Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1569 ล้อมเมือง
วันนี้ผู้แข็งแกร่งของค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวได้รับแจ้งว่าเจี้ยนชิงเฉินปิดด่าน เรื่องทุกอย่างมอบให้ผู้อาวุโส ‘ฉินเซียวเซิง’ แห่งหอกระบี่ฟ้าจัดการ
ฉินเซียวเซิง มกุฎอริยะคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงนานแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นผู้คุ้มกันข้างกายที่พึ่งพาได้ที่สุดของเจี้ยนชิงเฉิน
มีเขาครองอำนาจของค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัว จึงไม่ก่อคลื่นลมเท่าไร
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่รู้เบื้องหลัง ไม่มีใครไม่รู้สึกว้าวุ่นใจ!
บางทีอาจปิดข่าวได้ชั่วขณะ แต่มีหรือจะปิดบังได้ถึงตอนท้ายสุด
เจี้ยนชิงเฉินเป็นถึงหนึ่งในแปดยอดนภาคราม เป็นบุคคลระดับผู้นำคนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณต้าหลัว ทันทีที่ข่าวการประสบเคราะห์ของเขาแพร่ออกไป ทั่วทั้งสมรภูมิเก้าดินแดนจะต้องเกิดแรงสั่นสะเทือนแน่!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหากไม่มีเจี้ยนชิงเฉินนั่งบัญชา ภายหน้าค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวของพวกเขา จะเอาอะไรไปช่วงชิงความเป็นใหญ่กับดินแดนอื่น
“ตรวจสอบ! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตรวจสอบให้ได้ว่ามือสังหารเป็นใครกันแน่!”
ฉินเซียวเซิงสีหน้าเยียบเย็น ในดวงตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้นเข้ากระดูก
…
“เจี้ยนชิงเฉินตายแล้ว เจ้าคิดจะกระจายข่าวนี้ออกไปไหม”
ระหว่างทางที่กลับสู่โลกรกร้างโบราณ จ้าวจิ่งเซวียนถามลอยๆ
หลินสวินคิดไปคิดมาก็ส่ายหัวกล่าว “ตอนนี้เกรงว่ายังไม่มีคนรู้ว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังไม่ประกาศออกไปชั่วคราวจะดีกว่า”
“เพราะอะไร”
จ้าวจิ่งเซวียนอดถามไม่ได้ “เจ้าน่าจะรู้ว่าเจี้ยนชิงเฉินเป็นถึงผู้นำของค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัว การตายของเขาสามารถสร้างแรงโจมตีอย่างหนักให้กับค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัว สำหรับพวกดินแดนอื่น เกรงว่าคงยินดีที่ได้เห็นภาพนี้เป็นอย่างยิ่ง”
“และสำหรับค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ นี่ก็เป็นข่าวดีอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน มีประโยชน์อย่างไม่อาจประเมินต่อการสร้างบารมีของเจ้า”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ไม้เด่นเกินไพร ลมย่อมพัดหักโค่น หากให้บุคคลสำคัญของดินแดนอื่นพวกนั้นรู้ว่าเจี้ยนชิงเฉินตายในมือข้า เจ้าคิดว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร”
จ้าวจิ่งเซวียนเข้าใจในพริบตา
เจี้ยนชิงเฉินเป็นหนึ่งในแปดยอดนภาคราม การตายของเขาสามารถทำให้บุคคลระดับผู้นำของแต่ละดินแดนอย่างพวกคุนเซ่าอวี่ จู๋อิ้งคง เลี่ยเฉียนเกิดความหวาดกลัว
ส่วนหลินสวินที่ฆ่าเจี้ยนชิงเฉิน ก็จะถูกพวกเขามองเป็นบุคคลอันตรายอันดับหนึ่งอย่างเห็นพ้องต้องกัน!
ทันทีที่ถูกพวกเขาทั้งหมดจับจ้อง ไม่แน่ว่าอาจจะร่วมมือกันบุกโจมตี ทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการหลินสวิน
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเปิดศึกรอบด้าน รากฐานของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณอ่อนแอเกินไป อาศัยเพียงมกุฎอริยะอย่างพวกข้าไม่กี่คน ยากจะไปชิงความเป็นใหญ่กับขุมอำนาจแปดดินแดนอื่น”
หลินสวินกล่าวเสียงต่ำ “รอภายหน้ายามเปิดศึกรอบด้านอย่างแท้จริง ค่อยแพร่ข่าวการตายของเจี้ยนชิงเฉินออกไป ย่อมต้องมอบการโจมตีที่คาดไม่ถึงต่อขวัญกำลังใจของศัตรูแน่”
จ้าวจิ่งเซวียนมุ่นคิ้วกล่าว “แต่เกรงว่าดินแดนโบราณต้าหลัวคงรู้ข่าวการตายของเจี้ยนชิงเฉินในไม่ช้า”
“เจ้าคิดว่าพวกเขาจะประกาศออกไปไหม”
หลินสวินถามกลับ
จ้าวจิ่งเซวียนชะงักแล้วเข้าใจทันที ยิ้มกล่าว “ถ้าข้าเป็นผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณต้าหลัวจะต้องปิดข่าวนี้ทันทีแน่ ขณะเดียวกันก็จะตรวจสอบว่ามือสังหารเป็นใครโดยเร็วที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยยังกำจัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตายของเจี้ยนชิงเฉินได้”
รอยยิ้มนางเหมือนบุปผชาติ งามบริสุทธิ์ผุดผ่อง นัยน์ตากระจ่างแวววาวเหมือนดวงดาวที่ส่องประกาย หลินสวินอดบีบใบหน้างามของนางไม่ได้ “ฉลาด!”
จ้าวจิ่งเซวียนถ่มน้ำลายออกมาเบาๆ ใบหน้างามแดงระเรื่อ
…
ผ่านไปสองวัน
โลกรกร้างโบราณ เมืองอารักษ์มรรค
กำแพงเมืองสีทองดั่งร่างมังกรทอดยาวขึ้นลง ขดล้อมอยู่บนพื้นดิน อิฐแต่ละก้อนใสสะอาดเหมือนเนื้อหยกหลากสี แผ่แสงสีเลือดแดงสด สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าระหว่างช่องกำแพงยังฝังด้วยกระดูกขาวทับถม
ในจุดที่ห่างเมืองอารักษ์มรรคไปพันจั้ง ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่มาจากดินแดนโบราณขุมอุดรกำลังท้าสู้ โดยมีมกุฎอริยะห้าคนเป็นผู้นำ
“โลกรกร้างโบราณไร้ผู้คนหรือ ถึงได้ไม่มีใครกล้าออกมาสู้”
“ฮึ! ข้าศึกประชิดค่าย แต่พวกเจ้ากลับหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่ขายหน้าบ้างหรือ”
“เหอะ! แพะสองขาสุดท้ายก็เป็นแพะสองขา ขี้ขลาดเป็นอย่างยิ่ง!”
เสียงตวาดด่าเจือความเหน็บแนมและเย้ยหยันดังก้องอยู่กลางฟ้าดิน นั่นคือมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์กลุ่มหนึ่ง แต่ละคนไม่เกรงกลัวสิ่งใด โอหังได้ใจยิ่งนัก
บนกำแพงเมืองอารักษ์มรรค เซ่าเฮ่าสองมือไพล่หลัง สีหน้าราบเรียบไร้คลื่นลมไม่สะทกสะท้าน
แต่ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมายที่อยู่ใกล้ต่างโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี เดือดดาลเกินต้าน
“หนึ่งเดือนก่อนก็ทยอยมีผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจศัตรูแปดดินแดนเกาะกลุ่มเป็นขบวนปรากฏตัว ห้อทะยานมาลาดตระเวนอยู่ที่โลกรกร้างโบราณของพวกเรา ท่าทางกำเริบเสิบสาน หลายวันนี้พวกเขายิ่งได้คืบเอาศอก วิ่งมายั่วยุเอ็ดตะโรถึงหน้าเมือง ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว!”
มีคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“พวกเขาจะต้องได้ยินมาแน่ว่าหลินสวินไม่อยู่ในเมือง จึงกล้ามายั่วยุอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้!”
และมีคนมุ่นคิ้ว รู้สึกว้าวุ่นใจ
หลินสวินจากไปหลายเดือนแล้ว หายไปอย่างไร้ร่องรอย นี่ทำให้คนมากมายอดกังวลไม่ได้ว่าเขาจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรที่โลกภายนอกหรือไม่
“ตอนนั้นหลินสวินคนเดียวก็ปิดล้อมเมืองแห่งหนึ่งของโลกมารโลหิตได้ ยามนี้พวกเรากลับถูกศัตรูแปดดินแดนพวกนี้ล้อมหน้าเมือง นี่จะรังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!”
มีคนสีหน้าอึมครึม
ความจริงทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เมื่อกล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพราะรากฐานของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเขาอ่อนแอเกินไป
พอหลินสวินจากไป ในเมืองก็เหลือแค่มกุฎอริยะสองคนอย่างเซ่าเฮ่าและรั่วอู่บัญชาการ เพื่อปกป้องผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในเมือง พวกเขาสองคนจึงไม่อาจปลีกตัวออกไปโรมรันกับศัตรูต่างดินแดนที่แข็งแกร่งพวกนั้นได้
ตรงกันข้าม ด้านศัตรูแปดดินแดนพวกนั้นกลับมีมกุฎอริยะมากมาย เกาะกลุ่มเป็นขบวนมาก่อกวน เห็นได้ชัดว่ามองออกว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของดินแดนรกร้างโบราณของพวกเขาอ่อนแอ ได้แต่พึ่งพาเมืองอารักษ์มรรคมากั้นลมฝน ด้วยเหตุนี้จึงกล้ามายั่วยุอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้
“พวกเขามายั่วยุเช่นนี้ จุดประสงค์นั้นง่ายมาก หลังจากนี้สองเดือนแดนลับสนามแม่เหล็กก็จะปรากฏขึ้นบนโลก ขอแค่ปิดเมืองได้ ก็จะเท่ากับปิดโอกาสการเข้าไปในแดนลับสนามแม่เหล็กของผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างของพวกเรา!”
เซ่าเฮ่ากล่าวเสียงขรึม “แน่นอนว่าพวกเขาต้องตรวจสอบแล้วว่ายามนี้หลินสวินไม่อยู่ในเมือง จึงมายั่วยุได้อย่างมั่นใจเช่นนี้”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “และแน่นอนว่าถ้าพวกเราทนต่อแผนยั่วยุของพวกเขาไม่ได้ ออกจากเมืองไปเข่นฆ่าโรมรันกับพวกเขา กลับเป็นว่าจะติดกับดักของพวกเขาแทน เมื่อข้าหรือรั่วอู่คนใดคนหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝัน พวกเขาก็จะฉวยโอกาสยกทัพใหญ่มาบุกเมือง!”
สีหน้าทุกคนปรวนแปรไม่หยุด พวกเขาต่างก็รู้ว่าสิ่งที่เซ่าเฮ่ากล่าวมาทั้งหมดคือเรื่องจริง แต่การถูกศัตรูปิดทางอยู่หน้าประตูใหญ่ของบ้านตัวเอง ทั้งถูกยั่วยุอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ ทำให้ในใจพวกเขาต่างเดือดดาลและไม่พอใจยิ่งนัก
สิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นกังวลที่สุดคือ หากแดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือนแล้วพวกเขายังติดอยู่ในเมือง เช่นนั้นจะเอาอะไรไปเสาะหาวาสนาของการบรรลุมกุฎอริยะ
ความจริงในใจเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ก็กลัดกลุ้มยิ่งนัก
แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลัวที่จะห้ำหั่นกับอีกฝ่าย แต่กลับไม่อาจไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทั้งหมดในเมืองอารักษ์มรรค
“ผ่านไปหลายวันแล้ว หลินสวินนั่นไม่เคยปรากฏตัว เท่านี้ก็รู้แล้วว่าข่าวไม่ใช่เรื่องเท็จ เจ้าหมอนี่จะต้องไม่อยู่ในเมืองแน่”
ในจุดที่ห่างเมืองอารักษ์มรรคไป มกุฎอริยะคนหนึ่งกล่าวเนิบช้า
ตอนแรกที่ได้ข่าวว่าหลินสวินไม่อยู่เมืองอารักษ์มรรค พวกเขาก็ไม่แน่ใจ ยามมายั่วยุจึงระวังตัวและรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อหยั่งเชิงมาหลายวัน ไม่ว่าพวกเขาจะหยามหน้าและยั่วยุอย่างไร หลินสวินก็ไม่เคยปรากฏตัวเลย นี่ทำให้พวกเขาค่อยๆ วางใจลง
สำหรับพวกเขาผู้แข็งแกร่งแปดดินแดน ในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ คนเดียวที่ต้องหวาดกลัวมีแค่หลินสวิน ในเมื่อหลินสวินไม่อยู่ สำหรับพวกเขาถือเป็นโอกาสดีที่สุดในการรุกรานโลกรกร้างโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาขุมอำนาจแต่ละดินแดนอย่างดินแดนโบราณขุมอุดร ดินแดนโบราณเพลิงสวรรค์ ดินแดนโบราณยอดหยิน ดินแดนโบราณจิ่วหลี ดินแดนโบราณหม่อนบูรพาจึงไม่มีใครไม่ออกเคลื่อนพล บุกโลกรกร้างโบราณ โหมทำลายและกวาดล้างทั่วทิศ
จุดประสงค์สุดท้ายเหมือนอย่างที่เซ่าเฮ่าคาดเดา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแดนลับสนามแม่เหล็กที่ใกล้จะมาเยือนในสองเดือนให้หลัง!
“ฮึ ต่อให้เจ้าหมอนี่ปรากฏตัว ด้วยพลังของเขาคนเดียว มีหรือจะขวางการเข้าสู่แดนลับสนามแม่เหล็กของผู้แข็งแกร่งในค่ายทัพของพวกเราได้”
“ครั้งก่อนสาเหตุที่ทัพใหญ่เจ็ดดินแดนพังพินาศทั้งกองทัพ กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็ด้วยไม่มีใครคาดคิด ว่าหลินสวินนั่นจะวางกระบวนผนึกอริยมรรคที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งได้”
“แต่ครั้งนี้ต่างออกไป หลังจากแดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือน เมื่อไม่มีการวางกระบวนค่ายกลแล้ว ขอแค่เขาหลินสวินกล้าปรากฏตัว ก็ต้องเจอกับการโจมตีที่มกุฎอริยะทั้งหมดของแปดดินแดนร่วมมือกัน!”
มกุฎอริยะคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ไม่มีใครไม่กล่าวเยาะหยัน
เมื่อพูดถึงข่าวที่ทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนพินาศย่อยยับในครั้งก่อน ก็พาให้พวกเขาตื่นตะลึงไม่หยุด
แต่หลังจากใจเย็นลงก็พบว่า พลังต่อสู้ของหลินสวินบางทีอาจแข็งแกร่ง ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถเทียบเทียม แต่สาเหตุหลักที่ทำให้ทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนพินาศย่อยยับก็คือกระบวนผนึกอริยมรรคนั่น ไม่ใช่พลังต่อสู้ของหลินสวินที่แข็งแกร่งจนกวาดล้างมกุฎอริยะเจ็ดสิบคนได้
นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่พวกเขาผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนกล้ามารุกรานโลกรกร้างโบราณในช่วงนี้
และด้วยหวาดกลัวกระบวนผนึกอริยมรรคที่วางอยู่ในเมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณ จึงทำให้พวกเขาได้แต่กล้ายั่วยุอยู่ไกลๆ ไม่กล้าบุกเข้าไปในเมืองอย่างแท้จริง
“สารเลว! หากมีหลินสวินอยู่ พวกเจ้ามีหรือจะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้”
ทันใดนั้นในเมืองอารักษ์มรรคมีเสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น
นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณขุมอุดรพวกนั้นหัวเราะขึ้นมา เจ้าแพะสองขาที่น่าสมเพชพวกนี้ ได้แต่ใช้หลินสวินมาข่มขู่พวกเขาแล้ว
“น่าเสียดายที่หลินสวินไม่อยู่”
มกุฎอริยะคนหนึ่งกล่าวหยอกล้อ
“ต่อให้เขาหลินสวินปรากฏตัวแล้วอย่างไร ถ้าพวกเราไม่เข้าไปในเมือง เขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้!”
ส่วนอีกคนก็ยิ้มหยัน
“ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลินสวินนั่นไม่เคยปรากฏตัว ไม่ใช่ว่าเขา… เกิดเรื่องไม่คาดฝันไปแล้วรึ”
และมีคนคาดเดาด้วยคำพูดร้ายกาจ
เพียงพริบตาทุกคนที่อยู่บนกำแพงเมืองอารักษ์มรรค ไม่มีใครไม่หน้าเขียว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ยามนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้ซึ้งว่าถ้าไม่มีหลินสวินดูแล สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่หดหัวอยู่ที่นี่ ต่อให้ถูกคนยั่วยุถึงหน้าประตูก็ได้แต่อดกลั้น
เมื่อหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนกลับมาก็เห็นภาพนี้แต่ไกล
“ดูเหมือนว่าช่วงที่เจ้าไม่อยู่ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำยิ่งนัก ถูกศัตรูมารังแกถึงหน้าประตูแล้วก็ได้แต่อดกลั้น”
จ้าวจิ่งเซวียนเหลือบมองหลินสวินเล็กน้อย น้ำเสียงเจือความทอดถอนใจ
ตลอดทางนางได้รู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนึ่งปีมานี้จากปากของหลินสวิน เห็นชัดว่าหากไม่มีหลินสวิน เมืองอารักษ์มรรคที่มั่นคงซึ่งอยู่ห่างออกไปนั้นคงไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้แน่
“ตอนนี้เจ้าก็เข้าใจแล้ว ว่ากันตามจริงสาเหตุก็อยู่ที่มกุฎอริยะของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณน้อยเกินไป ตอนนี้ยังไม่มีความสามารถพอจะไปต่อกรกับดินแดนอื่นอยู่มาก”
“แต่ข้าเชื่อว่าหลังจากแดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือน ทุกอย่างนี้จะต้องเปลี่ยนไปแน่นอน!”
หลินสวินพูดพลางก้าวไปข้างหน้า นัยน์ตาดำเยียบเย็น
…………….