Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1623 ฉายส่องเมฆงดงามลอยลับกลับไป
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1623 ฉายส่องเมฆงดงามลอยลับกลับไป
ยามฟ้าสว่าง หลินสวินเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าสดชื่น มองไปรอบทิศก็เพียงรู้สึกว่าท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมโชยอ่อน จิตใจโล่งสบาย
ทิวทัศน์ก็ยังเป็นทิวทัศน์เช่นเดิม เพียงแต่พอสภาพจิตใจเปลี่ยนไป ทิวทัศน์ก็ย่อมแตกต่างไปเป็นธรรมดา
เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนสมรภูมิเก้าดินแดนปิดฉากลง หลินสวินคิดจะถือโอกาสนี้ใช้เวลาอยู่กับจ้าวจิ่งเซวียนให้ดี
เมื่อคืนวานจ้าวจิ่งเซวียนพูดไว้ว่า ‘ข้ารู้ว่าในใจเจ้าไม่อาจวางซย่าจื้อลงได้ ข้าก็ไม่ขอให้เจ้าแต่งข้าอย่างออกหน้าออกตา และจะไม่โลภมากร้องขอสถานะด้วย ขอเพียงเจ้าไม่ผิดต่อข้าก็พอแล้ว’
ก็เพราะประโยคนี้ทำให้หลินสวินซาบซึ้งใจยิ่งนัก และออกจะละอายใจอยู่บ้าง
จ้าวจิ่งเซวียน ธิดาในจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า หญิงงามแห่งยุคชั้นหนึ่งในโลกา ภายในร่างมีสายโลหิตเจินหลงไหลเวียนอยู่ ความสามารถโดดเด่น รูปลักษณ์เหนือปวงชน ประหนึ่งนางเซียนมาเยือนโลก
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ได้มีโฉมงามผู้นี้เคียงข้างคงเป็นลาภอันยิ่งใหญ่
แต่ตอนนี้จ้าวจิ่งเซวียนกลับยอมอ่อนข้อให้ปานนี้ จะไม่ทำให้หลินสวินละอายใจได้อย่างไร
กระทั่งหลินสวินเองยังทอดถอนใจว่าตนเก่งกล้าสามารถอย่างไรถึงกับทำให้คนงามสนใจได้เช่นนี้
ถ้าไม่ใช้เวลาร่วมกับจ้าวจิ่งเซวียนให้ดี หลินสวินก็คงรู้สึกว่าตนเป็นคนบาปหนาคนหนึ่ง
……
ในช่วงเวลาต่อมาหลินสวินไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น พาจ้าวจิ่งเซวียนออกจากเมืองอารักษ์มรรคไปด้วยกัน ขึ้นเขาลงห้วยไปทั่วสมรภูมิเก้าดินแดน
ลงเรือล่องทะเลสาบ ขึ้นสู่ยอดเขาชมเมฆ เหยียบคลื่นทะเลคราม เมาพับหลับกลางหมู่หิ่งห้อย ก้มลงดูน้ำตก…
เป็นอิสระไร้ข้อผูกมัด ไม่เป็นสุขหรอกหรือ
บางคราวนึกสนุกขึ้นมา หลินสวินก็จะเก็บน้ำค้างวิญญาณหญ้าเทพ ใช้หยาดฟ้าจากมวลเมฆามาต้มชา ร่วมดื่มกินกับจ้าวจิ่งเซวียนท่ามกลางหมู่ผกา
ชีวิตสุขสำราญชั่วคราว ครึ่งหนึ่งเพราะฝึกปราณอีกครึ่งหนึ่งเพราะมีเจ้า
สมรภูมิเก้าดินแดนอะไร ตามฆ่าศัตรูอะไร ฝึกมรรคแสวงวิชาอะไรต่างก็ถูกทั้งสองทิ้งไว้เบื้องหลัง
ความสุขในตอนนี้ไม่ควรค่าแก่การบอกกล่าวกับผู้คนภายนอก
……
เวลาผ่านไปดุจสายน้ำไหล ไม่ว่างเว้นทั้งทิวาราตรี
วันนี้ที่แม่น้ำน้ำแข็งขาวโพลนแห่งหนึ่ง
หลินสวินฟันผ่าใจกลางน้ำแข็งท่อนหนึ่งเพื่อเอาน้ำออกมา ใช้เตาดินเผาน้อยต้มชา จ้าวจิ่งเซวียนสองมือกอดเข่า นั่งอยู่อีกด้าน ยิ้มละไมมองดูหลินสวินกำลังกุลีกุจอ
เหนือเวิ้งฟ้าจู่ๆ ก็มีเสียงดังลั่นแปลกประหลาดประหนึ่งเสียงมหามรรคดังขึ้นระลอกหนึ่ง แล้วแผ่กระจายออกไปท่ามกลางฟ้าดิน
แทบจะในขณะเดียวกัน ป้ายคำสั่งรกร้างโบราณที่ประดับอยู่บนตัวหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนต่างส่งเสียงก้องสะท้อน สั่นระรัวฮูมๆ ขึ้นในขณะนี้
โดยมิได้นัดหมาย ทั้งสองคนหยุดทำเรื่องที่ทำอยู่ สบตากันครั้งหนึ่ง ต่างรับรู้ได้ว่าเวลาที่สมรภูมิเก้าดินแดนจะปิดฉากลงมาถึงแล้ว!
พอมองดูน้ำชาที่กำลังจะเดือดอยู่ในเตาดินเผาน้อย หลินสวินกลับถอนใจเบาๆ กาลเวลาผันผ่าน จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเพียงใดก็แสนสั้นอยู่ดี
“เมื่อได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสแล้วจะไม่เสียดายที่จากไปหรือ”
เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเจือรอยยิ้ม ความอ่อนโยนไหวเคลื่อนอยู่ภายใน
หลินสวินพยักหน้า
ช่วงเวลานี้ได้ท่องเที่ยวกับจ้าวจิ่งเซวียน มีอิสระเสรี ย่อมอาวรณ์เป็นธรรมดา
“ไปเถอะ ภายหน้ายังมีโอกาสอีกมาก”
จ้าวจิ่งเซวียนจูงมือหลินสวินเดินไปยังที่ไกลออกไป ได้ใช้เวลาร่วมกันและเล่นสนุกกันในช่วงหลายวันมานี้ นางก็พอใจมากแล้ว
นับประสาอะไรกับยามความรู้สึกของทั้งสองอยู่ยั้งยืนยง ไยต้องเว้าวอนให้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน
……
เมื่อกลับมาถึงเมืองอารักษ์มรรค หลินสวินก็งุนงงอย่างอดไม่ได้
เพราะไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เบื้องหน้ากำแพงเมืองสีทองโอฬารสูงตระหง่านนั้น มีป้ายหินสูงหลายจั้งป้ายหนึ่งตั้งอยู่
บนป้ายหินสลักอักษรมหามรรคอ่อนช้อยไว้เป็นแถวๆ
‘สมรภูมิเก้าดินแดนครั้งที่สาม อริยะหลินสวินผู้นำบุคคลจากดินแดนรกร้างโบราณกุมพลังเหนือโลกาไม่อาจต้านทานได้ สร้างวีรกรรมสะเทือนสมรภูมิเก้าดินแดน…’
‘แรกเริ่ม อริยะหลินสวินบุกสังหารสามหมื่นลี้ คนผู้เดียวปิดล้อมทั้งเมือง พลานุภาพโอหัง ไร้ศัตรูใดต้านทาน… จากนั้นก็สร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นอีกครั้ง ทำลายทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดน มีชัยเหนือทะเลผาดำ…’
‘ตัวคนเดียวท่องไปในแปดดินแดน กระบี่เดียวประหารหมื่นพันผู้กล้า…’
บนนั้นอธิบายวีรกรรมแต่ละเรื่องที่หลินสวินทำไว้ในช่วงสามปีนี้โดยละเอียด ขณะตกอยู่ในภวังค์ สมองของหลินสวินก็หวนนึกถึงการกรำศึกในช่วงหลายปีนี้ตามไปด้วย
‘กล้าแกร่งนัก บุคคลผู้นี้เท่านั้นถึงขนานนามได้ว่าผู้นำ ผู้ปรีชาสามารถผู้นี้เท่านั้นถึงเรียกได้ว่าเป็นอริยบุคคล…’
‘จิตใจดั่งฟ้า ความกรุณาแผ่ไพศาลทั่วดินแดนรกร้างโบราณ วีรกรรมรุ่งโรจน์ อำนาจเหนืออดีตแลปัจจุบัน พลังไม่มีใครเทียบเทียม ผู้ใดจะต่อกรได้…’
‘พวกข้าสลักป้ายศิลาไว้ ณ ที่แห่งนี้ หวังให้อริยะหลินสวินชื่อเสียงขจรไกลชั่วกาล จารึกนามไว้ในประวัติศาสตร์ หมายมาดให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง!’
จนกระทั่งอ่านป้ายหินนี้จบ หลินสวินก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นระลอกหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่อาจสงบใจได้
เขาคิดไม่ถึงสักนิดว่าค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะถึงกับตั้งป้ายวีรกรรมเช่นนี้ให้ตน!
“เจ้าดูนั่น”
ข้างกัน จ้าวจิ่งเซวียนมองไกลออกไป
หลินสวินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเหนือกำแพงเมือง เงาร่างนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแน่นขนัด แต่ละคนต่างมองมาทางตนด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม
“พี่หลิน ‘ศิลามรรควีรกรรม’ ก็คือน้ำใจของทุกคน ตัวอักษรแต่ละตัวล้วนสลักขึ้นด้วยการเขียนของสหายยุทธ์คนละคน มีเพียงทำเช่นนี้ถึงแสดงความเคารพนับถือจากพวกเราออกมาได้”
เซ่าเฮ่าเอ่ยปากเสียงกังวาน
คนอื่นก็พากันพยักหน้า
หลินสวินถูจมูกอย่างอดไม่ได้ ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ข้ายังปฏิเสธได้ไหม”
“ไม่ได้!”
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทันใดนั้นต่างหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้ เสียงดังสะเทือนเมฆา
วันนี้ สมรภูมิเก้าดินแดนก้าวเข้าสู่ช่วงปิดฉากแล้ว ผู้ฝึกปราณในเมืองซึ่งมาจากพื้นที่ต่างๆ ในดินแดนรกร้างโบราณก็จะจากไปในวันนี้
ทว่าการจากกันคราวนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้พบกันอีก ดังนั้นจึงรวมตัวกันที่กำแพงเมืองโดยไม่ได้นัดหมายกันหมด
เพียงเพื่ออำลาหลินสวินด้วยกัน!
“ขอบคุณมาก ทุกท่าน”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กุมมือคารวะ แล้วเอ่ยปากเสียงก้องฟ้าดิน
……
โลกมารโลหิต
ณ สถานที่ห่างไกลอันแห้งแล้งทุรกันดารแห่งหนึ่ง เสียงธรรมดังขึ้นเหนือเวิ้งฟ้า และทำให้เซวี่ยชิงอีที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของสระโคลนเหม็นเน่าแห่งหนึ่งตื่นตะลึง ตื่นขึ้นจากการจำศีลเก็บตัวเงียบ
“ในที่สุดก็ปิดฉากลงแล้ว…”
เซวี่ยชิงอีไม่สนใจกลิ่นสระโคลนเหม็นเน่าที่กระทบหน้านั้น ตื่นเต้นจนพุ่งตัวออกมาทันที พอได้ยินเสียงธรรมที่ดังขึ้นไม่ว่างเว้นนั้น ก็เหมือนได้ยินท่วงทำนองที่ไพเราะที่สุดในโลก
มือทั้งสองของเขายื่นไปยังเวิ้งฟ้า หลับตาลง เผยให้เห็นแววเคลิบเคลิ้ม
เก็บตัวจำศีลทั้งที่มีความแค้นมานานเกือบหนึ่งปี ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง สำหรับเซวี่ยชิงอีแล้ว ก็ราวกับเปิดเส้นทางใหม่เอี่ยม
จนกระทั่งครู่ใหญ่ ความแค้นอันเย็นเยียบเสียดกระดูกเผยออกมาจากดวงตาสีแดงสดของเซวี่ยชิงอี กัดฟันเอ่ยปากว่า
“ความอัปยศและความล้มเหลวไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือรู้จักละอายแต่ไม่รู้จักใจกล้า หลินสวิน คราวนี้ให้เจ้าได้ใจไปก่อน วันหน้าข้าเซวี่ยชิงอีจะต้องเอาคืน!”
ฉึบ!
ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็หายลับไปในความว่างเปล่า
……
โลกขุมอุดร
ในส่วนลึกของมหาสมุทรอันไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง เงาร่างเสียสติร่างหนึ่งกำลังนั่งยองร้องไห้โหยหวนอยู่บนหินโสโครกก้อนหนึ่ง
เขาผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเป็นต้นหญ้า เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ดวงตาลึกโหล ร่างกายผอมแห้ง น่าอนาถเสียยิ่งกว่าขอทาน
แต่หากหลินสวินอยู่ที่นี่ จะต้องจำได้แน่นอนว่าคนผู้นี้ก็คือผู้นำแห่งค่ายทัพดินแดนโบราณขุมอุดร นายน้อยเผ่าจักรพรรดิตระกูลคุน…
คุนเซ่าอวี่!
เพียงแต่เขาในตอนนั้นสง่างามและจองหองปานไหน ประหนึ่งสุริยันกลางนภาแผ่ประกายไปหมื่นจั้ง ครองความเป็นหนึ่งในดินแดนหนึ่ง
แต่ในตอนนี้กลับดูซอมซ่อจนเหมือนครึ่งผีครึ่งคน วิกลจริต สติสัมปชัญญะปนเปยุ่งเหยิง
เมื่อได้ยินเสียงมหามรรคดังขึ้นเหนือเวิ้งฟ้า คุนเซ่าอวี่ที่กำลังนั่งยองกับพื้นร้องไห้ครวญครางคล้ายถูกสายฟ้าฟาด ตัวเขาพลันชะงักอยู่เช่นนั้น
สีหน้าเขาเริ่มบิดเบี้ยว ปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ แววตาเซื่องซึมงุนงงเริ่มได้สติจดจ่อขึ้นมาทีละน้อย…
จวบจนผ่านไปครู่ใหญ่เขาผุดลุกขึ้นทันควัน คำรามไปยังฟากฟ้าเสียงดังว่า “สับสนงงงวยมาหลายปี วันนี้ถึงรู้ว่าข้าคือข้า!”
เสียงคำรามชัดถ้อยชัดคำดั่งมังกรคำราม ไหวกระเพื่อมถั่งโถมไปเหนือเก้าชั้นฟ้า ในเสียงนั้นล้วนเป็นความรู้สึกหลุดพ้น จิตใจเปิดกว้าง
“หลินสวิน รอก่อนเถอะ รอเมื่อข้าทะยานขึ้นเหนือฟ้าคราม จะต้องชำระล้างความอัปยศในวันวาน!”
คุนเซ่าอวี่เหยียบย่างขึ้นไปในอากาศทันควัน เงาร่างแปรเปลี่ยนเป็นคุนตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว ตัวใหญ่ไม่รู้กี่จั้ง บดขยี้ห้วงอากาศ ม้วนตลบลมเมฆเต็มฟ้าออกไป
……
โลกรกร้างโบราณ
หน้าเมืองอารักษ์มรรค ผู้ฝึกปราณจากดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วนต่างกำลังเคลื่อนไหว นำป้ายคำสั่งรกร้างโบราณออกมา เคลื่อนกายออกไปในห้วงอากาศ แล้วหายลับไปจากสมรภูมิเก้าดินแดนแต่เพียงเท่านี้
“ผู้อาวุโสหลิน พวกเราขอจากไปก่อน”
“เขาขจีมิเปลี่ยนแปลง ธาราครามยังหลั่งไหล ผู้อาวุโสหลิน พวกเราตั้งตารอจะได้พบกับท่านอีกครั้งที่ดินแดนรกร้างโบราณ”
“ผู้อาวุโสหลิน…”
ผู้ที่มาอำลาหลินสวินมีมากมายนัก ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย บ้างรู้ชื่อ บ้างไม่รู้ชื่อ
แต่ทุกคนต่างมาพร้อมกับความเคารพนบนอบและคำอวยพร หลินสวินตอบกลับไปทีละคน ความรู้สึกมากมายผสมปนเป
ที่มีชีวิตอยู่ ได้กลับสู่มาตุภูมิ
แต่ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่ฝังกระดูกอยู่ที่นี่เหล่านั้น ย่อมทำได้เพียงหลับใหลอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดถามถึง
เป็นและตายก็โหดร้ายปานนี้
เงาร่างของผู้ฝึกปราณในเมืองยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว
“พี่หลิน ขอลา!”
พวกหมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอมาบอกลา
“รักษาตัวด้วย”
หลินสวินกุมมือคารวะพร้อมรอยยิ้ม
“หลินสวิน หลังจากกลับไปดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าต้องไปแดนดาราอุดรให้ได้นะ ข้าจะเลี้ยงสุราล้ำค่าหมื่นปีจากภูเขาเทพจื่อเวย!”
เยี่ยเฉินเอ่ยเสียงดัง
เซี่ยวชางเทียนที่อยู่ข้างๆ กันพูดแทรก “อย่าเลย ไปหุบเขาวาโยพิสุทธิ์ของข้าเถอะ ข้าจะเอา ‘สุราเจ็ดสมบัติเซียนเมามาย’ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของบรรพบุรุษมาดื่มกับเจ้า”
ประโยคเดียวทำให้เยี่ยเฉินมองด้วยสายตาขุ่นเคือง “เจ้ากล้ามาสู้กับข้าสักครั้งหรือไม่”
เซี่ยวชางเทียนไม่ยอมถอยแม้สักนิด แสยะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็แค่ไม่ชอบใจเจ้า ทำไมหรือ”
เรียบร้อย เจ้าคนที่ไม่ถูกกันตั้งแต่เกิดสองคนนี้ตีกันแล้ว
หลินสวินทำหน้าไม่ถูก แต่ในใจกลับอบอุ่น นี่ก็คือเพื่อน เป็นพี่น้องที่ร่วมยากลำบากไปด้วยกัน!
“พี่หลิน พวกเราต้องไปแล้ว”
ไม่นานนัก เซ่าเฮ่า รั่วอู่ก็มากล่าวอำลา
หลินสวินสนทนากับพวกเขา จากนั้นก็มองดูพวกเขาจากไปทีละคน
จนกระทั่งท้ายที่สุด ที่แห่งนั้นก็เหลือเพียงหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ เจ้านกดำ เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียน
นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ยามมาถึงสมรภูมิเก้าดินแดนครั้งแรก ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณเคลื่อนย้ายมาจากสถานที่ที่แตกต่างกันไป
เมื่อกลับไป ก็ย่อมกลับไปตามทางเดิม ไม่อาจร่วมทางกันได้
อย่างพวกหลินสวิน ตอนมาก็มาจากประตูเคลื่อนย้ายที่ภูเขาเทพไร้มรณะ ยามหวนกลับก็ย่อมต้องกลับไปที่ภูเขาเทพไร้มรณะ
“พี่ใหญ่ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
พวกเจ้าคางคกและอาหลู่ทอดสายตามองไปทางหลินสวิน
หลินสวินยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองไปทั่วทิศ ราวกับต้องการจารึกทุกอย่างนี้ลงไปในสมอง ครู่หนึ่งถึงชักสายตากลับมา สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววตาแน่วแน่เอ่ยว่า
“ไป!”
ประกายแสงระลอกหนึ่งไหลวน เงาร่างของพวกหลินสวินก็หายลับไปในห้วงอากาศทีละคน เหลือเพียงเมืองอารักษ์มรรคอันยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันกลางฟ้าดิน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เป็นอมตะนิรันดร์กาล
วันนี้ หลังจากผ่านการกรำศึกฆ่าฟันอันดุเดือดมาสามปี สมรภูมิเก้าดินแดนก็ปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายทัพชั้นใด ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่เอาชีวิตรอดมาได้ ล้วนจากไปในวันนี้
สมรภูมิเก้าดินแดนที่ใหญ่โตก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่งเช่นนี้ ทั้งไม่รู้ว่าจะเปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปอีกกี่ปี
จันทร์กระจ่างครานั้นยังธำรง ฉายส่งเมฆงดงามลอยลับกลับไป!