสวินเอี้ยวศีรษะก็เห็นหญิงลึกลับเดินมาจากไกลๆ เขาเพิ่งกระจ่าง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ครึ่งปีก่อนตอนที่หลินสวินทำการเคี่ยวกรำอยู่นั้น ก็ได้เรียกเสี่ยวอิ๋นออกมา ปล่อยให้เสี่ยวอิ๋นเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าหมอนี่กลับได้รับโชคไปด้วย
คิดถึงตรงนี้เขาก็หยัดตัวขึ้นกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก”
หญิงลึกลับกล่าวว่า “พวกเราควรไปกันได้แล้ว”
หลินสวินอึ้ง “ไปหรือ”
ครึ่งปีมานี้เขาเอาแต่รบราฆ่าฟันและเคี่ยวกรำพลังอยู่ที่นี่มาตลอด ตอนนี้จู่ๆ จะต้องจากไป ในใจกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
“อืม เจ้าสงสัยไม่ใช่หรือว่าที่นี่คือสถานที่แบบไหนกัน บอกเจ้าตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ที่นี่… คือโลกที่วิวัฒน์ขึ้นจากร่างหลังเปื่อยสลายของบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง”
คำพูดหญิงลึกลับเพิ่งสิ้นสุด หลินสวินและเสี่ยวอิ๋นก็พากันตะลึงอึ้งค้าง
ร่างของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ถึงกับวิวัฒน์เป็นโลกตรงหน้านี้เชียว?
“ระดับจักรพรรดิ ภายในกายย่อมกลายเป็นจักรวาล หนึ่งจุดหนึ่งทวารล้วนเป็นดั่งโลกหนึ่งใบ อวัยวะตันห้ากลวงหก ห้วงนิมิต ระหว่างร้อยแกนกระดูกแขนขาของเขา… ล้วนกว้างใหญ่ไพศาลดุจดั่งจักรวาล”
“สิ่งนี้เรียกว่า ‘ณ กายาแลดวงจิต ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นจักรวาล ’ มีเพียงครอบครองปราณระดับนี้เท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าเป็นระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง”
หญิงลึกลับกล่าว “ดังเช่นโลกที่เจ้าเหยียบอยู่นี้ ก็วิวัฒน์มาจากจุดชีพจรเล็กๆ ที่ไม่เด่นสะดุดตาจุดหนึ่งภายในร่างของบุคคลระดับจักรพรรดิผู้นี้”
“ส่วนไอสังหารพวกนั้นที่เจ้าต่อสู้ ล้วนเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากระดับจักรพรรดิคนนี้เสื่อมสลาย เพียงแต่ถูกกาลเวลากัดเซาะจนกระท่อนกระแท่น เหลืออยู่ไม่เท่าไร อย่าว่าแต่เจ้าเลย ขนาดอริยะมาเองก็ยังต้านแรงโจมตีของไอสังหารระดับนี้ไม่ไหว”
คำพูดแค่ไม่กี่คำ ทำให้หลินสวินตกตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้น
——