Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1564 ปลอดภัย
‘กระบี่ของข้าเกิดจากหนึ่ง หวนคืนสู่ไร้สิ้นสุด สรรพสิ่งคือตัวข้า หมื่นวิญญาณแปรเปลี่ยนด้วยตัวข้า มรรคกระบี่ไร้สิ้นสุด เปลี่ยนไปตามโอกาส แก่นจริงแท้แห่งการแปลงกระบี่มากเหลือคณาดั่งเม็ดทราย!’
นี่คือคำโปรยของคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน เผยนัยเร้นลับแห่งไท่เสวียนออกมาได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากหลินสวินก้าวสู่ระดับมกุฎอริยะ จนถึงตอนนี้ได้ใช้จุดชีพจรหนึ่งแสนแปดพันแห่งภายในร่างฟูมฟักปราณกระบี่หนึ่งแสนแปดพันสาย
กระบี่เดียวก่อนหน้านี้เกิดจากหนึ่ง แปลงเป็นจำนวนหนึ่งแสนแปดพัน รวมกับพลังมรรคาทั้งสามอย่างหลอมปราณ หลอมจิต หลอมกายของหลินสวิน ผสานเป็นนัยเร้นลับวิถียุทธ์นานัปการ
แม้เป็นเพียงกระบี่เดียว แต่อานุภาพที่สั่งสมอยู่ภายในนั้น เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลินสวินมีในปัจจุบัน!
ฟ้าดินเงียบสงัด มกุฎอริยะกระบี่ทุกคนขวัญหนีดีฝ่ออย่างสมบูรณ์
พวกเขามีความหยิ่งทะนงและเชื่อมั่นบนมรรคกระบี่แต่กำเนิด แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ของหลินสวิน ความหยิ่งทะนงและเชื่อมั่นทั้งหมดต่างถูกสะบั้นแหลก!
ยามนี้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาเมื่อครู่ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว อกสั่นขวัญแขวน
กระบี่เดียวก็ทำลายพวกเขาได้อย่างหนักหน่วง ต่อให้อยู่ในดินแดนโบราณต้าหลัว คนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ก็แทบจะหาไม่พบ!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลินสวินยังหนุ่ม เดิมก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างเดียว เขายังชำนาญในวิถีสลักวิญญาณด้วย!
นี่มันตัวประหลาดอะไรกันแน่
“คนที่เข้าไปในแดนลับนี้ ใช่เจี้ยนชิงเฉินนั่นที่ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน ‘แปดยอดนภาคราม’ หรือไม่”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
เขายังนิ่งสงบและเฉยชาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่สายตาของทุกคนที่มองไปทางเขากลับเปลี่ยนไปแล้ว ล้วนเจือความตื่นตระหนกที่ปิดบังไว้ไม่อยู่
“ฮึ! จะฆ่าก็ฆ่า อยากให้พวกเราเปิดปากรึ ละเมอเพ้อพก!”
มีคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองความตายเป็นเรื่องธรรมดา
ฟุ่บ!
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง หลินสวินพลันยกมือซัดปราณกระบี่สายหนึ่งออกไป สังหารคนผู้นี้ตายคาที่ จิตสิ้นวิญญาณสลาย
ตั้งแต่ออกจากค่ายทัพโลกรกร้างโบราณมาถึงวันนี้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหลินสวินก้าวเดิน เสาะหา ฝึกปราณตลอดทาง ความเข้าใจที่มีต่อ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง’ ก็ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
ยามนี้การโจมตีที่เขาใช้ได้อย่างชำนาญมีอานุภาพยิ่งใหญ่มหัศจรรย์หาใดเปรียบ อย่าว่าแต่อริยะแท้ทั่วไป ต่อให้เป็นมกุฎอริยะก็ยังยากจะชักดาบต่อสู้!
หากพูดว่าก่อนหน้านี้เขาได้สัมผัสธรณีประตูของการไร้คู่ต่อกรแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ก็เท่ากับก้าวเข้าสู่การเข้าถึงชำนาญ!
พูดได้อย่างไม่โอ้อวดว่าตอนนี้ต่อให้เป็นมกุฎอริยะ ขอแค่ไม่ใช่บุคคลแห่งยุคที่ฝีมือล้ำเลิศพวกนั้น ล้วนไม่อยู่ในสายตาของหลินสวินอย่างสิ้นเชิง
“ไป!”
มีคนตวาด หันหลังจะหนี
ยามนี้พวกเขาต่างบาดเจ็บหนัก สูญเสียพลังและความกล้าที่จะต่อต้านหลินสวินนานแล้ว หากคิดจะเอาตัวรอดก็ได้แต่หนีเท่านั้น
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ซัดปราณกระบี่ไท่เสวียนพุ่งสังหารออกไปกลางอากาศ
ฟุ่บ!
ฝนโลหิตสาดพรม คนที่หนีไปนั้นถูกกระแสปราณกระบี่ปกคลุม ร่างแตกระเบิดในพริบตา ได้แต่ส่งเสียงโหยหวนคราหนึ่งก็ถึงแก่ความตาย
“สู้มัน!”
“ฆ่า!”
มกุฎอริยะกระบี่คนอื่นเมื่ออยู่ภายใต้แรงผลักดันของความตาย แต่ละคนดวงตาแดงไปหมด สีหน้าเหี้ยมเกรียมพากันจู่โจม
หลินสวินทำเหมือนมองไม่เห็น ก้าวไปข้างหน้า ร่างอร่ามเรืองรองแสงมรรคไหลวน เมื่อเขาก้าวเดิน ปราณกระบี่ไท่เสวียนมากมายคำรามก้อง ส่องประกายเจิดจ้า เฉียบคมไร้ใดเปรียบ ม้วนพัดออกไป
ฟุ่บๆๆ!
ก็เห็นว่าทุกหนแห่งที่เขาพาดผ่าน มีเงาร่างแล้วเงาร่างเล่าร่วงกอง ถูกปลิดชีพอย่างง่ายดายเหมือนวัชพืช
มกุฎอริยะกระบี่แล้วอย่างไร
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าก็ไม่ต่างอะไรกับวัชพืชจริงๆ!
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่หลินสวินอยากทำ ทันทีที่ลงมือก็ใช้พลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ยืดยาดแม้แต่น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเผยท่าทีปานทำลายล้าง
แค่สิบลมหายใจ หลินสวินก็ก้าวมาถึงใต้บานประตูลึกลับนั่นแล้ว
ข้างหลังเขามีมกุฎอริยะกระบี่มากมายถูกสังหารหมู่จนราบคาบ!
เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนพุ่งโฉบออกมาจัดการกับทรัพย์หลังศึกอย่างช่ำชองนานแล้ว ในช่วงหลายเดือนมานี้พวกเขาติดตามอยู่ข้างกายหลินสวิน เห็นภาพที่คล้ายกันมามากจนชินตาไปแล้ว
เพียงแต่ในใจพวกเขาก็ยังทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้ง นายท่านเขา… นับวันยิ่งดุดันและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
แต่พวกเขาก็รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะหาจ้าวจิ่งเซวียนไม่เจอมานาน จึงทำให้หลินสวินเงียบขรึมขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าอารมณ์ก็ยิ่งไม่ดี พอฟังไม่เข้าหูก็อาละวาด ก่อเรื่องอยู่เป็นประจำ
ไม่ทันไรเสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนก็จัดการเรียบร้อยและกลับมารวมตัวกับหลินสวิน เห็นว่าหลินสวินไม่คิดจะพูดคุยก็ไม่พูดอะไรมากอย่างรู้จักกาลเทศะ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ยามนี้หลินสวินกลับกล่าวขึ้นมาทันใด “พวกเจ้ากังวลใช่หรือไม่ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะเปลี่ยนเป็นนักฆ่าที่รู้จักแต่การสังหารคนหนึ่ง”
เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนชะงัก จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมกัน
“นายท่าน พวกเรารู้ว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยของแม่นางจิ่งเซวียน แต่ท่านก็อย่าทำให้ตัวเองลำบากเกินไปเลย”
เสี่ยวอิ๋นสูดหายใจลึกกล่าวจริงจัง “ข้าเชื่อว่าแม่นางจิ่งเซวียนเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง ยามนี้แม้จะยังไม่มีข่าวของนาง แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องร้าย อย่างน้อย… ก็ดีกว่าได้รับข่าวร้ายที่แย่กว่ามาก”
หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง แววตากระจ่างใสสงบ กล่าวว่า “ตลอดทางมานี้ข้าใคร่ครวญแต่เรื่องนี้จริงๆ ตอนนี้ดูเหมือนข้าจะเข้าใจแล้ว”
เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนชะงักไปอีกครั้ง เข้าใจอะไร
แต่หลินสวินไม่พูดอะไรมากอีก ยกเท้าก้าวเข้าไปในบานประตูลึกลับนั่น
ในใจเขากล้ายืนยันได้รางๆ ว่า ‘นายน้อย’ ที่มกุฎอริยะกระบี่ทั้งหมดนั้นพูดถึง เกรงว่าคงเป็นเจี้ยนชิงเฉินที่ถูกมองเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณต้าหลัวนั่น!
ยามนี้ในเมื่อเจอแล้ว ย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสครั้งนี้ไปแน่
เจี้ยนชิงเฉิน ผู้สืบทอดหอกระบี่ฟ้า ผู้นำของค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัว หนึ่งในแปดยอดนภาคราม อัจฉริยะมรรคกระบี่ที่หมื่นปียากจะได้เจอ
พลังต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่
…
วู้ม…
พร้อมๆ กับเสียงกัมปนาทแปลกประหลาด เวลาต่อมาหลินสวินก็ปรากฏตัวอยู่ในโลกลี้ลับแห่งหนึ่ง
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ปลอดโปร่ง ทิวเขาทบซ้อนห่างออกไป เมฆลอยล่องหมอกระยับ
นี่คือโลกลี้ลับแห่งหนึ่งที่เหมือนบทกวีและภาพวาด เต็มไปด้วยกลิ่นอายสงบสุข ในอากาศอบอวลกลิ่นอายมหามรรคที่ทำให้ผู้คนใจสงบ
ทันทีที่ยืนอยู่ในนั้น หลินสวินก็รู้สึกเพียงพลังมหามรรคทั่วร่างเปลี่ยนเป็นไหลเวียนผิดธรรมดา ประหนึ่งว่าในชั่วพริบตาก็ประสานเข้ากับภูเขาแม่น้ำในฟ้าดินแถบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สัมผัสถึงมหามรรคที่ถาโถมเข้าใส่ได้อย่างชัดเจน!
ในดวงตาดำของหลินสวินฉายแววประหลาดสายหนึ่ง ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า แผ่จิตรับรู้ออกไป
ตลอดทางก็เห็นภูผาธาราดุจภาพวาด ทิวทัศน์งามตระการ สามารถเห็นเขาเขียวน้ำใสได้ทุกที่ ราวกับแดนพิสุทธิ์ของเซียนสวรรค์แห่งหนึ่ง
ไม่ทันไรเมื่อหลินสวินผ่านป่าไผ่เขียวชอุ่มผืนหนึ่งไปก็พลันชะงัก ใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำอย่างบอกไม่ถูก
ฟุ่บ!
จากนั้นเงาร่างเขาก็ปรากฏอยู่ที่ส่วนลึกของป่าไผ่
ที่นี่มีกระท่อมที่สร้างจากไผ่เขียวหลังหนึ่ง เห็นชัดว่าเคยมีคนอยู่ที่นี่มาก่อน
หลินสวินยกเท้าก้าวเข้าไปข้างใน ในเรือนไผ่สะอาดเรียบง่าย ตกแต่งด้วยโต๊ะและเบาะรองนั่งที่ทำจากไผ่ บนโต๊ะยังประดับด้วยกระบอกไม้ไผ่ปล้องหนึ่ง ภายในปักบุปผาสีฟ้าอ่อนที่รอวันเบ่งบานไว้หลายดอก
หลินสวินสูดหายใจลึก สงบจิตสืบสัมผัส
‘เป็นจิ่งเซวียน นางต้องเคยอยู่ที่นี่แน่!’
ครู่ใหญ่ไอทะมึนที่อัดอั้นอยู่กลางหว่างคิ้วของหลินสวินพลันหายไป นัยน์ตาดำวาววาบ สีหน้าดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยากจะได้เห็น
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการจับพลัดจับผลูในครั้งนี้จะมาได้ถูกต้องแล้ว!
‘ดูเหมือนว่าหลังจากที่นางเข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดนก็พักอยู่ที่นี่มาตลอด มิฉะนั้นคงไม่มีทางสงบใจสร้างเรือนไผ่ไว้แน่!’
หลินสวินสูดหายใจลึก ควบคุมความตื่นเต้นภายในใจ ‘เพียงแต่ตอนนี้จิ่งเซวียนอยู่ที่ไหน’
เขาหันหลังก้าวออกจากเรือนไผ่ แผ่จิตรับรู้ออกไปโดยรอบ
ครู่ใหญ่ในที่สุดเขาก็จับกลิ่นอายคล้ายมีคล้ายไม่มีได้เสี้ยวหนึ่ง พุ่งตรงไปยังที่ห่างไกลอยู่รางๆ
หลินสวินพุ่งโฉบออกไปโดยไม่ลังเล
แต่ไม่ทันไรนัยน์ตาของหลินสวินก็หดรัดทันที เงาร่างโรยตัวสู่พื้นมาอยู่หน้าพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง เอื้อมมือเก็บใบหญ้าใบหนึ่งขึ้นมา
ใบหญ้าเขียวอ่อนผุดผ่อง แคบยาวตรงดิ่ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าถูกกลิ่นอายเฉียบคมหาใดเปรียบสายหนึ่งตัดขาด รอยตัดราบเรียบเกลี้ยงเกลา
เมื่อหลินสวินสัมผัสโดยละเอียด เจตกระบี่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งก็ถูกเขาจับได้อย่างฉับไว
เจตกระบี่สายนี้ราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง เกือบจะไม่อาจสังเกตเห็น ทั้งไม่สะดุดตา แต่ในสายตาหลินสวินกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เขาเห็นคือลักษณะพลังที่กว้างใหญ่ไพศาล ทรงอานุภาพและเผด็จการหาใดเปรียบ กลิ่นอายดุดันถาโถมเข้าใส่!
เหมือนกระบี่วิเศษเล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในฝัก ปลายกระบี่แม้จะถูกบดบังสิ้น แต่เมื่อมันออกจากฝัก อานุภาพของปลายกระบี่จะส่องสว่างยิ่งกว่าจันทร์กระจ่างบนทะเล!
เจี้ยนชิงเฉิน?
นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววเยียบเย็น จิตใจเครียดขมึง
หากจิ่งเซวียนอยู่ที่นี่มาตลอด หลังจากเจี้ยนชิงเฉินเข้ามาในแดนลับนี่ เกรงว่าคงสังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของนางได้ทันที!
จากนั้นหลินสวินก็เคลื่อนตัวเต็มกำลังโดยไม่ลังเล แผ่จิตรับรู้ออกไปราวกระแสน้ำ มุ่งหน้าตามกลิ่นอายที่จ้าวจิ่งเซวียนทิ้งร่องรอยไว้ตลอดทาง
ระหว่างทางเขาก็สังเกตเห็น กลิ่นอายที่คล้ายว่าจะเป็นของเจี้ยนชิงเฉินนั้นดำรงอยู่ด้วย เห็นชัดว่าเขาก็เคยพบจุดน่าสงสัยและกำลังตรวจสอบ
ไม่ทันไรเสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล
หลินสวินพลันเงยหน้าขึ้น จิตรับรู้แผ่คลุมออกไป พริบตานั้นก็เห็นภาพเคราะห์สวรรค์ยิ่งใหญ่สง่างามหาใดเปรียบ
นั่นคือภูเขาสีม่วงทรงพลังสูงตระหง่านลูกหนึ่ง บนท้องฟ้าเหนือภูเขา เมฆาเคราะห์ดำสนิทดุจสีหมึกเข้าปกคลุมเป็นชั้นๆ เหมือนม่านแห่งรัตติกาลนิรันดร์
อสนีเคราะห์เจิดจ้าชวนประหวั่นหลายสายม้วนซัดแผดคำรามอยู่กลางเมฆาเคราะห์ดั่งมังกร ส่งเสียงกัมปนาทเหมือนเทพไท้รัวกลองศึก
นี่คือเคราะห์แห่งการบรรลุอริยะที่เรียกได้ว่าเกรียงไกรยากจะได้เห็น!
ไม่นานแววตาของหลินสวินก็หดรัดทันใด จิตรับรู้ถูกร่างงามที่ยืนอยู่เหนือยอดเขาสีม่วงนั้นดึงดูดอย่างแน่นหนา
ร่างงามทรงสง่าสูงโปร่งนั้นสวมชุดกระโปรงพลิ้วไหว มวยผมดำขลับทั้งศีรษะไว้สูง เผยให้เห็นใบหน้าขาวกระจ่างงามผุดผ่องดุจภาพวาด พริ้งเพราโดดเด่น
นางสันโดษโดดเดี่ยว ยืนตระหง่านอยู่บนหน้าผา ร่างทรงสง่ามีแสงมรรคดุจภาพมายาไหลวน ช่างเหมือนเซียนมาเยือนโลกโลกีย์ มีความงามที่ชวนให้ใจสั่น
เพียงแต่ยามนี้สีหน้าของนางกลับจริงจังอย่างยากจะได้เห็น เงยหน้ามองไปบนแผ่นฟ้ากว้าง ที่นั่นเมฆาเคราะห์ทบเป็นชั้นๆ กลิ่นอายทำลายล้างแผ่อบอวล ไม่นานก็จะมาเยือนแล้ว!
จิ่งเซวียน!
เป็นนางจริงๆ!
พริบตานั้นหลินสวินอดยิ้มไม่ได้ แววตาวาววาบ ในใจเต็มไปด้วยความยินดี
จากกันชั่วคราวหนึ่งปีกว่า ยามนี้ในที่สุดก็ได้พบ เจ้าปลอดภัย ข้าก็ปลอดภัย ความยินดีของการพานพบกันอีก ที่แท้เป็นเช่นนี้!
แต่ไม่ทันไรความยินดีบนสีหน้าของหลินสวินก็ถูกความเยียบเย็นเข้าแทนที่
ในจิตรับรู้ของเขาจับกลิ่นอายอื่นได้อีกสายหนึ่ง กลิ่นอายที่ดูเหมือนราบเรียบลุ่มลึก ความจริงแล้วดุดันและรุนแรงถึงที่สุด
…………..