Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1493 ทั้งหมดล้วนเป็นมกุฎ เกียรติภูมิอยู่ในรุ่นพวกเรา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1493 ทั้งหมดล้วนเป็นมกุฎ เกียรติภูมิอยู่ในรุ่นพวกเรา
บรรยากาศภายในห้องโถงอึดอัด พาให้หายใจไม่ออก
ดินแดนรกร้างโบราณของพวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับพวกเราแปดดินแดน
คำถามที่บีบบังคับกันเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสหอฤทธิ์เทพทุกคนสีหน้าไม่น่าดู อัดอั้นอย่างที่สุด
ชือเชียนชิวเห็นเช่นนี้ หว่างคิ้วพลันเผยความดูถูก
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านไป พวกคนที่อยู่รอดในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านี้ก็ยังนิสัยขี้ขลาดไม่เอาไหน!
เป็นตอนนี้เองที่ท่านเซิ่นเผยยิ้ม ผายมือออกไปทำท่า ‘เชิญ’
ไม่ได้พูดอะไร
แต่ความหมายชัดเจนหมดจด!
ชือเชียนชิวอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็อัดอั้นจนหน้าแดง ออกจะแขวนหน้าไว้ไม่อยู่นัก พูดเสียงต่ำลึก
“คิดจะรนหาที่ตายจริงๆ หรือ”
เสียงแฝงความโกรธ เหี้ยมโหดหาใดเปรียบ
ท่านเซิ่นเก็บมือพูดอย่างราบเรียบ “เจ้าเป็นแขก พวกเราให้เกียรติเจ้า หากยังดื้อดึงไม่ไป อย่าหาว่าพวกเราปิดประตูตีหมา”
“ปิดประตูตีหมาหรือ”
ชือเชียนชิวลุกพรึ่บ สายตาสาดประกายศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิ มาเยือนดินแดนรกร้างโบราณในฐานะทูตเพื่อเจรจา ตอนนี้กลับถูกมองว่าเป็น ‘หมา’!
นี่ไม่ใช่การตบหน้าต่อหน้า แต่กำลังดูหมิ่นเขา
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาพลันอึมครึมอย่างที่สุด ไอสังหารพวยพุ่ง
ท่านเซิ่นเหมือนมองไม่เห็น พูดเรียบๆ ว่า “หากเจ้าอยากลงมือ ข้าก็จะเล่นด้วย อย่างมากก็ตีขาหมาของเจ้าให้หัก เคาะกะโหลกหมาให้แหลก จากนั้นข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปด้วยตัวเอง”
“เจ้ากล้า!”
ชือเชียนชิวเดือดดาล เผ้าผมหนวดเคราตั้งชัน
ปัง!
ครู่ต่อมาไม่เห็นท่านเซิ่นลงมือ ร่างกายของชือเชียนชิวก็ราวกับถูกคนยกขึ้น จากนั้นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ทำเอาทั้งโถงใหญ่ยังสั่นขึ้นคราหนึ่ง
ทุกคนในห้องโถงตกใจ มีเพียงท่านเมี่ยวเสวียนที่ถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า ศิษย์พี่ของเขาเป็นสุภาพชนถ่มตนที่จิตใจดี อ่อนโยนอย่างยิ่ง
แต่ยามเผชิญหน้าศัตรู ศิษย์พี่กลับเป็นคนที่เย็นชา แข็งกร้าว และเผด็จการที่สุด!
ก็เหมือนตอนนี้
ชือเชียนชิววิงเวียนศีรษะ ร่างกายนอนคว่ำกับพื้น สีหน้าแข็งทื่อ ราวกับคิดไม่ถึงว่าท่านเซิ่นจะกล้าลงมือจริงๆ
จากนั้นเขาก็เห็นท่านเซิ่นเลิกแขนเสื้อขึ้น เดินหน้าเข้ามาและสั่งว่า “ปิดประตู เริ่มตีหมา ทูตคนหนึ่งเท่านั้น เห่าอยู่ในหอฤทธิ์เทพของพวกเราหลายวันขนาดนี้ ช่างใจกล้าคับฟ้า ไม่ตีขาหมาของเขาให้หัก หอฤทธิ์เทพของพวกเรายังจะมีหน้ายืนตระหง่านในดินแดนรกร้างโบราณอีกหรือ”
พวกท่านเมี่ยวเสวียนอดยิ้มไม่ได้ สายตาไม่เป็นมิตร
ก่อนหน้านี้พวกเขาอัดอั้นและอดทนมานานเกินไปแล้ว!
ชือเชียนชิวหน้าเปลี่ยนสีไปกะทันหัน ตะโกนอย่างเดือดดาล “พวกเจ้ารู้ผลที่จะตามมาของการกระทำนี้หรือไม่ พวกเจ้ารับไหวหรือ…”
ปัง!
ท่านเซิ่นเดินขึ้นหน้า หมัดหนึ่งกระแทกใส่หน้าอีกฝ่าย การกระทำหยาบกระด้างเหมือนอันธพาลต่อสู้กันกลางถนน ไม่มีท่าทางของผู้สูงส่งเลยสักนิด
หมัดเดียวชือเชียนชิวปากจมูกหลั่งเลือด ฟังหลุดร่วง เขาส่งเสียงตะคอกเดือดดาลออกมา ตาเบิกแทบถลน แค้นจนแทบคลั่ง
เขาเป็นกึ่งจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ถูกกฎเกณฑ์ฟ้าดินกดข่ม ทำให้เขาครอบครองได้เพียงพลังปราณระดับอริยะเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังจะมีพลังต่อต้านได้อย่างไร
ปัง!
ท่านเซิ่นยกเท้าเหยียบลง กระดูกต้นขาของชือเชียนชิวก็หักทันที เลือดสดๆ พรูไหล
จากนั้นท่านเซิ่นถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่งเอ่ยว่า “เป็นแขกก็ควรจะมีท่าทางของแขก ทำให้เจ้าบ้านไม่พอใจ ฆ่าเจ้าไม่ได้ จะเล่นงานเจ้าสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ”
ชือเชียนชิวกำลังจะคลั่งแล้ว โกรธจนปอดแทบระเบิด อับอายจนอยากตาย
เขาเป็นถึงทูตซึ่งเป็นตัวแทนของความตั้งใจในแปดดินแดน ยิ่งเป็นกึ่งจักรพรรดิที่ยืนเหนือระดับอริยะ!
แต่ตอนนี้กลับถูกตีอย่างกับหมาตัวหนึ่ง!
เพี๊ยะ!
ไม่รอเขาตอบสนอง ท้ายทอยก็ถูกท่านเซิ่นสะบัดฝ่ามือใส่อย่างแรงทีหนึ่ง โดนตีจนเขาสายตาพร่ามัว ในปากตะเบ็งเสียง “นี่พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย!!”
ท่านเซิ่นขมวดคิ้ว หมัดและเท้าปล่อยออกไปพร้อมกัน กดชือเชียนชิวไว้บนพื้นแล้วซัดอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานร่างของอีกฝ่ายก็บวมแดงขึ้นมา เผ้าผมยุ่งเหยิง ใบหน้าไม่เหลือสภาพ
จนถึงสุดท้ายท่านเซิ่นเหมือนซัดจนพอใจแล้ว ถึงได้ถอนหายใจยาวทีหนึ่งเอ่ยงึมงำ “ไม่ได้ลงมือมานาน ลืมไปเลยว่าข้าก็ต่อสู้เป็น…”
หากหลินสวินเห็นเหรงว่าคงอึ้งจนอ้าปากค้าง ท่านเซิ่นที่สูงส่งน่าชื่นชมในใจเขา ผู้อาวุโสที่ชั้นสูงอย่างแท้จริงคนหนึ่ง กลับลงมืออย่างกระด้างรุนแรงเช่นนี้ ใครจะกล้าเชื่อ
ต่อให้เป็นพวกท่านเมี่ยวเสวียนมุมปากยังอดกระตุกไม่ได้ รู้สึกว่าการกระทำนี้ของท่านเซิ่นดูเหมือนจะไม่สมกับที่เป็นปัญญาชนนัก…
ส่วนบนพื้น ชือเชียนชิวหายใจโรยรินแล้ว
ขาสองข้างของเขาถูกตีจนหักแล้ว กระโหลกศีรษะก็ถูกกระแทกจนไม่รู้แตกไปกี่ชิ้น ดูน่าอนาถอย่างที่สุด
“ศิษย์พี่…”
ท่านเมี่ยวเสวียนเดินขึ้นหน้า ดูกังวลอยู่บ้าง อยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็หยุดไป
ท่านเซิ่นยิ้มพูดอย่างอบอุ่น “เจ้าก็อยากซัดเขาหรือ ได้ ขอแค่ไม่ตีจนตาย เจ้าจะทำอย่างไรก็ตามใจ”
ได้ยินเช่นนี้ร่างของชือเชียนชิวที่ทรุดอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตายสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง เขาถูกตีจนกลัวแล้วจริงๆ
ถึงขั้นที่กังวลว่าท่านเซิ่นจะฆ่าเขาโดยไม่สนใจอะไรแล้วหรือไม่
ควรรู้ว่าหมาจนตรอกทำได้ทุกอย่าง กระต่ายเวลาร้อนรนขึ้นมาก็กัดคนได้ หากท่านเซิ่นจะฆ่าคนโดยไม่สนใจผลลัพธ์ทั้งหมดที่ตามมา ครั้งนี้ชือเชียนชิวก็อย่าคิดจะรอดกลับไปเลย!
ในอนาคตแม้แปดดินแดนจะแก้แค้นให้เขา แต่ถึงตอนนั้นเขาตายไปแล้ว แก้แค้นให้จะมีประโยชน์อะไร
ไม่รอท่านเมี่ยวเสวียนเปิดปากอีกครั้ง ท่านเซิ่นก็สั่งว่า “โยนเขาออกไป แค่กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น ถลกหนังเล็กน้อยไม่ถึงตายหรอก”
ทันใดนั้นพลันมีคนแก่คนหนึ่งเดินขึ้นมา หิ้วชือเชียนชิวที่ทรุดกับพื้นราวกับโคลนกองหนึ่งเดินออกจากห้องโถงไป
“ข้ารู้ว่าเล่นงานทูตเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่เขาทำให้พวกเราไม่พอใจ พวกเราจะให้เขามีความสุขได้อย่างไร”
สายตาของท่านเซิ่นกวาดมองพวกเมี่ยวเสวียน “ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ ดินแดนรกร้างโบราณของเราไม่มีทางถอยแล้ว ในเมื่อหมดทางถอย เหตุใดต้องทนอีก”
ทุกคนต่างเงียบ
“ทนจนหมดความอดทนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทนอีก จะแพ้ชนะ ได้หรือเสีย ลองสู้ก่อนจึงจะรู้ผลลัพธ์!”
ท่านเซิ่นเสียงราบเรียบแต่กลับแฝงพลังอันเป็นเอกลักษณ์
พูดถึงสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าชือเชียนชิวคนนี้ได้รับความอับอายขนาดนี้ พวกเจ้าว่าหลังจากเขากลับไปจะเล่าเรื่องน่าอายเช่นนี้หรือ”
ทุกคนชะงักไปเป็นอันดับแรก จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
แต่ใครก็รู้ว่าการกระทำของท่านเซิ่นในวันนี้ได้ตัดสินแล้วว่า ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่กำลังจะมาถึง ดินแดนรกร้างโบราณมีเพียงทางเลือกเดียว…
สู้สุดชีวิต!
……
การนัดประลองที่เกิดขึ้นเหนือฟ้าหอหลอมจิตแห่งนครหยกขาวจบลงแล้ว
พลบค่ำคืนนั้นบุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์อย่างพวกลั่งเชียนเหิง มู่ไจซิง จู๋อิ้งเสวี่ยซึ่งมาจากต่างดินแดน ล้วนถูกชือเชียนชิวที่ใบหน้าอึมครึมเต็มประดาพาตัวไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีการหยุดพัก
“ผู้อาวุโส พวกเรา…”
ระหว่างทางที่จากไป ใบหน้าของมู่ไจซิงเต็มไปด้วยความอับอาย พูดไม่ออก เพราะในการต่อสู้กับหลินสวิน พวกเขาพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเกินไปแล้ว
คนอื่นๆ ต่างก็ก้มหัว ในใจทรมานจากความอับอาย
สายตาของชือเชียนชิวกวาดมองเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่สีหน้าหดหู่ ท้อแท้ และโกรธเคือง นึกถึง ‘ความอับอาย’ ที่ตนได้รับในหอฤทธิ์เทพ สีหน้าพลันมืดทะมึนสุดขีด
การมาเป็นทูตเยือนดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ไม่สมดังปรารถนา กลับถูกเย้ยหยันกันถ้วนหน้า นี่ทำให้ชือเชียนชิวโกรธจนแทบระเบิด
“ผู้อาวุโส การเจรจากับหอฤทธิ์เทพเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขารับปากว่าจะส่งมอบป้ายคำสั่งเซียนเหินหรือไม่ คิดว่ามีท่านอยู่ พวกเขาคงไม่กล้าปฏิเสธกระมัง”
จู๋อิ้งเสวี่ยพูด คิดจะเปลี่ยนประเด็น เลิกพูดถึงเรื่องการต่อสู้ครั้งนี้
แต่ประโยคนี้ของนางกลับกระตุ้นชือเชียนชิวในทันใด เหมือนกำลังทาเกลือบนแผลอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาชือเชียนชิวใบหน้ามืดทะมึนราวกับก้นหม้อ
“พ่ายแพ้แล้วยังจะพูดไร้สาระมากขนาดนี้ ไม่รู้สึกอายหรือ”
ชือเชียนชิวตวาด
จู๋อิ้งเสวี่ยพลันหวาดหวั่น สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว
พวกมู่ไจซิงสังเกตเห็นรางๆ ว่าราวดูเหมือนการเคลื่อนไหวฝั่งชือเชียนชิวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่เช่นนั้นสีหน้าจะอึมครึมจนน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร
ทว่ามีบทเรียนจากจู๋อิ้งเสวี่ย พวกเขาย่อมไม่กล้าถามมากความอีก
“ไปเถอะ!”
ชือเชียนชิวแค่นเสียงเย็นเยียบคราหนึ่ง พยายามกดความวู่วามที่อยากระบายความโกรธ พาคนทั้งกลุ่มจากไปอย่างรวดเร็วที่สุด
ในวันนั้นคนทั้งกลุ่มก็ไปจากดินแดนรกร้างโบราณ
แต่ดินแดนรกร้างโบราณไม่ได้สงบลง
ความองอาจที่หลินสวินเผยออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ ผลงานการต่อสู้อันโดดเด่นที่ได้รับ ยังคงแพร่สะพัดออกไป ทำให้เกิดความฮือฮา
หลังแดนมกุฎปิดฉากลงหลินสวินก็หายตัวไป หลังจากเงียบไปสองปี ตอนที่เขาปรากฏตัวอีกครั้งก็สร้างผลงานการรบอันรุ่งโรจน์นี้ขึ้น ใครจะไม่ตกใจ
สำนักโบราณมากมายต่างเริ่มใคร่ครวญ ในบรรดาบุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณในปัจจุบัน เกรงว่าหลินสวินคงจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทานแล้ว มีอานุภาพของผู้นำในหมู่คนระดับเดียวกัน!
ถึงขั้นที่หลายสำนักยังจัดหลินสวินไว้ในรายชื่อคนที่ห้ามล่วงเกิน เจ้าหมอนั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้ ตัวคนเดียวไร้พรรคไร้สำนัก อำนาจอิทธิพลที่ปรากฏกลับไม่เคยหยุด จนวันนี้บารมีของเขาสามารถชักนำคลื่นลมในดินแดนรกร้างโบราณได้!
สิ่งที่ทำให้คนใจสั่นกว่าคือ ไม่มีใครรู้ว่าขีดจำกัดที่แท้จริงขอหลินสวินอยู่ตรงไหน รวมทั้งในการต่อสู้กับพวกมู่ไจซิง ก็ดูเหมือนยังไม่ได้บีบให้เขาสำแดงศักยภาพทั้งหมดออกมา
ลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนที่สุดคือ หลังจากหลินสวินกำราบศัตรูทั้งหมดในการต่อสู้แล้วก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ สะดุดตายิ่งนัก!
มีเพียงขุมอำนาจที่เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับหลินสวินที่อารมณ์ความรู้สึกสับสนที่สุด
พวกเขาอยากให้หลินสวินตายเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็รู้ดีว่าต่อหน้ากระแสในใต้หล้าตอนนี้ ชื่อเสียงของหลินสวินได้ทะยานสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ใครกล้าไปเล่นงานเขา คนผู้นั้นก็เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก
อย่างการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในนครหยกขาวครั้งนี้ นั่นเป็นถึงอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ส่วนหลินสวินก็เป็นศัตรูอันดับหนึ่งในสายตาสำนักกระบี่เทียมฟ้า
แต่สุดท้ายสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ทำได้เพียงบีบจมูกยอมให้เกิดการประลองนี้ และไม่กล้ามีความคิดเล่นงานหลินสวิน
ถึงขั้นที่หลังจากการต่อสู้จบลง ตอนที่หลินสวินออกจากนครหยกขาว สำนักกระบี่เทียมฟ้ายังคอยคุ้มกันอยู่ลับๆ
ช่วยไม่ได้ หากเกิดเรื่องกับหลินสวินในอาณาเขตของพวกเขา สำนักกระบี่เทียมฟ้าจะต้องเดือดร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่!
แต่ตอนนี้หลินสวินที่ทำให้เกิดความฮือฮาในโลก กำลังนั่งอยู่ในหอสุราหรูหรางดงามที่ห่างไกลจากนครหยกขาวแห่งหนึ่ง
หอสุรานามว่า ‘เซียนเมามาย’ สูงสามพันฉื่อ มีกลิ่นอายโบราณ
ชั้นบนสุดของหอสุรา หลินสวินรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนอย่างองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ หวังเสวียนอวี๋ จี้ซิงเหยา ชื่อหลิงเซียว และบุคคลขอบเขตมกุฎแห่งยุคอีกหลายคนต่างก็อยู่ในนี้
บรรยากาศงานเลี้ยงครื้นเครงมาก และสนิทสนมกลมเกลียว
ไม่มีใครเป็นห่วงว่าจะเกิดอันตรายอะไร เพราะตอนนี้แค่นอกหอสุราเซียนเมามาย ก็มีอริยะหลายคนคุ้มกันอยู่ในที่ลับ!
ควรรู้ว่าในบรรดาคนที่นั่งอยู่ นอกจากหลินสวินแล้ว เบื้องหลังของบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่นๆ ต่างมีสำนักโบราณมากมายหนุนอยู่
ขุมอำนาจสำนักเหล่านี้ จะยอมให้บุคคลขอบเขตมกุฎในชื่อตนเกิดอันตรายได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นเหล่าขุมอำนาจที่มองหลินสวินเป็นศัตรูพวกนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าคงไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ!
…………….