Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1547 ปฏิกิริยาตอบสนองของแปดยอดนภาคราม
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1547 ปฏิกิริยาตอบสนองของแปดยอดนภาคราม
ในเวลาเดียวกันนั้น โลกขุมอุดร
ทะเลลมกรด ในตำหนักบนทะเลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง คุนเซ่าอวี่เอามือไพล่หลัง ยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูบานใหญ่ ทอดมองไปยังบริเวณไกลๆ
“ยินดีด้วยที่นายน้อยบรรลุระดับมกุฎอริยะ!”
บนลานกว้างหน้าโถงตำหนักใหญ่ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของตระกูลคุน เผ่าใหญ่อันดับหนึ่งในดินแดนโบราณขุมอุดร ไม่ว่าจะเป็นราชันระดับอมตะเคราะห์ อริยะแท้ทั่วไปหรือว่ามกุฎอริยะล้วนโค้งกายคารวะ เสียงสะเทือนชั้นเมฆ
คุนเซ่าอวี่!
หนึ่งในแปดยอดนภาคราม เทพสงครามอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ตระกูลคุน ผู้กล้าแห่งยุคที่ดุจดั่งตำนานก็ไม่ปาน ชื่อเสียงสะท้านดินแดนโบราณขุมอุดร
เขาสวมชุดคลุมสีดำแขนกว้าง ดวงตารีแคบ จมูกโด่งเป็นสัน แค่ยืนสบายๆ ก็มีอานุภาพสั่นคลอนเก้าหมื่นลี้
ตามมาติดๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าคนอื่นๆ ในดินแดนโบราณขุมอุดรต่างพากันค้อมกายโค้งคารวะ แสดงความยินดี
บารมีคนผู้เดียว ครอบคลุมทั่วลาน!
คุนเซ่าอวี่เก็บสายตา เหลือบมองทุกคนบนลานปราดหนึ่งก่อนหันตัวเดินเข้าไปในโถงใหญ่
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าไม่เจือแววสั่นไหว
เพียงแต่หลังจากเดินเข้าสู่โถงใหญ่ เขาคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมีผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่งชื่อหลินสวิน บุกสังหารจนโลกมารโลหิตฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ช่วยข้าตรวจสอบที่มาของเจ้าหมอนี่ที”
“ขอรับ!”
ในมุมหนึ่งปรากฏเงาร่างชราที่แก่หงำคนหนึ่ง ก้มหัวรับคำสั่ง ไม่นานก็หายลับไปจากโถงใหญ่
“หลังจากเซวี่ยชิงอีกลับไป เกรงว่าคงโกรธจนเต้นโหยงเหมือนโดดฟ้าผ่าเป็นแน่ ข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าเผชิญหน้ากับความอัปยศครั้งใหญ่ระดับนี้เขาจะเคลื่อนไหวเช่นใด”
คุนเซ่าอวี่นั่งอยู่บนที่นั่งสมบัติเพียงหนึ่งเดียวในโถงใหญ่พลางครุ่นคิดใคร่ครวญ
หลินสวิน?
เขาไม่สนใจ
เขาแค่ใคร่รู้ว่าเซวี่ยชิงอีที่เป็นหนึ่งในแปดยอดนภาครามเช่นเดียวกัน จะควบม้าออกโรง สังหารเจ้าคนที่ชื่อหลินสวินนี่ด้วยตัวเองหรือไม่
…
โลกยอดหยิน
“น่าสนใจ ช่วงที่พวกข้าเข้าสู่แดนลับนรกโลกันตร์ โลกมารโลหิตถึงกับถูกคนผู้หนึ่งอาละวาดจนวุ่นวายไปหมด เสียหน้ายับเยิน”
จู๋อิ้งคงที่สวมชุดคลุมหยก หน้าผากเกลี้ยงเกลา คิ้วคมกริบนัยน์ตาเป็นประกายทำท่าคล้ายขบคิด
จู๋อิ้งคง
หนึ่งในแปดยอดนภาคราม องค์ชายเผ่าจู๋หลงในดินแดนโบราณยอดหยิน!
“น่าชักนัก! ต้องเป็นเจ้าหมอนั่นแน่ๆ!”
อีกด้านจู๋อิ้งเสวี่ยส่งเสียงเดือดดาลออกมากะทันหัน
นัยน์ตาจู๋อิ้งคงทอประกายลุ่มลึกเยียบเย็น “เจ้าจะบอกว่าหลินสวินคนนี้ ก็คือเจ้าคนที่เคยโจมตีเจ้ากับทูตดินแดนอื่นๆ ตอนที่อยู่ดินแดนรกร้างโบราณหรือ”
“ต้องไม่ผิดแน่”
จู๋อิ้งเสวี่ยกัดฟันกล่าวว่า “ครานั้นบนหอหลอมจิตในนครหยกขาว เจ้าหมอนี่จองหองสุดๆ เชียวล่ะ ถูกมองเป็นอันดับหนึ่งบุคคลขอบเขตมกุฎในดินแดนรกร้างโบราณ”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
จู๋อิ้งคงพยักหน้า
“ท่านพี่ ท่านต้องแก้แค้นแทนข้าให้ได้! ข้าไม่ต้องการให้ท่านฆ่าเจ้าหมอนั่น แค่อยากให้จับเป็นเขา ข้าอยากจะเลี้ยงเขาให้กลายเป็นทาส ชั่วชีวิตได้แต่หมอบราบใต้ฝ่าเท้าข้า!”
พอจู๋อิ้งเสวี่ยนึกถึงการแพ้อนาถในดินแดนรกร้างโบราณ ก็แค้นจนร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย
“ได้ ตามที่เจ้าขอ”
จู๋อิ้งคงแววตาอ่อนโยน ลูบไล้ศีรษะของน้องสาวคล้ายเอ็นดู น้องสาวคนนี้ของเขาไม่เคยแค้นฝังใจใครเช่นนี้มาก่อน
ในเมื่อนางขอร้อง เขาที่เป็นพี่ชายไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่ตอบตกลง
ผู้แข็งแกร่งเผ่าจู๋หลงส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงล้วนอดเผยแววอิจฉาชื่นชมไม่ได้ ทั่วทั้งเผ่าองค์ชายจู๋อิ้งคงวางตัวสันโดษที่สุด แต่มีเพียงน้องสาวเท่านั้นที่ปฏิบัติด้วยความรักใคร่เอ็นดูสุดซึ้ง
“แต่ว่ารอดูปฏิกิริยาของเซวี่ยชิงอีก่อนสักหน่อยดีกว่า หากสามารถยืมมีดฆ่าคนได้ ไยถึงจะไม่ทำเล่า”
จู๋อิ้งคงเอ่ยปากเนิบนาบ
…
โลกต้าหลัว
เบื้องหน้ากระท่อมหน้าจั่วแห่งหนึ่ง
พร้อมๆ กับการรายงานของผู้ติดตามข้างกาย บุรุษที่สวมชุดขนนก ใช้กระบี่บินเป็นปิ่นเหน็บมวยผมคนหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
ส่วนลึกกลางนัยน์ตาของเขาคล้ายกับมีกระบี่สวรรค์พุ่งวาบ สามารถตัดเฉือนหมื่นชีวิต ทับทลายธารดารา
“ศิษย์น้องมู่ เจ้าเคยประมือกับหลินสวิน คิดว่าเจ้านี่เป็นคนอย่างไร”
ชายชุดขนนกเอ่ยปาก เสียงยังเจือกลิ่นอายดังชิ้งๆ ดุจเสียงครวญกระบี่ กดทับจิตใจผู้คนตรงๆ น่าสยดสยองหาใดเปรียบ
เจี้ยนชิงเฉิน!
ผู้สืบทอด ‘หอกระบี่ฟ้า’ สำนักกระบี่อันดับหนึ่งดินแดนโบราณต้าหลัว หนึ่งในแปดยอดนภาคราม อัจฉริยะมรรคกระบี่ที่หาพบได้ยากในหมื่นยุคคนหนึ่ง
ในดินแดนโบราณต้าหลัวที่ทั่วทั้งดินแดนต่างฝึกปราณกระบี่ ชื่อเสียงของเจี้ยนชิงเฉินก็เหมือนอาทิตย์ดวงใหญ่เจิดจ้ากลางฟากฟ้าคนหนึ่ง
มรรคกระบี่ของเขาเรียกได้ว่าองอาจ อำนาจสยบสิบทิศในหมู่คนรุ่นเดียวตั้งนานแล้ว!
“แข็งแกร่งและเผด็จการยิ่ง ตอนที่ยังไม่บรรลุอริยะ พลังต่อสู้ของเขาก็แทบจะเทียบกับศิษย์พี่ได้ ให้ความรู้สึกลึกสุดหยั่ง ไม่อาจสั่นคลอนแก่ผู้คน”
มู่ไจซิงสีหน้าซับซ้อน นึกถึงความพ่ายแพ้อันน่าอนาถครั้งนั้นที่เคยประสบยามใช้ฐานะทูตมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ จนป่านนี้เขาก็ยังรู้สึกสั่นกลัวอยู่ในใจ
“อ้อ ดินแดนรกร้างโบราณยังมีคนระดับนี้อยู่ด้วยหรือ”
เจี้ยนชิงเฉินที่เดิมทีเพียงเอ่ยถามส่งๆ คราวนี้ในที่สุดก็เกิดความสนใจขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
“เขาเองก็คาดไม่ถึง ดินแดนรกร้างโบราณที่ตกต่ำตั้งนานแล้วนั่น เหตุใดถึงมีปีศาจที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจคนหนึ่งโผล่มาได้ ตอนนี้เขาก็บรรลุมกุฎอริยะแล้ว ซ้ำยังก่อคลื่นลมครั้งใหญ่ขึ้นในโลกมารโลหิต เมื่อดูจาดจุดนี้ ต่อให้อยู่ในระดับมกุฎอริยะ เขาก็หาใช่คนที่คนทั่วไปจะเทียบชั้นได้”
มู่ไจซิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง วิเคราะห์อย่างจริงจัง
เจี้ยนชิงเฉินฟังเงียบๆ จนจบก็พยักหน้ากล่าวว่า “น่าทึ่งมากจริงๆ หลังจากดินแดนรกร้างโบราณตกต่ำไปเนิ่นนาน ก็ถือกำเนิดบุคคลแห่งยุคเช่นนี้ขึ้นมาคนหนึ่ง ไม่น่าแปลกเท่าใดนัก”
เขาชะงักไปเล็กน้อยค่อยกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ว่า ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถรับเพลิงโทสะของเซวี่ยชิงอีไหวหรือไม่ หากเขาสามารถรอดชีวิตมาจากเงื้อมมือของเซวี่ยชิงอีได้…”
มู่ไจซิงหูตั้งชันในทันที
แต่ท้ายที่สุดเจี้ยนชิงเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาหลับตาลง นั่งสมาธิสงบจิต
มู่ไจซิงคิดจะพูด แต่สุดท้ายก็ยังเก็บเอาไว้
เขารู้ บุคคลอัจฉริยะระดับศิษย์พี่เจี้ยนชิงเฉิน ไม่จำเป็นต้องให้ตนไปเตือนสติเลยสักนิด
…
สถานการณ์คล้ายคลึงกันยังเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของสมรภูมิเก้าดินแดน
โลกจิ่วหลี
ชืออู๋ซู่หนึ่งในแปดยอดนภาคราม บุคคลชั้นนำขุมอำนาจดินแดนโบราณจิ่วหลีทำเพียงเอ่ยปากแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “ในดินแดนรกร้างโบราณก็มีแต่เจ้านี่คนเดียวที่พอเข้าตา แต่สุดท้ายก็ยากจะหนีความตาย”
โลกอสูรดาว
ทายาทสายตรงเผ่าจักรพรรดิตระกูลสือ บุคคลชั้นนำขุมอำนาจดินแดนโบราณอสูรดาวสือพั่วไห่ได้รู้ข่าวเหล่านี้ ก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ไม่ถูกโฉลกเซวี่ยชิงอีตั้งนานแล้ว ตอนนี้โลกมารโลหิตของเขาเจอเคราะห์ใหญ่ คงต้องเอาหน้ามุดดินแล้ว!”
โลกเพลิงสวรรค์
“หลินสวิน? มนุษย์ขี้ปะติ๋วคนหนึ่งไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง สถานการณ์ต้องพ่ายแพ้ของดินแดนรกร้างโบราณ อย่างไรก็ไม่ใช่เขาคนเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้!”
เลี่ยเฉียนทายาทเผ่าจักรพรรดิตระกูลเลี่ย หนึ่งในแปดยอดนภาครามเอ่ยเสียงกระหึ่ม วิจารณ์อย่างเจือแววเหยียดหยัน
โลกหม่อนบูรพา
ฮว่าหงเซียวที่หัวล้าน เท้าเปล่า นัยน์ตาเพลิง ใบหน้าแปลกพิสดาร หลังจากได้รู้ข่าวก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า “เจ้านี่จะต้องตาย ดินแดนรกร้างโบราณต้องแพ้พ่าย สถานการณ์ในภาพรวมไม่อาจเปลี่ยนได้!”
ในฐานะสำนักอันดับหนึ่งของดินแดนโบราณหม่อนบูรพา ศิษย์สืบทอดสายตรงอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์สำนักมรรคเทพ คำพูดของเขา ไม่มีใครกล้าเคลือบแคลง!
…
โลกมารโลหิต
เมืองอารักษ์มรรค หอชัยชนะ
ใต้เท้าเซวี่ยชิงอีกลับมาแล้ว!
จังหวะนี้สายตาไม่รู้กี่คู่ในเมืองล้วนรวมอยู่ที่หอชัยชนะ แต่ละคนต่างลนลานไม่สงบ หายใจแรงยังไม่กล้า
เมืองอันกว้างใหญ่ บรรยากาศถึงกับเงียบสงัดแปลกพิกล
และในโถงใหญ่ชั้นที่เก้าของหอชัยชนะ อากาศดุจดั่งจับตัวแข็ง กดดันจนทำให้ผู้คนจวนจะหายใจไม่ออก
คนใหญ่คนโตที่มาจากขุมอำนาจต่างๆ ในดินแดนโบราณมารโลหิต แต่ละคนประหนึ่งนั่งบนพรมเข็ม ก้มหน้างุด ภายในใจบีบรัด ไม่กล้าสบสายตากับเซวี่ยชิงอีที่นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งประธาน
กึกๆๆ…
นิ้วมือเรียวยาวขาวเนียนของเซวี่ยชิงอีเคาะบนเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ กลายเป็นเสียงเพียงหนึ่งเดียวภายในโถงใหญ่แห่งนี้
เขายังคงสวมชุดสีเขียว ผมดำเข้มสนิทแผ่สยาย นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน มือหนึ่งเท้าปลายคาง นัยน์ตาสีแดงฉานหรี่ลง คล้ายกำลังคิดใคร่ครวญ
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
บรรยากาศยิ่งกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ
คนใหญ่คนโตภายในโถงใหญ่เหล่านั้น เกือบทั้งหมดล้วนเป็นมกุฎอริยะ แต่ละคนต่างเป็นบุคคลที่ประหนึ่งนายเหนือหัว แต่ในเวลานี้กลับเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว!
โดยเฉพาะปี้เจี้ยนฉยงผู้อาวุโสหกสำนักมารฟ้าประทาน ใบหน้าล้วนขาวซีด ภายในใจตึงเครียดระส่ำระสาย ตื่นกลัวถึงขีดสุด
ก่อนหน้านี้หลินสวินเปิดฉากสังหารล้างบางขึ้นครั้งหนึ่ง ทำให้ดินแดนโบราณมารโลหิตของพวกเขาเสียหน้าไม่มีชิ้นดี ขวัญกำลังใจก็ถูกโจมตีหนักหน่วง ตอนนี้กลายเป็นตัวตลกในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ตั้งนานแล้ว
ความอัปยศและเคียดแค้นระดับนี้ ล้วนเกิดขึ้นในระหว่างที่ปี้เจี้ยนฉยงคุมอำนาจ นี่จะไม่ให้ในใจเขารู้สึกระส่ำสะระสายได้อย่างไร
เขาในเวลานี้รู้สึกเหมือนนักโทษที่รอคอยคำพิพากษาชัดๆ ยากจะทานทนหาใดเปรียบ
เนิ่นนานเสียงถอนหายใจเบาๆ สายหนึ่งก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบของโถงใหญ่
ปึง!
แต่เมื่อได้ยินเสียงถอนใจสายนี้ ปี้เจี้ยนฉยงคล้ายยืนหยัดไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้นทันที กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ทั้งหมดล้วนโทษที่ข้าไร้ความสามารถ หากจะลงโทษ ข้ายินดีรับไว้แต่เพียงผู้เดียว!”
ทุกคนต่างหันสายตามองไป
บนที่นั่งประธาน เซวี่ยชิงอีลืมตาสีแดงฉานขึ้น เหลือบมองปี้เจี้ยนฉยงปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ในตอนนี้ขุมอำนาจเจ็ดดินแดนอื่นจะต้องกำลังรอดูเรื่องน่าขันของพวกเราอยู่เป็นแน่ เวลานี้ข้าคร้านจะถือสาไล่หาว่าใครถูกใครผิดแล้ว”
กล่าวพลางเขาหยัดกายลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าพยุงปี้เจี้ยนฉยงขึ้นมาแล้วตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวว่า “อาจารย์อา เรื่องนี้ไม่โทษท่าน ไยต้องคุกเข่าด้วย”
ปี้เจี้ยนฉยงอึ้งไป จากนั้นก็เผยแววสะเทือนอารมณ์ออกมา มุมปากสั่นระริก ถึงกับมีความรู้สึกว่าน้ำตาพานจะไหลอย่างหนึ่ง
ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เกิดการบุกโจมตีที่นองเลือดรุนแรงระดับนั้นขึ้น วันเวลาเหล่านี้เขาต้องทุกข์ทน ตื่นกลัวและพรั่นพรึงปานใด
เดิมทีเขาถึงขั้นเตรียมใจถูกลงทัณฑ์ไว้พร้อมแล้วด้วยซ้ำ
แต่ใครจะคาดคิด เซวี่ยชิงอีกลับไม่ได้กล่าวโทษ!
“ชิงอี ข้าจะต้องชดใช้คืนกลับมาให้ได้!”
ปี้เจี้ยนฉยงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวกัดฟันแน่น
คนใหญ่คนโตคนอื่นๆ ในที่นี้ต่างก็ฉายแววแค้นใจ หลินสวินคนเดียวกลับก่อกวนโลกมารโลหิต ทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกันอย่างหนัก กลายเป็นตัวตลก สมควรแล่เนื้อถือหนังเป็นพันชิ้นชัดๆ!
เซวี่ยชิงอียิ้มแล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ กวาดสายตามองทุกคนพลางกล่าวว่า “ได้รับความชอกช้ำใหญ่หลวงเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าข้าย่อมไม่ยอมกลืนความรู้สึกนี้ลงไปแน่ แค่รอดูว่าข้าจะเคลื่อนไหวโต้กลับอย่างไร”
ภายในโถงใหญ่ทุกคนนั่งคุกเข่าวางมือราบตัก พวกเขารู้ดี เซวี่ยชิงอีได้ทำการตัดสินใจต่อเรื่องนี้แล้ว!
“แต่มีหรือข้าจะยอมให้พวกเขาสมปรารถนา”
จู่ๆ เซวี่ยชิงอีก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “อยากเห็นข้าออกโรงไปโจมตีสังหารหลินสวินนั่นด้วยตัวเอง? ไม่มีทางซะหรอก!”
ทุกคนต่างตะลึงอึ้งค้าง ไม่แก้แค้นหรือ
นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าใจสักนิด แค้นใหญ่ระดับนี้ จะไม่แก้แค้นได้หรือ
หากแพร่ออกไป ดินแดนโบราณมารโลหิตของพวกเขาต้องถูกมองว่ายอมกล้ำกลืนความอดสู อ่อนแอไร้สามารถเป็นแน่!
“แค้น ย่อมต้องชำระ เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เซวี่ยชิงอีสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใช้นิ้วมือเคาะเท้าแขนเก้าอี้ไปพลาง เอ่ยปากเรียบเฉยไปพลาง
“หลินสวินนี่ก็คือดาบเล่มหนึ่ง ตอนนี้ทำร้ายพวกเราบาดเจ็บแล้ว ต่อไปก็ต้องทำร้ายผู้อื่นอีกแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าเจ้าพวกที่รอชมเรื่องขบขันพวกนั้นยังจะหัวเราะออกอยู่อีกหรือไม่!”
……………