Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1490 เจ้าไม่ไหว
เผชิญกับภาพนี้ หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “นี่ถึงจะน่าสนใจหน่อย”
ตูม!
เงาร่างของเขาที่ยืนนิ่งกลางอากาศก้าวออกมาในตอนนี้ ผมยาวสีดำทั่วศีรษะพลิ้วไหว เสียงธรรมกึกก้องทั่วร่างกาย
บนมรรคาอมตะ เขาไร้คู่ต่อสู้มานานเกินไปแล้ว!
อย่าว่าแต่การต่อสู้ธรรมดา แม้เป็นการต่อสู้กับบุคคลอย่างลั่งเชียนเหิงก็ไม่สามารถกระตุ้นจิตต่อสู้ที่แท้จริงของหลินสวินได้
ตอนนี้ในที่สุดก็เขาก็เกิดความสนใจแล้ว
ครืนๆ
ในอากาศมีเสียงต่ำลึกสะเทือนราวกับฟ้าร้อง
หลินสวินที่เป็นฝ่ายลงมือก่อนเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสมบูรณ์ เผยความสามารถที่มีออกมาทั้งหมด เย่อหยิ่งองอาจ มีอานุภาพผงาดกร้าวที่ก้มมองลงมายังโลกหล้า
หมัดหนึ่งของเขาซัดออกไป มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ทะยานไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญเหนือใคร สามารถทำให้ภูผาธาราเปลี่ยนสี
“ลงมือ!”
มู่ไจซิงนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน ตระหนักได้ถึงความร้ายกาจ จึงลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด
ชิ้ง!
กระบี่เทพสีเงินยวงกรีดกวาดท้องฟ้า หมุนเบาๆ วาดเงาดาบเต็มวงในขนาดหลายสิบจั้ง เงามายาเทพมารองค์หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในเงากระบี่
กระบี่เทพแปรรุ้งดารา!
กระบี่ระดับนี้ ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าหลายคนยังไหวหวั่น
วู้ม…
จู๋อิ้งเสวี่ยยกมือขึ้น เรียกกระจกทองแดงสีม่วงบานหนึ่งออกมา ในกระจกปรากฏดวงตาที่แปลกประหลาดและเย็นชาข้างหนึ่ง ดวงตาสาดประกายแสงสีขาวดำกลุ่มหนึ่งออกมา
สีดำเป็นตัวแทนของกลางคืน
สีขาวเป็นตัวแทนของกลางวัน
ขาวดำผสมกันราวกับกลางวันและกลางคืนเกิดขึ้นพร้อมกัน หมายจะปกคลุมโลก แบ่งแยกความเป็นความตาย!
นอกจากนี้บุคคลแห่งยุคจากต่างดินแดนคนอื่นๆ ก็ลงมือพร้อมกัน บ้างเรียกสมบัติลับออกมา บ้างใช้มรดกสูงส่ง
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าสว่างไสวเรืองรอง เสียงธรรมกึกก้อง ปรากฏการณ์ประหลาดมากมายปรากฏขึ้น ทำให้ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนไปด้วย ตกอยู่ท่ามกลางความสยดสยอง
ใครก็ดูออกว่าทันทีที่พวกมู่ไจซิงลงมือก็ไม่ออมมือสักนิด ใช้พลังที่แท้จริง เห็นได้ชัดว่ารู้ดีว่าไม่อาจเทียบหลินสวินกับคนทั่วไปได้ จึงไม่กล้าออมมือ
ตูมโครม!
ท่ามกลางการโจมตีเต็มฟ้า หลินสวินไม่ถอยกลับเดินหน้า เงาร่างราวกับสายฟ้า ดุจมายาและว่างเปล่า พุ่งโจมตีเข้าไป แกว่งหมัดเข่นฆ่า
นี่ดูบ้าคลั่งมาก!
แต่ก็เหิมหาญอย่างที่สุด มีท่าทีประหนึ่งข้าเพียงคนเดียวต้านคนนับหมื่น ทำเอาผู้คนเลือดร้อนพลุ่งพล่าน!
เคร้ง!
เสียงก้องราวกับระฆังดังขึ้น
เหมือนกระบองเหล็กกระแทกใส่ระฆังอย่างแรง พลังหมัดของหลินสวินปะทะปราณกระบี่ของมู่ไจซิง ระหว่างทั้งสองปะทุแสงแสบตา
หลายคนแม้แต่ตายังลืมไม่ขึ้น จิตวิญญาณเจ็บปานถูกมีดกรีดเฉือน
ครึ่ก!
ท่ามกลางเสียงระเบิดสะเทือนหู เงากระบี่กลมนั่นถูกบดขยี้จนละเอียดทั้งอย่างนั้น
สีหน้าของมู่ไจซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความตะลึงแวบผ่านเข้ามาในสายตา
ฉัวะ!
ลำแสงขาวดำสายหนึ่งพุ่งออกจากกระจกสีม่วง เหมือนว่าราตรีกาลและทิวากาลแผ่ขยายมาเยือนด้วยกัน ทุกที่ที่ผ่านห้วงอากาศล้วนระเบิดออกราวกับเป็นกระจก
หลินสวินไม่มองด้วยซ้ำ ใต้เท้าเขาชือน้ำแข็งตัวหนึ่งแหงนหน้าพุ่งออกมา แกว่งหางตัดลำแสงขาวดำนั่นขาด
ในเวลาเดียวกัน คลื่นสีทองที่แปลงมาจากเสียงคำรามผูเหลาซัดสะเทือนดาบศึกสีทองเล่มหนึ่งที่โจมตีมาจากอีกด้าน
เงามายาฟู่ซี่โฉบเคลื่อน ชนแสงมรรคที่ทะยานเข้ามาจนแหลก
ดอกบัวสีดำดอกหนึ่งลุกโชนด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์หงส์ทมิฬ เข้าปกคลุมทวนวงเดือนทั้งเล่ม
…ชั่วขณะนั้นการจู่โจมจากแปดทิศล้วนถูกวิชามรรคของหลินสวินสลาย
ส่วนเขาไม่เคยขมวดคิ้ว ไม่เคยหันกลับ พุ่งโจมตีไปยังมู่ไจซิงต่อ
แม้เป้าหมายคือทุกคน แต่ต้องสยบทีละคน!
“ใช้กำลังทั้งหมด!”
ประกายศักดิ์สิทธิ์ในดวงตามู่ไจซิงราวกับคมดาบ น่ากลัวอย่างที่สุด
ไม่จำเป็นต้องเตือน ทุกคนต่างรู้ดีว่าขืนยังไม่ใช้พลังทั้งหมด อย่าว่าแต่เอาชนะหลินสวินเลย อาจถึงขั้นเป็นไปได้สูงมากว่าจะถูกเขากำจัดทีละคน
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขารับไม่ได้เด็ดขาด
ตูม โครม!
ด้านหลังมู่ไจซิง กระบี่เทพสองเล่มที่เหลือก็เคลื่อนออกมา เล่มหนึ่งสายฟ้าเขียว อีกเล่มน้ำค้างม่วง เมื่อรวมกับกระบี่เทพสีเงินยวงเล่มนั้นก็กลายเป็นค่ายกลกระบี่คดโค้งเป็นประกาย ฉีกทึ้งอากาศเป็นแนวยาว
คนอื่นๆ เองก็เรียกยอดสมบัติและใช้ยอดวิชาของตนเอง
บุคคลแห่งยุคที่มาจากต่างดินแดนเหล่านี้ ทุกคนล้วนรากฐานพลังตะลึงโลก ที่มาไม่ธรรมดา สมบัติที่ครอบครองล้วนเป็นสมบัติอริยะอย่างไม่มีข้อยกเว้น มรดกที่เรียนรู้ล้วนเป็นมรดกเก่าแก่ชั้นหนึ่งทั้งหมดเช่นกัน
แม้แต่พลังปราณก็อยู่ในขอบเขตมกุฎระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า
ลงมือเต็มกำลังพร้อมกัน ก็ประหนึ่งเทพมากมายกำลังเปิดศึกที่สามารถสะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบัน
“น่ากลัวมาก!”
ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณหลายคนจิตใจสั่นไหว กลัวจนหน้าซีด
พวกเขาส่วนใหญ่ต่างดูภาพสถานการณ์ในที่นั้นไม่ชัดแล้ว แต่กลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายน่ากลัวนั่นอย่างชัดเจน ทำเอาพวกเขารู้สึกเหมือนลมหายใจดับสลาย
“หากเป็นข้า จะสามารถต้านทานได้นานเท่าไหร่”
เหล่าบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอต่างสีหน้าเคร่งขรึม จิตใจจดจ่อ
การต่อสู้นี้ทำให้พวกเขาต่างตึงเครียด จิตใจสั่นไหวไม่หยุด
ความแข็งแกร่งของพวกมู่ไจซิง ความห้าวหาญดุดันของหลินสวิน ล้วนนำมาซึ่งการโจมตีอันรุนแรงและน่าทึ่งให้กับพวกเขา
ในฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎ ทอดสายตามองไปทั่วหล้า คนรุ่นเดียวกันที่ควรค่าต่อการให้ความสำคัญของพวกเขามีน้อยมากๆ แล้ว
แต่การต่อสู้วันนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ครั้งหนึ่งในมกุฎมรรคาอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้สุดท้ายหลินสวินจะแพ้ ด้วยความองอาจที่เขาแสดงออกว่าในวันนี้ ก็เพียงพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งในใต้หล้าตกตะลึง!
แต่หลินสวินในตอนนี้ไม่ได้พ่ายแพ้ และไม่ได้เผยสัญญาณความพ่ายแพ้เลยแม้แต่น้อย
ถึงขั้นที่ภายใต้การล้อมโจมตีจากทั่วทิศ เขายิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญ ราวกับเซียนแห่งยุคคนหนึ่ง แผลงฤทธิ์พลิกฟ้าภายใต้เวิ้งฟ้า
“ดี! ในที่สุดก็น่าสนุกขึ้นบ้างแล้ว”
ผมดำของเขาปลิวสยาย ดวงตาดำดุจสายฟ้า หัวเราะเสียงดัง ตอนนี้จิตต่อสู้ทั่วตัวเขาจึงถือว่าเดือดพล่านอย่างแท้จริง
เขาสะบัดหมัดออกไปอีกครั้ง
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นพลังหมัด หรือพลังกับนัยเร้นลับที่ประทับอยู่ในหมัด ล้วนเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อีกครั้ง
เรียบง่ายแต่สง่างาม กว้างใหญ่แต่ว่างเปล่า ราวกับเซียนแสดงยุทธ์!
หลินสวินก้าวเดิมหมัดปล่อยตามไป ประดุจเจินหลงที่จำศีลมานาน คำรามใส่ห้วงอากาศว่างเปล่าอย่างเย่อหยิ่ง พลิกตัวปั่นป่วนห้วงอากาศ
สีหน้าของมู่ไจซิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง
คิดไม่ถึงเลยว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินดันยกระดับขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนรับไม่ไหว
ตูม โครม!
มู่ไจซิงใช้ไพ่ตายโดยไม่ลังเลสักนิด
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ค่ายกลกระบี่ที่รวมตัวจากกระบี่สามเล่มอย่างสายฟ้าเขียว น้ำค้างม่วง และขาวเงิน ตวัดเส้นโค้งพร่างพรายสายหนึ่งออกมา ประดุจลักษณ์แห่งจักรวาล แฝงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มเปี่ยม โปร่งแสง กำเนิดต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
แต่อานุภาพนี้กลับแข็งแกร่งจนทำเอาอริยะบางส่วนไม่สามารถสงบได้
ค่ายกลกระบี่ระดับนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ!
ตูม!
เพียงแต่ตอนที่หมัดกระบี่ปะทะกัน กระบี่เทพทั้งสามเล่มถูกซัดปลิวกลับไปโดยพลัน ครวญร้องไม่หยุด ค่ายกลกระบี่แน่นอนว่าก็ถูกทำลายไปด้วย
มู่ไจซิงถอยแล้วถอยอีก ถูกซัดจนเลือดลมพลิกตลบ รอยเลือดไหลออกจากมุมปาก ในใจเขาตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
คนผู้นี้ น่ากลัวเพียงใดกันแน่
ต้องรู้ว่าในระหว่างนี้หลินสวินยังสู้กับคนอื่นๆ อีกหลายคนไปพร้อมกัน แต่กลับยังสามารถแข็งกร้าวปานนี้ จะไม่ให้มู่ไจซิงไม่ตกใจได้อย่างไร
“ไม่เลว มาอีก!”
หลินสวินคำรามยาวคราหนึ่ง ราวกับคลื่นเสียงมังกรครวญที่สะเทือนไปทั่ว เสื้อผ้าโบกสะบัด แสงมรรครอบตัวเดือดพล่าน สว่างไสวจนราวกับสุริยันที่ลุกโชน
สิ่งที่เขาโคจรคือนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ แต่ในมือเขา นัยเร้นลับและพลังมหามรรคทั้งหมดล้วนหยิบใช้อย่างคล่องแคล่วตั้งนานแล้ว ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบใหม่
หมัดเดียวสะเทือนฟ้าดิน แฝงอานุภาพไร้เทียมทานที่ทำลายสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดาย
มู่ไจซิงลมหายใจสะดุด เป็นครั้งแรกที่เลือกจะหนี ความแข็งแกร่งของหมัดนี้ แม้แต่เขาก็ไม่ยินยอมไปตั้งรับ ทำได้เพียงหลบหลีกอานุภาพอันแหลมคมนี้
ในเวลาเดียวกันในใจเขาก็อดเดือดดาลไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้ หลินสวินเจาะจงลงมือกับเขาคนเดียว หรือคิดว่าเขาสามารถรังแกได้งั้นหรือ
เพียงแต่พอเขาคิดจะหนี หลินสวินกลับตามมาเหมือนเงาตามตัว บีบใกล้ทุกย่างก้าว ทำเอาเขาหนีจนหมดทาง ไม่อาจหลบหลีกได้อีก
พวกจู๋อิ้งเสวี่ยเองก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของมู่ไจซิงไม่สู้ดี โจมตีจากทิศทางอื่นๆ เต็มกำลัง แต่การโจมตีของพวกเขาล้วนถูกหลินสวินสลายไปทั้งหมด
ทั้งตัวเขาราวกับหมื่นวิชาไม่อาจรุกราน เพียงความคิดขยับไหว ก็มีวิชามากมายพรั่งพรูออกมา สลายการโจมตีเป็นชั้นๆ พวกนั้น!
จริงอยู่ว่าในการต่อสู้ครั้งนี้เขาคนเดียวรับศึกแปดด้าน แต่สถานการณ์ของทั้งสนามรบ กลับถูกเขาที่ตัวคนเดียวบงการ ไม่ได้เป็ฯฝ่ายถูกกำราบ!
ผู้คนที่สังเกตเห็นภาพนี้ต่างตะลึงอย่างต่อเนื่อง
ตัวคนเดียวกวาดล้างเหล่าศัตรูราวกับไร้ตัวตน ทะลวงท่องพาดขวาง อานุภาพคมปราบ ไม่มีใครสามารถบดบังได้!
ภาพนี้ทำเอาอริยะต่างงุนงง
“มาอีก!”
หลินสวินเบิกบานไร้กังวล ความทอดถอนใจหนึ่งเดียว บางทีอาจอยู่ที่คู่ต่อสู้เหล่านี้แม้ควรค่าแก่การต่อสู้ แต่ยังไม่เคยกระตุ้นพลังสูงสุดของเขา
เช่นพลังหลอมกาย
หรือพลังหลอมจิต
พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้หลินสวินใช้เพียงพลังปราณในการต่อสู้เท่านั้น!
ปัง!
ในเสียงกระแทกน่ากลัว ถูกมู่ไจซิงที่ถูกหลินสวินจับจ้องสุดท้ายถูกหมัดหนึ่งซัดปลิวออกไป แม้แต่หน้าอกยังยุบลง จมูกปากกบเลือด
ทั้งใบหน้าล้วนขาวซีดราวกับกระดาษในชั่วพริบตา
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นในสนามระลอกหนึ่ง
มู่ไจซิงนับได้ว่าเป็นผู้นำของศัตรูต่างดินแดนเหล่านั้น ทว่าตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงตอนนี้ กลับถูกหลินสวินไล่ตามต่อเนื่อง กดดันทุกย่างก้าว จนถึงตอนนี้ไม่ทันไรก็ถูกเอาชนะและโจมตีจนบาดเจ็บแล้ว!
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงแน่
“ความสามารถแค่นี้หรือ”
หลินสวินยิ้มบางๆ ดวงตาดำน่าสะพรึง
มู่ไจซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง พลันสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เทพสามเล่มโฉบออกมา เรียงเป็นรูปอักษรผิ่น (品) แล้วพุ่งสังหารลงมา
เขาย่อมไม่จำยอม ยังคงสู้ต่อ!
ปัง!
แต่ในครู่ต่อมาการโจมตีของมู่ไจซิงถูกตีแตก อานุภาพของหลินสวินราวกับมังกรออกจากหุบเหว บุกไปทางไหนก็แหลกลาญทุกที่ ทำลายล้างอย่างง่ายดาย
ก็เห็นมู่ไจซิงปราชัยทุกก้าว ถูกกำราบจนกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง สีหน้าเองก็ขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ จนจะโปร่งใสอยู่รอมร่อ
ในระหว่างนี้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อย่างจู๋อิ้งเสวี่ยสู้สุดพลังเข้าสกัดกั้น แต่การโจมตีทั้งหมดล้วนถูกหลินสวินสลายไปอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น
นี่ทำให้ในสายตาของพวกเขาต่างแฝงความสะท้านสะเทือนเสี้ยวหนึ่ง
คิดไม่ถึงเลยว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินจะแกร่งกล้างเพียงนี้ ตัวคนเดียวกลับประหนึ่งภูเขาเทพอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้!
“เจ้าไม่ไหว”
ทันใดนั้นหลินสวินเปิดปาก เสียงสะเทือนทั้งลาน
ก็เห็นมู่ไจซิงที่อยู่ห่างไปเลือดอาบเต็มตัวไปนานแล้ว ใบหน้าไม่เหลือสภาพ เผ้าผมยุ่งเหยิง แม้แต่ร่างกายยังสั่นไหว เห็นได้ชัดว่ากำลังจะยืนหยัดไม่ไหว
เขาสีหน้าย่ำแย่
ทั้งลานเงียบกริบ ในใจทุกคนต่างปรากฏความตะลึงอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ท่าทางที่กวาดล้างสนามรบ หยิ่งทระนงผงาดกร้าว ราวกับเทพไม่มีผิดเพี้ยน!
แต่ตอนนี้หลินสวินในสนามรบคล้ายยังไม่สมใจอยาก ทิ้งมู่ไจซิงที่สู้ต่อไม่ไหวแล้วอย่างไม่ลังเล เข้าไปโจมตีใส่จู๋อิ้งเสวี่ย
สำหรับผู้หญิงที่ปากร้ายและโอหังอย่างที่สุดคนนี้ หลินสวินย่อมไม่เกรงใจ
เพียงครู่เดียวเท่านั้นหลินสวินก็ง้างฝ่ามือ สะบัดใส่จนอีกฝ่ายกรีดร้องเสียงแหลม เสียงตบกกหูดังลั่นไปทั่วท้องฟ้า
——