Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1509 พอโกรธก็เลือดขึ้นหน้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1509 พอโกรธก็เลือดขึ้นหน้า
โลกมารโลหิต เมืองอารักษ์มรรค
เมืองนี้แผ่ขยายออกไปถึงพันลี้ กำแพงเมืองสูงตระหง่าน เกรียงไกรใหญ่โต มีสีแดงเลือดทั้งแถบ เห็นรางๆ ว่ามีโครงกระดูกขาวชิ้นแล้วชิ้นเล่าฝังประดับอยู่บนตัวกำแพงมหึมานั้น
ที่นี่ก็คือค่ายทัพใหญ่ของดินแดนโบราณมารโลหิต
สีแดงเลือดของตัวกำแพงสาดละเลงด้วยเลือดสดๆ ของศัตรู ส่วนโครงกระดูกขาวที่ฝังประดับอยู่ในกำแพงนั้น ก่อขึ้นจากซากโครงกระดูกของศัตรู!
สำหรับศัตรูแล้ว ภาพที่เมืองนี้แสดงให้เห็นบรรยายได้ด้วยคำว่าโหดร้ายนองเลือดเท่านั้น
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณมารโลหิตแล้ว เมืองนี้กลับเป็นเกียรติยศแห่งการศึกของพวกเขา! เป็นความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ที่เมธีนับไม่ถ้วนสรรค์สร้างในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งที่แล้ว!
“เล่อมู่จิ้นยอมหลบอยู่ในป่าหลอมจิต แต่ไม่ยอมมาพบกับข้าหรือ”
ณ อาคารอันเกรียงไกรที่สูงที่สุดในเมือง เซวี่ยชิงอีนั่งตัวตรงที่ตำแหน่งประธาน กำลังลูบคางเบาๆ แววครุ่นคิดปรากฏขึ้นในดวงตาเรียวยาว
ร่างผอมบางสูงโปร่งของเขาสวมชุดหรูหราสีเงิน ใบหน้างดงามหาใดเทียบ ผมยาวดำขลับทั้งหัวปลิวสยาย ทั้งตัวเขาดูออกจะเฉื่อยชา
แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างนั่งตัวตรงเอาจริงเอาจัง ไม่กล้าเกียจคร้านสักนิด
เพราะคนผู้นี้เป็นผู้นำในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์ของดินแดนโบราณมารโลหิต ทั้งยังเป็นหนึ่งในแปดยอดนภาครามอีกด้วย!
“เช่นนั้นก็ให้เขาเล่นสนุกเถอะ”
เซวี่ยชิงอีนั่งหลังตรง ชั่วพริบตาทั้งร่างของเขาก็อบอวลไปด้วยพลานุภาพคุกคาม ทั้งตัวเหมือนดาบคมกริบเล่มนึงที่สำแดงประกายหนาวเหน็บเหี้ยมเกรียมออกมา
“ที่เรียกทุกคนมารวมตัว มีเพียงเรื่องเดียว”
เซวี่ยชิงอีชูนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดสามนิ้วออกมา แสดงท่าทางเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “สามเดือน ข้าต้องการให้ในโลกมารโลหิตแห่งนี้ไม่มีแพะสองขาจากดินแดนรกร้างโบราณอีกแม้แต่คนเดียว!”
สามเดือน!
ทุกคนในโถงใหญ่กระสับกระส่าย
บุคคลแห่งยุค ผู้กล้าหญิงทั้งยุค รวมถึงเหล่ามกุฎอริยะที่มาจากแต่ละเผ่าของดินแดนโบราณมารโลหิตต่างมองหน้ากัน
“ข้าเชื่อว่าด้วยพลังของทุกท่านในที่นี้ เพียงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีก็เพียงพอจะสะสางเรื่องนี้ได้อย่างสบาย”
เซวี่ยชิงอีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาเรียวยาวดุจคมกระบี่กวาดมองทุกคนในนั้น
“ส่วนข้าจะอาศัยช่วงสามเดือนนี้ปิดด่านครั้งหนึ่งเพื่อเตรียมทะลวงระดับมกุฎอริยะ หวังว่าตอนข้าออกด่านมา ทุกท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
พอพูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน ก้าวยาวออกไปนอกโถง เงาร่างสูงโปร่งนั้นไม่นานก็หายลับไป
ครู่ใหญ่ ทุกคนในโถงใหญ่ถึงค่อยสนทนากันเสียงเบา
……
วันที่สิบที่เข้ามาในวังใต้ดินในหุบเหว
จู่ๆ หลินสวินที่จมอยู่กับการหยั่งรู้ก็ลืมตาขึ้น
ชั่วพริบตานั้นเหมือนมีคมประกายสายหนึ่งโฉบพุ่งผ่านอากาศ ห้วงอากาศถูกเฉือนเป็นรอยแยกตรงแน่วรอยหนึ่ง ส่งเสียงแหลมเล็กดังฟุ่บๆ
และในตอนนี้เอง นัยเร้นลับของมรดกอักษรสังหารก็ถูกหลินสวินหยั่งรู้ทำความคุ้นเคยแล้ว
“มรดกอักษรปฐมเป็นวิชาควบคุมดาบหัก มรดกอักษรยอดเป็นมรดกที่กระตุ้นอานุภาพของดาบหักถึงขีดสุด…”
“ส่วนมรดกอักษรสังหาร เป็นมรดกเข่นฆ่า!”
ตาดำของหลินสวินวาวโรจน์
พูดง่ายๆ มรดกสามชิ้นแรกของดาบหัก ก็คือควบคุมด้วยวิชาอักษรปฐม กระตุ้นอานุภาพด้วยวิชาอักษรยอด เข่นฆ่าด้วยวิชาอักษรสังหาร!
มรดกอักษรสังหารก็ถือได้ว่าเป็นวิชามรรคที่มีเอกลักษณ์และน่ากลัววิชาหนึ่ง พลังสังหารสะท้านฟ้า สามารถพิฆาตฟ้าผลาญไพรี ปลิดชีพเทพผีได้!
อักษรสังหารตัวเดียว สำแดงคุณสมบัติพิฆาตของมรดกนี้อย่างหมดจด
ชิ้ง!
เมื่อความคิดของหลินสวินขยับไหว ดาบหักก็พุ่งออกจากฝ่ามือ มองเห็นว่าดาบหักในตอนนี้ขาวกระจ่างเหมือนโปร่งแสง ลายมรรคสามลายปรากฏบนพื้นผิว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ มีไอสังหารน่าหวั่นใจเพิ่มขึ้นมา
เพียงมองดูก็ทำให้ร่างกายหนาวเยือก ดวงตาเจ็บแปลบ
‘ยามข้าบรรลุอริยะ ต้องขุดเอาพลังมรดกชนิดที่สี่ออกมาให้ได้’
หลินสวินตระหนักได้ในใจ ตอนนี้ดาบหักเป็นศาสตราราชันบริสุทธิ์ของตนไปแล้ว หากต้องการแปรสภาพเป็นศาสตราอริยะบริสุทธิ์ ย่อมต้องเปิดเผยนัยเร้นลับทั้งหมดก่อน
เช่น พลังมรดกชนิดที่สี่นอกจาก ‘ปฐม’ ‘ยอด’ ‘สังหาร’!
“อ๊าก…!”
“ไม่นะ!!”
ฉับพลันมีเสียงร้องแหลมโกรธเกรี้ยว สิ้นหวังและน่าหดหู่ดังขึ้นจากนอกวังใต้ดิน
สวบ!
หลินสวินเงาร่างไหววูบแล้วหายลับไปจากที่เดิม ต่อมาตัวเขาไปปรากฏอยู่นอกวัง เงยหน้ามองขึ้นไป
ก็เห็นว่าท้องฟ้าเหนือวัง รอยแยกแน่นขนัดสานกันเหมือนแหผืนใหญ่
แต่ในตอนนี้มีเงาร่างผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าตกลงมา ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้สักนิด ตกลงมาเหมือนแมลงที่ถูกผูกมัด
พรูด!
หญิงสาวรูปลักษณ์งดงามคนหนึ่ง ทันทีที่สัมผัสกับรอยแยกห้วงอากาศ ร่างกายก็ถูกพายุห้วงอากาศอันน่ากลัวบดขยี้ระเบิดกระจุย
ตูม!
อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มทรงพลังคนหนึ่งร้องเสียงดังขุ่นเคือง แต่กลับไม่อาจดิ้นรนได้สักนิด ร่างกายถูกรอยแยกห้วงอากาศสามสายที่อยู่ใกล้ๆ ร่วมกันตัดทึ้ง
มองดูจากด้านล่าง ก็เหมือนบนตาข่ายใหญ่ซึ่งสานขึ้นมาจากรอยแยกห้วงอากาศเหล่านั้น มีดอกไม้ไฟนองเลือดหาใดเทียบดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออก
นองเลือด โหดร้าย น่าตกตะลึงเมื่อได้เห็น!
“ไม่นะ ไม่! พวกเจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร!”
เหตุการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป ด้านบนหุบเหวลึกนั้นมีเงาร่างหลายร่างถูกโยนลงมา จากนั้นก็ถูกพลังกฎเกณฑ์อันพิสดารในหุบเหวนั้นผนึกไว้ ตกลงบนรอยแยกห้วงอากาศ ขวัญสลายวิญญาณทลาย สลายไปทั้งกายและจิต
“ต่อให้ข้าเป็นผี ก็จะไม่ปล่อยสวะอย่างพวกเจ้าไป!”
มีคนคำราม เสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฆ่าเถอะ พอข้ากะพริบตาก็จะตามตระกูลเจ้าไป!”
มีคนสีหน้าหนักแน่นไม่กลัวความตาย
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น สายตาของหลินสวินก็เย็นชาถึงที่สุดแล้ว
ผู้ที่ถูกโยนเข้ามาในหุบเหวเหล่านั้น ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ! พวกเขาพกป้ายคำสั่งรกร้างโบราณไว้กับตัว ไม่อาจปิดบังกลิ่นอายได้
แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกฆ่าด้วยวิธีโหดร้ายทารุณหาใดเทียบ!
ไฟโทสะที่ไม่อาจบรรยายได้ลุกโชนในจิตใจหลินสวิน เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่กล้าทำเช่นนี้ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณมารโลหิตแน่
พวกเขามองผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณเป็นแพะสองขา ไม่ต่างอะไรกับหมูกับหมาที่จะฆ่าแกงอย่างไรก็ได้ เหยียบย่ำลบหลู่ถึงที่สุด
และตอนนี้ เหตุใดถึงมีผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณถูกโยนเข้ามาในหุบเหวมากมายขนาดนี้
ง่ายดายยิ่งนัก!
ต้องเป็นการหยั่งเชิงดูว่าตนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันแน่!
“ไอ้ชาติหมาพวกนี้!”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หันตัวเข้าไปในแดนลึกลับวังใต้ดินที่มีป้ายหิน ‘วังฝังสวรรค์’ ตั้งตระหง่านอยู่
‘เสี่ยวอิ๋น พาผีเสื้อมารแยกฟ้าไปด้วย ข้าจะไปฆ่าคนบางคน!’
…..
เหนือหุบเหว
ติงซานเหอยกมือขึ้นโยนเด็กสาวที่สีหน้าพรั่นพรึงไร้ทางสู้คนหนึ่งลงไปในหุบเหวเหมือนทิ้งขยะ สีหน้าเหี้ยมเกรียมตั้งแต่เริ่มจนจบ
“นี่เป็นแพะสองขากลุ่มแรก มีทั้งหมดสิบเจ็ดคน คิดว่าถ้าไอ้สวะตัวจ้อยนั่นยังมีชีวิตอยู่ จะต้องเห็นพวกพ้องเหล่านี้ของเขาแน่”
ติงซานเหอเอ่ย
“ดูท่าทางประหวั่นพรั่นพรึงไร้ทางสู้ของพวกเขาสิ ทำให้ข้าเวทนาไม่หยุด แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้พวกเขาอ่อนแอเล่า”
เล่อมู่จิ้นยักไหล่
เขาเหยียบศีรษะของชายวัยกลางคนชุดดำผู้หนึ่งไว้ใต้เท้า ชายผู้นี้หมอบอยู่กับพื้น สีหน้ามีแต่ความโกรธเคือง ตาแทบถลนจากเบ้า
“สวะอย่างพวกเจ้า ไม่ช้าก็เร็วต้องได้รับกรรม!”
ชายวัยกลางคนชุดดำคำราม
กร๊อบ!
เล่อมู่จิ้นออกแรงที่ปลายเท้า เหยียบศีรษะของชายกลางคนชุดดำจนแหลก น้ำเลือดสาดกระเซ็น สภาพการตายน่าสลดใจถึงที่สุด
“รับกรรมหรือ พูดจาน่าขัน”
เล่อมู่จิ้นแสยะยิ้ม “ผู้แข็งแกร่งดูแคลนคำว่ารับกรรมเสมอ มีเพียงคนอ่อนแอถึงฝากความหวังว่าจะได้แก้แค้นไว้กับการรับกรรมที่ว่า”
เขาหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “ถ้าข้าเป็นแพะสองขาดินแดนรกร้างโบราณที่น่าสงสารพวกนี้ มีชีวิตต่อไปก็เป็นความอัปยศ คงปาดคอตัวเองตายไปนานแล้ว”
ทุกคนต่างยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
กับศัตรู พวกเขาไม่เคยยับยั้งความโหดเหี้ยมของตน!
เมธีดินแดนโบราณมารโลหิตของพวกเขาก็ทำเช่นนี้ ทั้งยังตักเตือนพวกเขาเช่นนี้ตั้งแต่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน
ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน จะอ่อนข้อเมตตาปรานีไม่ได้!
หญิงสาวชุดแดงก็กำลังยิ้ม แต่ในชั่วพริบตานี้รอยยิ้มของนางก็แข็งทื่อทันใด
เงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาอย่างเงียบเชียบจากหุบเหวที่ไม่มีใครกล้าก้าวล้ำเข้าไป มือถือคันธนูที่สร้างจากโครงกระดูกขาวคันหนึ่ง ศรเทพสีดำด้านดอกหนึ่งพาดอยู่ตรงสายธนูสีแดงฉานดั่งโลหิตที่ถูกง้างไว้นานแล้ว
แย่แล้ว!
เปรี้ยง!
เสียงโครมครามดั่งพายุอสนีพลันดังกึกก้อง
ลูกศรดั่งรุ้งเรืองบดขยี้ห้วงอากาศ แทรกสอดไอพิฆาตคับฟ้ายิงอย่างรุนแรงไปหาเล่อมู่จิ้นที่อยู่ไม่ไกล
เล่อมู่จิ้นกำลังยิ้ม รอยยิ้มเจือความดูแคลน
ก่อนหน้านี้เพราะเขาถูกหลินสวินตีพ่าย ตอนนี้ไฟโทสะที่สั่งสมไว้เต็มอกระบายไปกับผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่ถูกโยนเข้าไปในหุบเหวเหล่านั้น
และไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในหุบเหวที่อริยะยังไม่กล้าเฉียดใกล้แห่งนั้น
ปัง!
ทุกอย่างรวดเร็วยิ่งนัก โดยไม่ทันตั้งตัว เล่อมู่จิ้นเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน ร่างกายถูกพลังน่าหวาดหวั่นโจมตีจนกระเด็ดออกไป ล้มลงกับพื้นอย่างจัง เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด
แต่เขาไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้
ในสายตาของเขาหญิงสาวชุดแดงถูกศรหนึ่งเจาะทะลุหน้าอก ทั้งตัวนางส่งเสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวด ลอยกระเด็นออกไป
ด้านท้องฟ้าเหนือหุบเหว ศัตรูที่ทำให้เขาแค้นจนกัดฟันกรอดกำลังยืนง้างธนู
ชั่วพริบตานั้นเล่อมู่จิ้นพลันเข้าใจแล้วว่า เมื่อครู่เป็นหญิงสาวชุดแดงออกรับลูกศรนี้แทนเขา หาไม่แล้วคนที่จะถูกยิงทะลุต้องเป็นตนแน่!
“หงหลิง…!”
เล่อมู่จิ้นบันดาลโทสะถึงที่สุดในทันใด ถลาออกไปโอบหญิงสาวชุดแดงผู้นั้นไว้ ยามเห็นว่ากลิ่นอายชีวิตของฝ่ายหลังกำลังจะหมดลง เขาก็ตาแดงขึ้นมา
“คุณชาย บ่าวปรนนิบัติท่านไม่ได้อีกแล้ว ท่าน… ท่านจะต้อง…”
หญิงสาวชุดแดงเสียงอ่อนระโหย ท้ายที่สุดยังไม่ทันพูดว่า ‘ระวังตัว’ ออกมาก็สิ้นสติตายสนิทไปแล้ว
ลูกศรเมื่อกี้ ด้วยพลังของนางเดิมทีก็รับไว้ได้ แต่เพื่อช่วยเล่อมู่จิ้น กลับทำให้นางประสบเคราะห์ ถูกศรยิงทะลุกลางอก จิตวิญญาณถูกบดขยี้เป็นผุยผง
“หงหลิง!!”
เล่อมู่จิ้นคำรามราวกับสัตว์ป่าที่ถูกกระตุ้นให้โกรธเกรี้ยว สีหน้าเหี้ยมเกรียม
พวกติงซานเหอประหวั่นพรั่นพรึง ถูกภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน พวกเขาก็คิดไม่ถึงสักนิดว่าเพียงลูกศรดอกเดียวเท่านั้น จะถึงกับฆ่าอริยะแท้ผู้หนึ่งได้!!
นี่น่าหวาดผวาเกินไปแล้ว!
ไกลออกไปหลินสวินก็ผิดคาดไปเล็กน้อยเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าอริยะอย่างหญิงสาวชุดแดงจะถึงกับเอาตัวเข้าขวางเล่อมู่จิ้นโดยไม่ห่วงตัวเอง
ทว่าเขาคร้านจะใส่ใจแล้ว
ความโมโหในใจปะทุเดือดเหมือนหินหนืด เขาเรียกดาบหักออกมาสำแดงเต็มกำลังโดยไม่ลังเล
ฟึ่บ!
ชั่วพริบตานั้นฟ้าดินพลันมืดมิด ไอพิฆาตน่าครั่นคร้ามไร้สิ้นสุดผุดขึ้น ทำให้สิบทิศต่างตกตะลึง สรรพสัตว์ตื่นกลัว
และดาบหักก็โฉบขึ้นมา ฟันใส่เล่อมู่จิ้น
ไม่อาจบรรยายความดุดันของการโจมตีนี้ได้สักนิด เปรียบดั่งแสงที่สามารถสร้างความตื่นตาไปชั่วกัลป์ปรากฏขึ้นในโลกา ณ บัดนี้
มรดกอักษรสังหาร!
——