Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1543 ห่างไกลล้วนไปถึง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1543 ห่างไกลล้วนไปถึง
ด้านหลังมีผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ จำนวนมากถึงหลายร้อยคน ล้วนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่รอดชีวิตกลับมาจากแดนลับนรกโลกันตร์
เหมือนอย่างเจ้าคางคก อาหลู่ เยวี่ยเจี้ยนหมิง เซียวชิงเหอ… ต่างยืนอยู่ในนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเซ่าเฮ่า คนไม่น้อยต่างฉายแววเศร้าสลดออกมา
“โทษที่พวกข้าไร้สามารถ ไม่อาจผงาดบรรลุอริยะในแดนลับนรกโลกันตร์ได้ ตรงข้ามกลับเป็นตัวถ่วงให้พี่เซ่าเฮ่าอีก!”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงกัดฟัน ถอนหายใจไม่หยุด
คนอื่นๆ ต่างเศร้าซึม
การต่อสู้แย่งชิงกันในแดนลับนรกโลกันตร์ พวกเขาเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง แทบจะถูกบุคคลแห่งยุคจากแปดดินแดนอื่นร่วมมือกันกำราบ
อย่างพวกเขาเหล่านี้ยังโชคดีเอาชีวิตรอดมาได้ ออกมาในสภาพยังมีชีวิต
ทว่าบุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณส่วนมากล้วนฝังกระดูกในแดนลับนรกโลกันตร์นานแล้ว ไม่มีทางกลับออกมาได้อีกต่อไป…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ต่อให้ทุกคนต่างก็เป็นยอดผู้กล้า ผู้กล้าหญิงแห่งยุคในดินแดนรกร้างโบราณ ในใจต่างก็อดโหวงเหวงอยู่ตลอดไม่ได้
เมื่อเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดนอย่างแท้จริงถึง ค้นพบความโหดร้าย นองเลือด และอันตรายของที่แหงนี้
พลังและรากฐานที่พวกเขาเคยภาคภูมิในอดีต ภายใต้การกดกำราบของแปดดินแดนอื่นๆ ล้วนไม่ควรค่าให้พูดถึง!
“พี่เซ่าเฮ่า พวกข้าไร้สามารถ ไม่อาจร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า ตรงข้ามกลับทำให้เจ้าตกสู่สภาพสิ้นหวัง หากอีกเดี๋ยวต้องสู้สุดชีวิตจริงๆ ก็ให้พวกข้าทำมันด้วยตัวเองเถอะ!”
เซียวชิงเหอสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปากเสียงเข้ม ท่าทางเด็ดขาด
ครั้งนี้ตอนที่ออกจากแดนลับนรกโลกันตร์ เดิมพวกเขาก็คิดว่าไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว เพราะตอนนั้นมีมกุฎอริยะไม่รู้เท่าไหร่จ้องตาเป็นมัน ล้อมกรอบทางเข้าออกแดนลับ
ทว่าภายใต้สถานการณ์อันตรายสุดขีดหาใดเปรียบระดับนั้น องค์ชายเซ่าเฮ่ายืนหยัดขึ้นมา ใช้พลังของตนคนเดียวช่วยชีวิตพวกเขาออกมาจากวิกฤตร้ายแรง
นี่จะไม่ให้ใครในพวกเขาตื้นตันได้อย่างไร
แต่ก็เพราะเหตุนี้ กลับทำให้เซ่าเฮ่าประสบกับการล่าสังหารและล้อมกำจัดตลอดทาง จนกระทั่งสถานการณ์วิกฤตสิ้นหวัง ถูกเหล่าศัตรูล้อมกรอบ!
“ใช่แล้ว ด้วยพลังของพี่เซ่าเฮ่าก็เพียงพอจะแหวกวงล้อมแน่นหนาออกไปได้ ส่วนพวกข้าอยู่มาพอแล้ว แทนที่จะเป็นตัวถ่วงไม่สู้วัดกับพวกเขาซะ ถึงตายก็ไม่นึกเสียใจ!”
คนมากมายล้วนตะโกนลั่นอย่างฮึกเหิม
ในฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎ ใครบ้างไม่ทระนงองอาจ ย่อมไม่เต็มใจกลายเป็นตัวถ่วง ทำให้บุคคลแห่งยุคอย่างเซ่าเฮ่าเอาชีวิตมาทิ้งพร้อมกับพวกเขาอยู่แล้ว
เซ่าเฮ่าส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ทุกท่าน คนที่เดรัจฉานเฒ่าพวกนั้นอยากฆ่ามากที่สุกก็คือข้า นี่เป็นสถานการณ์ปิดตายอย่างหนึ่ง แก้ไขไม่ได้แล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ท่าทางแน่วแน่ “ดังนั้นทุกท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว อีกเดี๋ยวหากสามารถใช้ชีวิตของข้าแลกกับหนทางรอดของทุกคนได้ ต่อให้ตาย ใจข้าก็ไม่นึกเสียดายภายหลัง!”
ถ้อยคำราบเรียบ แต่กลับมีปณิธานยิ่งใหญ่ที่อาจหาญพร้อมเผชิญความตาย ทำให้ทุกคนทั้งสะเทือนอารมณ์ ทั้งเศร้าโศก คนมากมายล้วนขอบตาแดงก่ำ
“ทำไม คุ้มค่าหรือ”
มีหญิงสาวตะโกนลั่น
เซ่าเฮ่าอึ้งไป นิ่งเงียบพักหนึ่งก็หยัดตัวขึ้นจากพื้น ชุดสีม่วงพลิ้วไสว บนใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดขาวปานจะโปร่งแสงผุดท่วงท่าบารมีผงาดกร้าว
เขายิ้มกล่าวว่า “ตอนที่ข้าตัดสินใจช่วยชีวิตพวกเจ้า ก็ไม่เคยคิดว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ส่วนตอนนี้… ก็แค่ตายไปเท่านั้น ไยต้องทักท้วง”
เขาหัวเราะลั่น แววตาใสสกาว ท่าทางยิ่งราบเรียบขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มที่เป็นเหมือนตำนานคนนี้ เคยนิ่งปิดด่านเก็บตัวหมื่นปีไร้คนเอ่ยถึง และเคยสร้างชื่อสะท้านใต้หล้า ตอนนี้เขาตัดสินใจเผชิญความตาย ทลายสถานการณ์ปิดตายเพื่อทุกคน!
คุ้มค่าหรือไม่
เขาไม่เคยคำนึงถึง!
ทุกคนนิ่งเงียบ สภาพจิตใจสะท้านไหว เนิ่นนานก็ไม่อาจสงบนิ่งได้
ม่านแสงสีม่วงที่ปิดครอบกลางฟ้าดินกำลังโหยหวนสั่นโคลงรุนแรง มกุฎอริยะทั้งกลุ่มที่อยู่ด้านนอกบุกโจมตีดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็เหมือนหมาป่าหิวโหยฝูงหนึ่ง หมายจะจับคนเขมือบกิน!
“พี่เซ่าเฮ่า”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็เอ่ยปาก สีหน้าเคร่งขรึมและขึงขังอย่างหาได้ยาก เจือแววเคารพจากใจจริง “เมื่อก่อนข้ายังไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้านัก แต่ครั้งนี้หากข้าจินตู๋อีมีโอกาสรอดชีวิต จะต้องช่วยเจ้าแก้แค้นล้างอัปยศอย่างแน่นอน!”
“ข้าก็ด้วย”
อาหลู่เอ่ยเสียงเข้ม
เซ่าเฮ่าอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะลั่นอีกระลอกหนึ่ง แต่จากนั้นเขาก็ส่งเสียงอึดอัดออกมา ริมฝีปากมีเลือดไหลออกมาสายหนึ่ง สีหน้ายิ่งซัดขาวมากขึ้นเรื่อยๆ
“เวลาเหลือไม่มากแล้วจริงๆ…”
เซ่าเฮ่าถอนหายใจเบาๆ เหนือศีรษะของเขา กลิ่นอายที่คละคลุ้งออกมาจากคัมภีร์จักรพรรดิฉบับนั้นก็เริ่มจางลง จวนจะเลือนลับ
“หากมีโอกาส บอกพี่ใหญ่หลินสวินของพวกเจ้าที ว่าสิ่งที่ข้าเซ่าเฮ่ารู้สึกเสียดายมากที่สุดในชีวิต ก็คือไม่เคยวัดฝีมือกับเขาจริงๆ สักครั้ง เขาเป็นคนหนึ่งที่ข้าเลื่อมใสที่สุด และเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้มากที่สุด!”
พูดถึงตรงนี้เซ่าเฮ่าก็ยิ้มสดใส
แววตาของเขาสงบนิ่ง ไม่มีแววไหวหวั่นสักเสี้ยว มองความเป็นตายเหมือนความว่างเปล่า
ตูม!
และพร้อมกันนั้น รอบกายของเขามีกลิ่นอายอริยมรรคน่าสะพรึงไร้รูปคละคลุ้ง พุ่งทะยานเหินขึ้นไป แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงรายล้อมลุกโชน พลุ่งพล่านอยู่รอบกายเขา!
“พี่เซ่าเฮ่า!”
ทุกคนต่างหดหู่ใจหาใดเปรียบ ดวงตาล้วนแดงก่ำ ขบเขี้ยวกัดฟัน กำหมัดสองข้างแน่น
ตูม!
ละอองแสงสีม่วงพร่างฟ้าสาดพรม ม่านแสงที่ปิดครอบรอบบริเวณนั้นสุดท้ายก็ทนแรงกระแทกหนักหน่วงไม่ไหว แตกระเบิดในเวลานี้โดยพลัน
“ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะบ้าคลั่งระลอกหนึ่งดังก้องกลางฟ้าดิน
มกุฎอริยะสิบกว่าคนจากแปดดินแดนปิติยินดีราวบ้าคลั่ง แต่ละคนล้วนไม่ปิดบังไอสังหารและความละโมบของตนสักนิด
ครั้งนี้ไม่เพียงสามารถสังหารบุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณทั้งกลุ่ม ซ้ำยังสามารถช่วงชิงคัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิที่ดุจดั่งตำนานเล่มหนึ่งมาได้อีกด้วย เรียกได้ว่าทำหนึ่งได้ถึงสอง!
เซ่าเฮ่าสีหน้าราบเรียบ มือถือคัมภีร์จักรพรรดิ ตัดสินใจจะสู้สุดชีวิต แหวกเปิดทางรอดสายหนึ่งเพื่อทุกคน
สวบ!
แต่ในเวลานี้เอง บนเวิ้งฟ้าจู่ๆ ก็มีรุ้งวิเศษสว่างเจิดจ้าสายหนึ่งส่องสะท้อน
มกุฎอริยะแปดดินแดนทั้งกลุ่มที่แต่เดิมหมายจะลงมือเคลื่อนไหวต่างหรี่ตาลง ปีกส่งสาร มีศัตรูบุกมาหรือ
แต่จากนั้นพวกเขาก็ไม่ใสใจอีก ทอดสายตามองไปทางเซ่าเฮ่าที่อยู่ไม่ไกล
มกุฎอริยะแปดดินแดนทั้งกลุ่มอย่างพวกเขาออกโรง ต่อให้มีศัตรูบุกมา จะต่างอะไรกับการมาตายเปล่า
เซ่าเฮ่าก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้เช่นนั้น นัยน์ตาหดรัดน้อยๆ
ทันใดนั้นเสียงตวาดก้องสายหนึ่งก็ดังขึ้น
“เอามาซะ!”
ชายกลางคนที่ผมเคราสีแดงชาด ท่าทางห้าวหาญคนหนึ่งแหวกอากาศมาเยือน ฉวยมือไปแย่งคัมภีร์จักรพรรดิในมือเซ่าเฮ่า
มกุฎอริยะคนอื่นๆ ก็แทบจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในจังหวะนี้ สายตาลุกโชน ไหนเลยจะยอมให้คนอื่นแย่งตัดหน้าก่อน
และออกโจมตีโดยไม่ลังเลสักนิดในทันที!
‘ทำลายคัมภีร์จักรพรรดิฆ่าพวกเจ้า เห็นได้ชัดว่าขาดทุนเกินไป…’
เซ่าเฮ่าแววตาสงบนิ่ง บ่นพึมพำในใจ
ที่ปลายนิ้วของเขา คัมภีร์จักรพรรดิซึ่งดุจดั่งสร้างขึ้นจากหยกม่วงสั่นสะท้านดังวู้มๆ ต้องการเพียงความคิดเดียวของเซ่าเฮ่าก็จะแตกสลายทันที
ถึงตอนนั้นแม้จะถูกควบคุมโดยกฎระเบียบฟ้าดิน พลังที่บังเกิดตอนที่คัมภีร์จักรพรรดิถูกทำลาย ก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่มกุฎอริยะพวกนี้จะต้านทานได้เป็นอันขาด
นี่ ก็ถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่เขาเซ่าเฮ่าจะทำได้ก่อนสิ้นใจแล้ว!
พูดเหมือนช้าแต่กลับรวดเร็วยิ่ง การเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนดำเนินไปในเวลาเดียวกัน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็นมกุฎอริยะทั้งกลุ่มที่ลงมือช่วงชิงคัมภีร์จักรพรรดิ หรือจะเป็นเซ่าเฮ่าที่หมายจะแหวกเปิดทางรอด ล้วนไม่คิดจะออมมือแต่อย่างใด!
ทว่ามีพลังดรรชนีสายหนึ่งรวดเร็วยิ่งกว่าพวกเขา!
ดุจดั่งผุดขึ้นกลางอากาศ พุ่งโฉบออกจากห้วงอากาศเบื้องหน้าเซ่าเฮ่า แสงมรรคคละคลุ้งเจิดจ้า นิ้วมือใหญ่โตมหึมานิ้วหนึ่งบดขยี้ออกมาอย่างรุนแรง
ห่างไกลล้วนไปถึง!
ไม่ว่าไกลเท่าไหร่ ล้วนสามารถไปถึง!
ปึง!
ชายกลางคนห้าวหาญที่บุกโจมตีหมายชิงตัดหน้า ร่างกายเหมือนปะทะภูเขาหนักอึ้งก็ไม่ปาน ถูกนิ้วหนึ่งกระแทกลอยออกไปตรงๆ
หืม?
ดวงตาเซ่าเฮ่ามีประกายแสงวาบผ่าน ตัดสินใจเด็ดขาดทันที เปลี่ยนความคิดโดยไม่ลังเลสักนิด โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พลังรอบกายก็พวยพุ่งออกมา
มกุฎอริยะเหล่านั้นล้วนหนังตากระตุก ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง แต่ยังคงไร้หวั่นเกรง บุกสังหารไปทางเซ่าเฮ่าต่อ
ตูม!
พลังรุกโจมตีของมกุฎอริยะสิบกว่าคนน่าสะพรึงขนาดไหน
แม้จะเปลี่ยนความคิดทันใด ลงมือเต็มกำลัง เซ่าเฮ่าก็ยังคงถูกซัดจนเลือดออกเจ็ดทวาร ร่างกายซวนเซถลาออกไป
เพียงแต่ตอนที่มกุฎอริยะพวกนั้นจะสำแดงวิชายุทธ์ต่อไป ก็ถูกปราณกระบี่แน่นขนัดที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้าแถบหนึ่งขวางเอาไว้
ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนมีอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน พลานุภาพดุดันไร้ทัดเทียม ชั่วขณะนั้นถึงกับบีบจนมกุฎอริยะเหล่านั้นมือเท้าพันกันมั่ว
“ใคร”
เซ่าเฮ่าเงยหน้าขึ้นขวับ
“สมควรตาย เป็นเจ้าสารเลวหน้าไหนมาก่อกวน
มกุฎอริยะแปดดินแดนพวกนั้นโมโหเดือดดาล
“เป็นใครกันที่มุ่งหน้ามาช่วยในเวลานี้”
ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทั้งกลุ่มอย่างพวกเจ้าคางคก อาหลู่ที่ถูกเซ่าเฮ่าปกป้องอยู่เบื้องหลังก็พากันเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ
และท่ามกลางฝนกระบี่มากมายนี้ เงาร่างสายหนึ่งทะลวงอากาศมาเยือน ระดับความเร็วดุจดั่งลำแสงสะท้านโลก
ตูม!
หลังจากเขามาถึง ในห้วงอากาศด้านหลังนั้นเพิ่งมีระลอกคลื่นอากาศว่างเปล่าดุจดั่งฟ้าคำรามระลอกหนึ่งดังก้องขึ้น จะเห็นได้ว่าความเร็วในการเคลื่อนย้ายนี้ว่องไวขนาดไหน
เซ่าเฮ่าอึ้งไป ถึงกับเป็นเจ้าหมอนี่?
ทุกคนจากดินแดนรกร้างโบราณต่างพากันเบิกตากว้าง เป็นเขา?
เจ้าคางคกและอาหลู่อดตะโกนลั่นอย่างฮึกเหิมไม่ได้ “พี่ใหญ่!”
คนผู้นั้นโรยตัวลงจากฟากฟ้า สวมอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ ผมดำปลิวไสว นัยน์ตาดำลุ่มลึก ทั่วร่างมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์มหามรรคที่เหนือโลกีย์ดุจดั่งเทพเซียนไหลเวียน
เป็นหลินสวินที่เร่งมาช่วยเหลือเต็มกำลัง!
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่รีบด่วนเช่นนี้ เซ่าเฮ่าหมายจะเดิมพันเป็นตายเปิดเส้นทางรอดสายหนึ่ง ทุกคนล้วนเศร้าสลดแกมเดือดดาล
ใครเล่าจะคิดว่าคนที่แทบไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นมาได้คนหนึ่ง ในเวลานี้กลับปรากฏตัวจากขอบฟ้า ต้านเหล่าศัตรูให้กับองค์ชายเซ่าเฮ่า!
นี่ช่างเหมือนความฝันฉากหนึ่งชัดๆ คนไม่น้อยต่างพากันคิดว่าตาฝาดไป
“คัมภีร์จักรพรรดิเล่มหนึ่งล้ำค่าปานใด ไหนเลยจะมาสิ้นเปลืองกับพวกสุนัขเฒ่าพรรค์นี้ได้”
หลินสวินเหลือบมองเซ่าเฮ่าปราดหนึ่ง ประโยคเดียวก็มองทะลุความคิดในใจอีกฝ่าย “ครั้งนี้ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตพวกเจ้าคางคก เรื่องที่เหลือก็ยกให้ข้าแล้วกัน”
แววตาของเซ่าเฮ่ามีประกายแสงวับวาบ ไม่ได้บอกปัด เขาดูออกแล้ว หลินสวินบรรลุมกุฎอริยะแล้ว! นี่ทำให้ในใจเขาก็สะท้านไม่น้อย
เป็นหลินสวินจริงๆ!
ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทั้งกลุ่มล้วนฮึกเหิมขึ้นมา ในที่สุดทุกคนก็กล้าปักใจเชื่อว่าคือเรื่องจริง หาใช่ภาพลวงตา
สำหรับผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณแล้ว ใครบ้างไม่รู้ว่าหลินสวินเป็นบุคคลแห่งยุคที่จวนจะเป็นตำนานคนหนึ่ง
ตอนนี้เขามาแล้ว ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป!
และเวลานี้มกุฎอริยะทั้งหมดที่มาจากแปดดินแดนสีหน้าล้วนมืดทะมึนหาใดเปรียบ ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำลายกำแพงอุปสรรคนั่นมาได้ คัมภีร์จักรพรรดิเล่มหนึ่งแค่เอื้อมมือก็จะคว้าได้อยู่รอมร่อ
แต่ในเวลานี้ดันมีคนมาก่อกวน ขวางการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทำเอาพวกเขาต่างเดือดดาลยกใหญ่ ไอสังหารพวยพุ่ง
“ตัวคนเดียวก็กล้าแจ้นมาตายเปล่าหรือ”
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าเดือดจัดจนหัวเราะออกมา
สวบ!
เสียงเพิ่งสิ้นสุดฟากฟ้าก็มีเงาร่างสีแดงเพลิงสายหนึ่งโฉบมาด้วยความเร็วสูง เป็นรั่วอู่นั่นเอง!
ครู่เดียวคนของดินแดนรกร้างโบราณก็เดือดพล่านอีกครั้ง
รั่วอู่ แทบจะเหยียบหย่างระดับมกุฎอริยะไล่เลี่ยกับเซ่าเฮ่า ท่วงท่าบารมีสง่าเหนือปวงชน งามวิจิตรสะเทือนโลก ตอนนี้นางก็มาด้วยเช่นกัน!
“มกุฎอริยะสองคน? ฮ่าๆ ก็ยังเปลี่ยนแปลงจุดจบที่มาตายเปล่าของพวกเจ้าไม่ได้อยู่ดี”
มีคนหัวเราะหยันเสียงเยียบเย็น
กลับเห็นรั่วอู่ส่ายหน้า ชี้หลินสวินที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ฆ่าเฒ่าเดรัจฉานอย่างพวกเจ้า เขาคนเดียวก็พอแล้ว ข้าแค่มาเป็นกองหนุน และถือโอกาสช่วยเก็บกวาดสนามรบ”
…………….