Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1611 ยกทัพโจมต
จันทร์เสี้ยวทอแสงส่องทั่วหล้า บางเรือนสุขบางเรือนเศร้า
ยามค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณฉลองที่หลินสวินได้ชัยใหญ่กลับมา ในค่ายทัพแปดดินแดนกลับมืดมนหดหู่
หลายวันก่อนความพ่ายแพ้ย่อยยับของทัพพันธมิตรแปดดินแดนยังติดตา ผ่านไปไม่กี่วันข่าวร้ายนองเลือดที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเซียนเหินก็ส่งกลับมา
ค่ายทัพแปดดินแดนแตกตื่นในชั่วขณะเดียว ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน!
ทั้งแปดดินแดนร่วมมือกันโจมตีเต็มกำลัง ยังไม่อาจสั่นคลอนเมืองอารักษ์มรรคของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ยามนี้แม้แต่บุคคลระดับผู้นำของแปดดินแดนร่วมมือกัน ยังถูกหลินสวินคนเดียวฆ่าสังหารทั่วทิศ บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน!
สุดท้ายก็เหลือแค่คุนเซ่าอวี่ จู๋อิ้งคง เซวี่ยชิงอีสามคนที่โชคดีหอบชีวิตกลับมาได้ นี่ช่างเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
“หลินสวินนั่น… แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”
ผู้คนนับไม่ถ้วนใจสั่นสะท้าน
หลินสวินนั่นช่างเหมือนเทพมารที่ไม่อาจทัดเทียมคนหนึ่ง สองมือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนเกือบสิ้นหวัง
“ไม่! องค์ชายของเผ่าข้าชืออู๋ซู่แข็งแกร่งระดับใด จะตายอยู่ที่สมรภูมิเซียนเหินได้อย่างไร”
ยังมีคนไม่อาจยอมรับข่าวร้ายนี้ แผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
ชืออู๋ซู่ เลี่ยเฉียน สือพั่วไห่ ฮว่าหงเซียว เจี้ยนชิงเฉิน… แต่ละคนต่างเป็นผู้นำของดินแดนหนึ่ง องอาจกล้าหาญเหนือพิภพ ผงาดผยองเหนือผู้คนในระดับเดียวกันได้อย่างหยิ่งทะนง โชติช่วงชัชวาลดั่งดวงตะวันส่องประกายอยู่เหนือดินแดนฟากหนึ่ง
แต่ตอนนี้บุคคลแห่งยุคพวกนี้ที่เดิมทีน่าจะได้เจิดจรัสต่อไปในภายหน้า ล้วนตายในมือของหลินสวินคนเดียว!
นี่ดูน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย พอที่จะทำให้ใครก็ตามขวัญหนีดีฝ่อ
“จบกัน ทัพพันธมิตรแปดดินแดนของพวกเราออกโจมตีเต็มกำลัง แต่กลับสลัดขนหนีกลับ ล้มตายกันเป็นเบือ ยามนี้แม้แต่การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินก็ยังปิดฉากด้วยความพ่ายแพ้ย่อยยับ สถานการณ์ของการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนนี้… จะเปลี่ยนไปเช่นนี้จริงหรือ”
ผู้คนมากมายหน้าซีดเผือด อกสั่นขวัญหาย
การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนที่มาจากแปดดินแดน เหยียบย่ำค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณด้วยอานุภาพทำลายล้างรุนแรง นั่นสง่างามระดับใด
แต่ตอนนี้ความสง่างามนั้นจะหายไปเช่นนี้หรือ
“น่าชังนัก! ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินสวินนั่น! ไอ้สวะบัดซบนั่น! หากไม่ใช่เขา แพะสองขาของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นมีหรือจะครอบครองพลังเช่นวันนี้ได้”
ผู้คนมากมายเคียดแค้นชิงชังจนเกือบคลุ้มคลั่ง
ตอนแรกที่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออก พวกเขาไม่เคยเห็นค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณอยู่ในสายตา มองพวกเขาเป็นแพะสองขา ทำลาย เหยียบย่ำ สบประมาทและเข่นฆ่าได้ตามใจ
ความจริงค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณตอนแรกก็เหลือทนเต็มที ได้แต่วิ่งพล่านไปทั่ว อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แค่คิดจะมีชีวิตต่อไปยังเป็นเรื่องยากลำบากหาใดเปรียบ
แต่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ กลับเริ่มต้นจากหลินสวินคนเดียว!
ตอนแรกเขาติดอยู่ในโลกมารโลหิต ตัวคนเดียวแต่กลับเข่นฆ่านองเลือดสามหมื่นลี้ สังหารจนโลกมารโลหิตปั่นป่วน ไม่มีใครจำชื่อของเขาไม่ได้
ต่อมาเขาสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นใหม่ กำจัดทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดน ทำให้ค่ายทัพแปดดินแดนเริ่มถูกให้ความสำคัญและระแวดระวัง
ด้วยเหตุนี้เซวี่ยชิงอีจึงร่วมมือกับมกุฎอริยะกลุ่มหนึ่ง วางแหฟ้าตาข่ายดินที่ชายฝั่งทะเลผาดำหมายกำจัดหลินสวิน
แต่สุดท้ายพวกเซวี่ยชิงอีก็แพ้ย่อยยับ!
สถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ตอนนั้น ในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณที่กลับมาจากแดนลับสนามแม่เหล็ก ปรากฏมกุฎอริยะแท้กลุ่มหนึ่ง ทำให้สถานการณ์ของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณพลิกกลับมาได้ด้วยเหตุนี้
เวลานี้เองที่ค่ายทัพแปดดินแดนเริ่มระวังตัวอย่างแท้จริง มองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจ แทบจะรวมกำลังพลทั้งหมดมากำจัดเขา
น่าเสียดาย…
ที่ล้มเหลวอีกแล้ว!
การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินแพ้แล้ว ทัพพันธมิตรแปดดินแดนออกโจมตีเต็มกำลังก็ล้มเหลว!
ถึงตอนนี้หลินสวินอาศัยพลังของตัวเองก่อคลื่นลมในสมรภูมิเก้าดินแดน เขียนสถานการณ์ของค่ายทัพเก้าดินแดนขึ้นใหม่
ส่วนค่ายทัพแปดดินแดนก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนไม่อาจสงบด้วยเหตุนี้!
…
“แพ้แล้ว แพ้ในมือของหญิงสาวที่ไม่รู้ความเป็นมาคนเดียว…”
โลกยอดหยิน จู๋อิ้งคงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างหดหู่ ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอย
เมื่อได้ข่าวว่าทัพพันธมิตรแปดดินแดนพ่ายแพ้ย่อยยับ ก็มีความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม
เดิมทีเขา คุนเซ่าอวี่ และเซวี่ยชิงอียังฝากความหวัง คิดว่าเพียงเหยียบย่ำเมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณได้ ค่ายทัพแปดดินแดนต้องยืนหยัดไร้พ่ายได้อย่างแน่นอน
ใครจะคิดว่าทัพพันธมิตรแปดดินแดนก็แพ้แล้ว!
จู๋อิ้งคงกำสองหมัดแน่น ดวงตาแทบถลน ลมหายใจหนักหน่วง ทั้งตัวมีแนวโน้มว่าจะคลุ้มคลั่ง
“ท่านพี่!”
จู๋อิ้งเสวี่ยก้าวเข้ามาในโถงใหญ่
“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!”
จู๋อิ้งคงแผดเสียงคำราม ในอดีตที่ผ่านมาคนที่เขาประคบประหงมที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้ แต่ตอนนี้แววตาของเขาเหมือนอสูรเหี้ยมเกรียม ทำให้จู๋อิ้งเสวี่ยตกใจจนแทบหนีหัวซุกหัวซุนออกจากโถงใหญ่ไป
“จบกัน ครั้งนี้จบเห่แล้วจริงๆ… ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ก็ควรฟังคำของเซวี่ยชิงอี ตอนแรกที่เจ้าสวะนั่นผงาดขึ้นมาก็ควรฆ่ามันทิ้งซะ!”
“น่าเสียดายที่สายไปแล้ว…”
ร่างกายของจู๋อิ้งคงสั่นระรัวขึ้นมาด้วยความโกรธ
…
“รวมพลเข้าเมืองให้หมด ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามก้าวออกจากเมือง!”
โลกขุมอุดร คุนเซ่าอวี่หน้าคล้ำเขียว เยียบเย็นถึงขีดสุด
เขาก็รู้ข่าวร้ายทั้งหมดแล้ว ในใจมีเลือดหลั่งริน ตอนนี้ได้แต่รวบรวมกำลังพลทั้งหมด เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด
‘ยังดีที่มีเมืองอารักษ์มรรคอยู่ เมืองนี้เป็นถึงเมืองที่ผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนใช้เลือดหัวใจทั้งหมดสร้างไว้ หวังว่ามันจะปกป้องค่ายทัพดินแดนโบราณขุมอุดรของข้าให้ไม่ดับสลายได้…’
คุนเซ่าอวี่พึมพำในใจ สีหน้าไร้ความรู้สึก
เขามีลางสังหรณ์ว่าหลังจากนี้ ความมืดมิดจะมาเยือน!
…
โลกมารโลหิต
เซวี่ยชิงอีกำลังร่ำสุรา ท่าทางนิ่งสงบ ไม่โศกเศร้ายินดี ใครก็ดูไม่ออกว่าในใจเขากำลังคิดอะไรกันแน่
แต่บรรยากาศในโถงใหญ่กลับกดดันจนทำให้ผู้คนเกือบหายใจไม่ออก
เหล่าบุคคลสำคัญที่ยืนอยู่ในนั้นต่างกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ครู่ใหญ่เซวี่ยชิงอีวางจอกสุราลง ทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ผู้คนไม่รู้จักต้นไม้สูงทะยานเมฆ จนเมื่อมันสูงทะลวงเมฆแล้วถึงได้รู้… เมื่อสูงทะลวงเมฆ… ก็สายไปแล้ว ทุกอย่างล้วนสายไปแล้ว…”
น้ำเสียงหดหู่และโดดเดี่ยว
“นายน้อย…”
มีคนอยากจะพูด แต่กลับถูกเซวี่ยชิงอีโบกมือตัดบทกล่าว “ฟังข้าสักประโยค ตอนนี้ฉวยโอกาสหนีไปได้ไกลเท่าไรให้หนีไปไกลเท่านั้น บางที… ยามสมรภูมิเก้าดินแดนปิดฉาก อาจยังมีโอกาสรอดชีวิตกลับไปที่ดินแดนโบราณมารโลหิตได้”
“นายน้อย ใช่ว่าพวกเราแปดดินแดนไม่มีกำลังต่อสู้อีก!”
มีคนกัดฟันกรอด ยังคงไม่พอใจ
เซวี่ยชิงอีไม่โกรธ ยกจอกเหล้าขึ้นละเลียดอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าว “เมื่อรังคว่ำผู้คนย่อมรู้สึกไม่ปลอดภัย พวกเขา… ไว้ใจไม่ได้”
กล่าวถึงตอนท้าย น้ำเสียงเขาต่ำลึก แฝงความเกลียดชังที่กดข่มถึงขีดสุดอยู่รางๆ
“แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นพวกเราก็ยังมีเมืองอารักษ์มรรคอยู่!”
และมีคนเอ่ยปาก ใครก็ไม่พอใจที่ต้องยอมแพ้ หนีตายเหมือนสุนัขไร้บ้านเช่นนี้
“หึๆ”
เซวี่ยชิงอีเผยให้เห็นรอยยิ้มหยัน “ต่อให้เมืองนี้มั่นคงแค่ไหน ยังจะสู้เมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณที่ขวางการฆ่าฟันอย่างดุเดือดเต็มกำลังของทัพพันธมิตรแปดดินแดนได้หรือ”
“อย่าดูถูกหลินสวินอีก ในสมรภูมิเก้าดินแดนยามนี้ คนที่ดูถูกเขาหากไม่ตายไปก่อนก็เหมือนข้า ได้แต่กล่าวโทษสงสารตัวเอง”
เขาเว้นช่วงไปก่อนหยัดร่างขึ้น กวาดสายตามองทุกคนแล้วโบกมือกล่าว “หากพวกเจ้าอยากอยู่ต่อก็อยู่ต่อเถอะ”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าออกไปนอกเรือน เงาหลังหดหู่ มีความโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
“นายน้อย ท่านจะไปไหน”
มีคนร้องเรียก
“ยังไปไหนได้อีก เผ่นสิโว้ย! ฮ่าๆๆๆ…”
เซวี่ยชิงอีไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เงาร่างหายไปนอกเรือนใหญ่ เสียงหัวเราะดูเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด ก็ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะตัวเองหรือเยาะเย้ยคนอื่น
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อกสั่นขวัญหาย
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
โลกรกร้างโบราณ เหนือเมืองอารักษ์มรรคยานขนส่งอวกาศลอยอยู่บนฟ้าสูง
เหล่ามกุฎอริยะอย่างหลินสวิน ซย่าจื้อ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ เจ้าคางคก อาหลู่ เซี่ยวชางเทียนต่างรวมตัวกัน
ห่างออกไป ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วนยืนมองจากไกลๆ ทัพใหญ่จะออกศึก พวกเขาล้วนมาส่ง!
บรรยากาศเคร่งขรึม บนหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สองปีแล้วที่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณถูกกำราบมานาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้เริ่มจู่โจมกลับ ชี้อาวุธใส่ค่ายทัพแปดดินแดน!
นี่ช่างเหมือนปาฏิหาริย์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่วันนี้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี้ในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว!
ความอัปยศของผู้แกล้วกล้าที่ล่วงลับ จะได้ลบล้างในวันนี้!
พวกเซ่าเฮ่าต่างจิตใจปั่นป่วน โลหิตเดือดพล่าน ไม่ง่ายเลยที่เลือดและความแค้นของบรรพชนนับไม่ถ้วนจะมีโอกาสชะล้างด้วยเลือดในที่สุด
ความอัปยศที่ดินแดนรกร้างโบราณได้รับในอดีต ถึงเวลาชะล้างแล้ว!
นัยน์ตาดำดุจอสนีของหลินสวินกวาดมองทั่วลาน ริมฝีปากขยับพูดบางคำอย่างแผ่วเบา
“ออกเดินทาง!”
ออกเดินทาง!
ปณิธานองอาจกระหายเนื้อของศัตรู คำชวนหัวคือกระหายเลือดของแปดดินแดน!
ตูม…
ยานขนส่งอวกาศส่งเสียงกัมปนาท บรรทุกพวกหลินสวินกดอัดชั้นเมฆจากไปภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้อง
“ต้องชนะ!”
มีคนตะโกนลั่น เสียงสั่นสะเทือนท้องนภา
“ต้องชนะ!”
“ต้องชนะ!”
ในเมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่นั้น ไม่ว่าชายหญิง ไม่ว่าพลังปราณสูงต่ำ ยามนี้ทุกคนต่างส่งเสียง หน้าตาตื่นเต้น เต็มไปด้วยความมุ่งหวังปรารถนา
กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยเสียงตะโกนครั่นครืนราวอสนีบาต
จ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดมองยานขนส่งอวกาศที่ค่อยๆ หายไปจากขอบฟ้าแล้วพึมพำในใจ
‘ดินแดนรกร้างโบราณมากวีรชน ออกศึกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่เคยขลาด เลือดวีรชนย่อมกล้าหาญ องอาจผ่าเผยใจเหล็ก คอยดูฝีมือพวกเราปะซ่อมรอยแยกฟ้า!’
…
โลกยอดหยิน
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ยานขนส่งอวกาศไร้สิ่งกีดขวางตลอดทาง พุ่งเข้าไปในอาณาเขตที่ค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินควบคุมดูแล!
บนยานสำเภาหลินสวินหลับตาทำสมาธิ เงียบสงบเหมือนรูปปั้นหิน แน่นิ่งไม่ไหวติง
ซย่าจื้อนั่งอยู่ข้างๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสนานัปการ นางกำลังกินทีละคำๆ สีหน้าเงียบสงบ
ความเร็วของยานขนส่งอวกาศรวดเร็วถึงที่สุด พุ่งตรงไปข้างหน้า ตลอดทางไม่เจออุปสรรคใดๆ
ไม่ทันไรเมืองแห่งหนึ่งปรากฏบนเส้นขอบฟ้าห่างออกไป!
เมืองนั้นทอดยาวขึ้นลง สูงใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น สีโลหิตอบอวลไปทั้งเมือง ดูบาดตาหาใดเปรียบ
นี่ก็คือเมืองอารักษ์มรรคของค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยิน ขนาดใหญ่มหึมา กำแพงเมืองสูงกว้าง ในอิฐแต่ละก้อนสาดด้วยโลหิตแดงก่ำ ก่อด้วยกระดูกขาวโพลน
นั่นคือเลือดและกระดูกของบรรพชนดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วน!
เวลานี้บนเมืองอารักษ์มรรคที่สูงตระหง่านเสียดยอดเมฆ จู๋อิ้งคงหน้าคล้ำเขียว เบิกตากว้างอย่างยากจะเชื่อ
เขาคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมาจริงๆ ทั้งยังมุ่งเป้ามาที่ค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินเป็นแห่งแรก!
“นายน้อย เจ้าปีศาจหลินนั่นมาแล้ว!”
ผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ลนลานเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
“ลนลานอะไร แค่ปกป้องเมืองนี้ได้ พวกเราก็จะยืนหยัดไร้พ่าย!”
จู๋อิ้งคงสูดหายใจลึก นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหดกล่าวเสียงขรึม “สั่งการลงไป เปิดกระบวนค่ายกลพิทักษ์เมือง!”
…………………