Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1603 ยามค่ายกลพังทลาย
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1603 ยามค่ายกลพังทลาย
บนกำแพงเมือง บรรยากาศกดดันถึงขีดสุด
สีหน้าของพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ จ้าวจิ่งเซวียนอึมครึมเป็นอย่างยิ่ง
ไส้ศึกที่ถูกจับรวมแล้วมีสิบสามคน ภายในนั้นมีเจ็ดคนที่มาจากสำนักโบราณสามแห่งของดินแดนรกร้างโบราณ แบ่งเป็นสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หอดาบจวนม่วง
ที่เหลืออีกหกคนต่างมาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬและเผ่าโบราณอริยชน
ในสิบสามคนนี้ คนที่มีพลังปราณสูงสุดเป็นอริยะสองคน คนอื่นล้วนเป็นราชันระดับอมตะเคราะห์
ยามถูกเซี่ยวชางเทียนจับได้ หนอนบ่อนไส้พวกนี้ก็ตายไปเกือบจะทันที ไม่เหลือเบาะแสอะไรให้สืบได้
“ก่อนตายอวัยวะภายในร่างพวกเขาล้วนแตกระเบิด น้ำเลือดเป็นสีเทาอ่อนน่าประหลาด จิตวิญญาณล้วนกลายเป็นจุณ”
เซี่ยวชางเทียนกล่าวเสียงต่ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าตรวจสอบของติดตัวพวกเขาดูแล้ว ก็ไม่พบเบาะแสอะไรที่ควรค่าแก่การใส่ใจ”
“สรุปได้ว่าพวกเขาถูกศัตรูต่างดินแดนลอบควบคุมก่อนเข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดนนานแล้ว ทำหน้าที่เป็นตัวหมากมาจัดการ”
สีหน้าทุกคนปรวนแปรไม่หยุด
ครั้งนี้ทัพพันธมิตรแปดดินแดนมารุกรานเต็มกำลัง ปิดล้อมเมืองอารักษ์มรรครอบด้านมานานห้าวันแล้ว ในห้าวันนี้สาเหตุที่พวกเขายืนหยัดถึงตอนนี้ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอานุภาพที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบของกระบวนค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์ที่ต้านการโจมตีได้ทุกอย่าง
แต่ตอนนี้ในเมืองกลับมีหนอนบ่อนไส้กลุ่มหนึ่ง สร้างความเสียหายให้กับกระบวนค่ายกลใหญ่!
เซ่าเฮ่าสูดหายใจลึก กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “เดิมทีจากการคำนวณของข้า ถ้าอาศัยพลังของกระบวนค่ายกลนี้ก็พอจะทำให้พวกเรายืนหยัดได้ถึงวันที่แปด ถึงขั้นอาจถึงวันที่เก้า”
“แต่ตอนนี้…”
แม้จะพูดไม่จบ แต่นัยนี้ทุกคนต่างรู้ดี
“เรื่องเกิดขึ้นแล้วต้องเร่งแก้ไข ควรพิจารณาว่าจะรับมือกับสถานการณ์หลังจากนี้อย่างไร”
รั่วอู่กัดฟันกรอด สีหน้าเด็ดเดี่ยว “ทุกท่าน ข้าขอเสนอว่าจากนี้ไปให้แบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งไปเฝ้ารากฐานกระบวนค่ายกลที่วางอยู่ตามจุดต่างๆ ภายในเมืองอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังต้องมีคนไปตรวจสอบผู้แข็งแกร่งในเมืองทีละคน ว่ายังมีหนอนบ่อนไส้แฝงตัวอยู่อีกหรือไม่”
“ตกลงตามนั้น”
จ้าวจิ่งเซวียนรับปากก่อน
คนอื่นก็รู้ว่าสถานการณ์อันตรายถึงขั้นส่งผลต่อความเป็นตายแล้ว ต่างเริ่มดำเนินการโดยไม่ลังเล
คืนวันนั้นทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง เพียงแต่สีหน้ากลับเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม หว่างคิ้วมีความอึมครึมที่ไม่อาจขจัดออกไปวนเวียนอยู่
จากการคาดเดา พลังของกระบวนค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์อย่างมากจะยืนหยัดได้แค่พรุ่งนี้เที่ยง!
“คิดไม่ถึงว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ เห็นอยู่ว่าพวกเรากำลังจะพลิกฉากจบที่ต้องแพ้พ่าย ลบล้างความอัปยศให้บรรพชนได้แล้ว แต่สุดท้าย… ก็ยังล้มเหลว…”
เยี่ยเฉินสีหน้าทะมึน โกรธจนดวงตาแดงไปหมด “ที่น่าชังที่สุดคือแพ้เพราะมือของพวกเดียวกัน!”
คนอื่นก็เคียดแค้นชิงชัง
เหมือนที่เยี่ยเฉินกล่าว ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ พึ่งพาอานุภาพของหลินสวินคนเดียวก็สามารถทำให้สถานการณ์ของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเขาพลิกกลับมาได้ มีพลังไปช่วงชิงชัยชนะสุดท้าย
เดิมนี่น่าจะเป็นผลงานครั้งสำคัญ เป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนของดินแดนรกร้างโบราณ สามารถบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ คงเกียรติคุณไว้ชั่วนิรันดร์!
แต่ตอนนี้…
ความหวังหนึ่งที่แย่งชิงมาไม่ง่ายกลับใกล้จะพังทลาย!
ใครเล่าจะไม่แค้น
ทั้งใครเล่าจะไม่โกรธ
นึกถึงอดีตที่ต่อให้มีผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนรบพุ่งอย่างต่อเนื่อง ยินยอมหลั่งเลือดพลีชีพ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ฝังร่างอยู่ที่นี่ ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณพ่ายแพ้ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนติดต่อกันสองครั้ง
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ด้วยความพ่ายแพ้สองครั้งนี้จึงทำให้แวดวงผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้างโบราณเสื่อมโทรมจนถึงก้นเหว แทบเสียสิทธิ์ที่จะต่อต้านกับแปดดินแดนอื่นอย่างสิ้นเชิง
อันดับในเก้าดินแดนก็รั้งท้ายมาตลอด ถูกศัตรูต่างดินแดนมองเป็นแพะสองขา หยามเหยียดและทำลาย เหยียบย่ำและเข่นฆ่าตามใจไม่ต่างอะไรกับสัตว์!
หากพ่ายแพ้ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้อีก… ดินแดนรกร้างโบราณที่กว้างใหญ่นั้น คงถูกลิขิตให้ก้าวไปสู่ความพินาศแน่
ในภายหน้าก็ไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้อีก!
ด้วย ‘มหายุค’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนครั้งนี้มีแค่ครั้งเดียว การมาเยือนของแดนมกุฎก็มีแค่ครั้งเดียว
หลังจากรุ่งเรืองถึงขีดสุด หากไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้ก็จะร่วงโรยและพังทลาย!
“พรุ่งนี้เที่ยงสินะ…”
มีคนถอนใจยาว พรุ่งนี้เป็นวันที่หกของการเปิดสมรภูมิเซียนเหิน นี่ก็หมายความว่าหลินสวินไม่มีทางกลับมาช่วยได้เลย!
“โดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ มีคนซุ่มโจมตีจากสิบทิศ สิ่งที่รอค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราอยู่มีแค่คำว่าพังพินาศหรือ”
มีคนสีหน้าเศร้าสลด อกสั่นขวัญหาย
“เมืองนี้เป็นสิ่งที่หลินสวินสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณนี้รวมตัวกันได้เพราะเขาคนเดียว กระทั่งมีพลังพอจะต้านค่ายทัพแปดดินแดนอื่นในวันนี้”
“หากเขากลับมาแล้วเห็นภาพว่าเมืองนี้พังทลาย ถูกเหยียบราบเป็นหน้ากลอง เกรงว่าในใจคงผิดหวังมากกระมัง…”
มีคนกล่าวหดหู่
“ทุกท่าน สถานการณ์ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น!”
ทันใดนั้นเสียงของเซ่าเฮ่าราวฟ้าผ่า ดังกระหึ่มอยู่ข้างหูของทุกคน แววตาเขาเปล่งประกายเจือความเด็ดเดี่ยว
“ไม่ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงแค่ไหน ต่อให้วันพรุ่งนี้กระบวนค่ายกลพังทลาย ข้าเซ่าเฮ่าก็จะทุ่มสุดตัว สู้ตายกับศัตรู!”
ทุกคนต่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“หากถึงตอนนั้นจริง ข้าก็จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว!”
รั่วอู่กล่าวเสียงแผ่วเบา สีหน้าราบเรียบเหมือนปล่อยวางแล้ว
“เช่นนั้นก็สู้!”
จ้าวจิ่งเซวียนกัดฟันกรอด
เมืองนี้คือแหล่งรวมกายใจของหลินสวิน เขายังอยากเห็นเมืองนี้ตั้งตระหง่านอยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่เสื่อมสูญชั่วกาลอยู่ในสายน้ำของกาลเวลา จะยอมแพ้แค่นี้ได้อย่างไร
ทุกคนรู้สึกแค่ภายในร่างมีโลหิตเดือดพล่าน ไม่มีใครไม่ตกปากรับคำอย่างเด็ดเดี่ยว เมืองอยู่คนอยู่ เมืองตายคนตาย!
ค่ำคืนนี้ดูเนิ่นนาน
ภายใต้ม่านรัตติกาล ทั่วทิศรอบเมืองอารักษ์มรรค การโจมตีที่ราวกับกระแสน้ำเปล่งแสงแพรวพราว ทะลวงสังหารดังครั่นครื้น
สมบัติมากมายคำรามก้อง วิชามรรคนับไม่ถ้วนสาดส่องไปทั่ว… แสงเจิดจ้าและงามแปลกตานั้นทำให้ผู้คนหนาวเยือกในใจ!
ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในเมืองหน้าถอดสี จิตใจปั่นป่วน นั่งนอนไม่เป็นสุข
พวกเขารู้ข่าวแล้วว่าเมืองอารักษ์มรรค… ใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว นี่ทำให้พวกเขาโศกเศร้ายิ่งนัก
บนกำแพงเมือง เซ่าเฮ่าและมกุฎอริยะทั้งหมดต่างเงียบงัน จ้องมองไปยังที่ห่างไกล
‘อาหลู่ พรุ่งนี้หากเมืองพังทลายแล้ว เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง’
เจ้าคางคกพลันสื่อจิต สีหน้าจริงจังและเคร่งขรึมอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่หน้าเป็นและอวดดีเหมือนก่อนหน้านี้
‘เรื่องอะไร หรือเจ้าจะให้ข้าทิ้งเมืองแล้วหนีไปรึ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าไม่รับปากแน่!’
อาหลู่ก็สื่อจิต สีหน้าเด็ดเดี่ยว
หากเป็นก่อนหน้านี้ ยามได้ยินอาหลู่พูดจาดึงดันเช่นนี้ เจ้าคางคกคงถ่มน้ำลายใส่เขานานแล้ว แต่ครั้งนี้เจ้าคางคกกลับส่ายหัว
น้ำเสียงของเขานิ่งสงบ เหมือนกำลังพูดเรื่องเล็กสบายๆ เรื่องหนึ่ง ‘รับปากข้า พรุ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตีฝ่าวงล้อม ให้แม่นางจิ่งเซวียนรอดไปให้ได้’
อาหลู่แข็งทื่อไปทั้งตัว ตอนนี้ถึงได้เข้าใจความคิดของเจ้าคางคก!
‘พี่ใหญ่ทำเพื่อพวกเรามามาก ขอพูดจาไม่น่าฟังสักประโยค ต่อให้เมืองนี้พังทลาย ทุกคนตายกันหมด ไม่ว่าใครก็โกรธแค้นพี่ใหญ่ไม่ได้’
เจ้าคางคกกล่าวจริงจัง ‘แต่ข้ารู้ว่าหากแม่นางจิ่งเซวียนตายไป พี่ใหญ่เขา… ต้องแบกรับการโจมตีนี้ไม่ได้แน่!’
‘พวกเราเป็นพี่น้องกัน ท่องผจญเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปี ถึงเวลาทำอะไรเพื่อพี่ใหญ่แล้ว เจ้าว่าอย่างไรเล่า’
อาหลู่เงียบงัน เบ้าตาเริ่มแดง นานพอควรจึงสูดหายใจลึกกล่าว ‘รู้จักคางคกเรื้อนอย่างเจ้ามาตั้งนาน ข้าเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่าข้อเสนอนี้ของเจ้าตรงใจข้าที่สุด’
เจ้าคางคกกลอกตาใส่ อดหัวเราะไม่ได้
อาหลู่ก็ยิ้มยิงฟันขึ้นมา
“พวกเจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างๆ รู้สึกผิดแปลกอยู่บ้าง ถลึงตามองเจ้าสองคนนี้วูบหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เจ้าคางคกกล่าวภาคภูมิ “นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าภูเขาเทพถล่มอยู่ตรงหน้ายังหน้าไม่เปลี่ยนสี ตอนนี้ถ้าไม่หัวเราะให้สะใจ จะให้ร้องไห้กินน้ำตาหรืออย่างไร”
อาหลู่พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าคางคกพูดถูก!”
ทุกคนต่างอดยิ้มไม่ได้
ไม่นานรัตติกาลก็ลาลับ รุ่งอรุณทอแสงเบิกฟ้า วันที่หกของการล้อมเมืองมาเยือนแล้ว
พอถึงรุ่งเช้า การโจมตีของทัพพันธมิตรแปดดินแดนพลันเปลี่ยนเป็นคลั่งระห่ำขึ้นมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่ใช้วิธีบุกเมืองโดย ‘ผลัดกันโจมตีกระบวนค่ายกล’ เหมือนก่อนหน้านี้อีก
หากแต่ยกทัพทั้งหมดออกโจมตีแล้ว!
เห็นชัดว่าทัพพันธมิตรแปดดินแดนก็รู้ว่าพลังกระบวนค่ายกลของเมืองอารักษ์มรรคใกล้จะพังทลายแล้ว ดังนั้นจึงบุกโจมตีเต็มกำลัง
“ฆ่า! วันนี้ต้องเหยียบย่ำเมืองนี้ ฆ่าแพะสองขาพวกนั้นให้หมด!”
“ฮ่าๆๆ ได้เวลาปิดฉากการต่อสู้นี้แล้ว!”
“รอเมื่อเมืองพังทลาย ข้าจะจับผู้หญิงพวกนั้นมาให้หมดแล้วทรมานย่ำยีทีละคน เอาให้หายแค้น!”
“พี่น้องทุกคน ฆ่า!”
นอกเมืองมีเสียงเข่นฆ่าโรมรันสะเทือนใต้หล้า ปนเปดังก้องฟ้าเหนือเมืองอารักษ์มรรคราวเสียงฟ้าผ่า
เพียงพริบตาผู้ฝึกปราณในเมืองต่างหน้าเปลี่ยนสี ทั้งตื่นตระหนก ทั้งเคียดแค้นชิงชัง บ้างตกใจจนหน้าซีดเผือด เผยสีหน้าสิ้นหวัง
บนกำแพงเมือง สีหน้าของพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคกต่างเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งเด็ดเดี่ยว
ส่วนลึกของดวงตาแต่ละคนมีไอสังหารพลุ่งพล่านลุกโชน!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ใครก็คิดไม่ถึงคือ ภายใต้การล้อมโจมตีอย่างเต็มกำลังนี้ กระบวนค่ายกลป้องกันที่เดิมทีพอจะยืนหยัดได้ถึงเที่ยงวันพลันสั่นสะเทือนรุนแรง มีสัญญาณว่าใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“แย่แล้ว!”
มีคนหน้าเปลี่ยนสี
“ลนลานอะไร กระบวนค่ายกลพังทลายเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ประเดี๋ยวพวกเราค่อยฆ่าศัตรูให้เต็มกำลังก็พอ!”
เซ่าเฮ่ากล่าวเสียงขรึม
เสียงกลองศึก เสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงตะโกนขู่ฆ่านอกเมืองดุเดือดยิ่งกว่าเดิมแล้ว ไอชั่วร้ายสีดำโหมกระหน่ำราวพยับเมฆเข้าปกคลุมทั่วเมือง ผืนฟ้าหม่นแสง
ห่างออกไปยังมองเห็นความฮึกเหิม เหี้ยมเกรียม อำมหิตบนใบหน้าของทัพพันธมิตรแปดดินแดนพวกนั้นได้อย่างชัดเจน
ชิ้ง!
เซ่าเฮ่าเรียกกระบี่เทพโบราณแฝงไอโชกโชนเล่มหนึ่งออกมา แววตาเยียบเย็นและเด็ดเดี่ยวกล่าว “ทุกท่าน ยามกระบวนค่ายกลพังทลาย ข้าเซ่าเฮ่าจะออกโจมตีเป็นคนแรก!”
น้ำเสียงมีจังหวะจะโคน กึกก้องสะท้านปฐพี
“พวกเรายินดีสู้จนตัวตายพร้อมพี่เซ่าเฮ่า!”
“เมืองอยู่ คนอยู่!”
คนอื่นต่างเรียกสมบัติออกมาโดยไม่ลังเล ยืนตระหง่านอยู่บนกำแพงเมือง ทั่วร่างแผ่ไอสังหารชวนประหวั่นและเยียบเย็น ราวกับทวยเทพที่มองความตายเป็นเรื่องธรรมดา!
ตูม!
สุดท้ายก็ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น พลังของกระบวนค่ายกลที่ปกคลุมอยู่เหนือกำแพงเมืองพังทลายลงไปก่อน
ราวกับม่านแสงที่สมบูรณ์ผืนหนึ่งถูกทะลวงเป็นรูโหว่!
พริบตานี้เสียงขู่ฆ่า ไอสังหารเข้มข้นหาใดเปรียบ รวมถึงการโจมตีที่เกือบจะคลุ้มคลั่งซึ่งปกคลุมฟ้าดินอยู่นอกเมืองแทบจะแหวกเข้ามาพร้อมกันหมด
เหมือนเขื่อนแตกกระแสน้ำหลาก ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ส่วนพวกเซ่าเฮ่าก็ถูกโจมตีเป็นกลุ่มแรก!
………………