Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1631 เป่าหอยสังข์ดังก้อง ปราณกระบี่สามชุ่น
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1631 เป่าหอยสังข์ดังก้อง ปราณกระบี่สามชุ่น
“อูๆ……”
ทันใดนั้นเบื้องหน้าเรือไม้ปรากฏทะเลสีเลือดผืนหนึ่ง ข้นหนืดประหนึ่งเกิดจากเลือดรวมตัวกัน เสียงแปลกพิกลสายหนึ่งดังขึ้นจากส่วนลึกของทะเลนั้น
ชั่วอึดใจหลินสวินก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แก้วหู เลือดลมพลิกตลบ เบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง ต้องโคจรพลังเต็มที่จึงจะสลายเสียงน่าสะพรึงนั้นไปได้
และเวลานี้เอง เขาถึงเห็นชัดว่ากลางระลอกคลื่นสีเลือดมีหอยสังข์สีทองตัวหนึ่งลอยคว้างอยู่ เป็นเสียงร้องของมัน เสียงอื้ออึงครวญคราง ก้องสะท้อนไหวกระเพื่อมกลางทะเล ระลอกคลื่นโหมซัดฟากฟ้า ห้วงอากาศปั่นป่วนระเบิดเป็นจุณ!
“นี่คือตัวอะไร”
หลินสวินตกใจ
ต่อมาที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ พร้อมๆ กับเสียงหอยสังข์สีทองที่แผ่กว้าง เวิ้งฟ้าล้วนระเบิดกระจาย น้ำทะเลสีเลือดพลิกม้วน พลุ่งพล่านโหมกระหน่ำไร้สิ้นสุด
และหลินสวินรู้สึกเพียงว่าร่างสั่นเทา จิตใจสั่นคลอน มรรควิถีทั่วร่างส่อแววปั่นป่วนพลิกกลับ อึดอัดจนแทบกระอักเลือด
เขารีบควบรวมสติเป็นหนึ่ง โคจรวิชาแห่งตน ราวกับเตาหลอมกลางห้วงอากาศ กำราบกระแสธารแห่งอดีตปัจจุบัน!
และเพราะทำเช่นนี้ จึงพอจะฝืนต้านพลังโจมตีของคลื่นเสียงระดับนั้นไว้ได้
และยามนี้ผู้เฒ่าอิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหน้าเรือไม้เอ่ยปาก เสียงหยาบแห้งแหบพร่า เสมือนไม่เคยพูดมาเป็นเนิ่นนาน
“นี่คือหอยสังข์ที่ภิกษุระดับจักรพรรดิคนหนึ่งเหลือทิ้งไว้ เป่าหอยสังข์ดังก้อง ลั่นกลองมหาธรรม สำแดงฤทธิ์มหาธรรม เสียงหอยสังข์ยิ่งก้องดัง พลังธรรมยิ่งแกร่งกล้า”
“หอยสังข์นี่ร่วงหล่นเสียหายมานานแล้ว หาไม่หากใช้ในมือพวกระดับจักรพรรดิ ก็เพียงพอจะทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย ทำให้ธารดาราสั่นโคลง ทำให้หมื่นชีวิตดับสูญ”
ทันทีที่เสียงผู้เฒ่าอิ๋นดังขึ้น หลินสวินรู้สึกเพียงว่าทั่วร่างผ่อนคลายลง พลังรบกวนที่เกิดจากคลื่นเสียงน่าสะพรึงนั่นล้วนอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย
เมื่อเหลือบสายตาขึ้นไปมองก็พบว่าทะเลสีเลือดนั่นเป็นเพียงภาพมายา แม้แต่หอยสังข์สีทองนั่นก็ยังเป็นแค่รอยประทับอันหนึ่ง และไม่รู้ว่าเพราะอะไร กลิ่นอายของมันที่ผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาไร้สิ้นสุด แต่กลับยังคงเหลือรอดมาจนถึงตอนนี้
“ทั้งหมดที่เจ้าเห็นเมื่อครู่เป็นเศษซากสนามรบแห่งหนึ่งในช่วงดึกดำบรรพ์ เลือดจักรพรรดิสาดกระเซ็นกลายเป็นสมุทร ทว่าเมื่อผ่านการผันเปลี่ยนของกาลเวลา ซากสนามรบก็ไม่เหลือนานแล้ว คงไว้เพียงกลิ่นอายส่วนหนึ่งที่ยังเหลือรำไรจนบัดนี้”
ผู้เฒ่าอิ๋นทอดถอนใจเสียงเบา
หลินสวินอดสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้ เพียงแค่กลิ่นอายรำไรส่วนหนึ่ง ถึงกับสร้างแรงกดดันและรุกรานที่น่ากลัวระดับนี้ให้แก่ตนได้เชียวหรือ
นี่มันน่ากลัวและน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“เมื่อครู่เจ้าทำได้ไม่เลว วิชาแห่งตนที่เจ้าสร้างขึ้นก็ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ขาดก็แต่การเคี่ยวกรำที่แท้จริงสักหน่อย”
ผู้เฒ่าอิ๋นกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาหันหลังให้หลินสวิน และไม่เคยหันกลับมามอง แต่กลับเหมือนเก็บรายละเอียดทุกสิ่งที่หลินสวินทำทั้งหมดไว้ภายใต้สายตา
เรือไม้บดขยี้ห้วงอากาศมุ่งหน้าเหินข้ามห้วงอากาศ ดูเหมือนเก่าบุโรทั่ง แต่กลับไม่เกรงกลัวการรุกรานของพลังกฎระเบียบแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าเลย
ไม่ทันไรทะเลสีเลือดก็หายไป กลางห้วงอากาศล้วนมืดมิดทั้งแถบ ประหนึ่งข้ามผ่านกลางราตรีนิรันดร์ไร้สิ้นสุด
เมื่อมาถึงที่นี่ ความเร็วของเรือไม้ก็ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด
“ที่นี่คือ ‘แดนดับสูญ’ เป็นสถานที่แห่งความว่างเปล่าแห่งหนึ่งซึ่งหลงเหลืออยู่หลังจาก ‘แดนโลก’ ถูกทำลาย สถานที่แบบนี้ก็อันตรายมากที่สุดเช่นกัน”
ผู้เฒ่าอิ๋นเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
ราวกับอยากให้เป็นไปตามคำพูดของเขา ครู่ต่อมากลางห้วงอากาศมืดมิดนั่นจู่ๆ ก็ปรากฏลำแสงเจิดจ้าสายแล้วสายเล่าขึ้นมา
นั่นคือปราณกระบี่มากมาย ตัดแหวกความมืดมิด ทะลวงเวิ้งฟ้า สาดส่องนิจนิรันดร์ เต็มไปด้วยประกายคมสะท้านโลกที่ไม่เสื่อมสลาย
เวลานี้ในที่สุดผู้เฒ่าอิ๋นก็เคลื่อนไหว เขาโบกแขนเสื้อหนึ่งครา เรือไม้พลันหลบเลี่ยงรวดเร็ว แสงวาบเดียวก็ห่างไกลไร้ขอบเขต หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ปราณกระบี่พาดขวาง
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังมีปราณกระบี่สายหนึ่งโฉบผ่านเรือไม้ พริบตานั้นหลินสวินถึงขั้นรู้สึกเหมือนเผชิญกับความตาย ทั่วร่างราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
ไม่ใช่อะไรอื่น ปราณกระบี่นี้หาใช่สิ่งที่จะมีอยู่บนโลก น่าพรั่นพรึงเกินไป น่ากลัวจนถึงขั้นทำเอาหลินสวินไม่สามารถทำความเข้าใจได้สักนิด!
“แดนดับสูญแถบนี้ เมื่อนานมาแล้วเคยปลิดชีพจักรพรรดิกระบี่คนหนึ่ง หลังจากเขาร่วงหล่น เจตกระบี่ที่สั่งสมภายในร่างไม่ดับสูญคงนิรันดร์ ทุกครั้งที่มีสิ่งแปลกปลอมเฉียดใกล้ก็จะโผล่ออกมา”
จนกระทั่งออกห่างพื้นที่สุ่มเสียงแถบนั้น ผู้เฒ่าอิ๋นถึงเอ่ยปากพูด
จักรพรรดิกระบี่ร่วงหล่นที่นี่!
ในใจหลินสวินสะท้านสะเทือนอีกครั้ง
ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดินี้ เต็มไปด้วยเรื่องราวคาวเลือด สะเทือนโลก น่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ นี่เป็นสิ่งที่หลินสวินคาดไม่ถึงเลยสักนิด
หากไม่ใช่เพราะมีผู้เฒ่าอิ๋นนำทาง ไม่ต้องคิดเลยว่าอาศัยเพียงแค่ระดับปราณในปัจจุบันของเขา ก็ยากจะข้ามผ่านด่านนี้อย่างสิ้นเชิง!
จู่ๆ ผู้เฒ่าอิ๋นก็กล่าวขึ้น “ข้าเห็นวิชาที่เจ้าสร้างขึ้นบรรจุนัยเร้นลับมรรคกระบี่ นี่คือปราณกระบี่สายหนึ่งที่เมื่อครู่ข้าเก็บมา เจ้าลองเอาไปสังเกตดู”
สวบ!
เสียงเพิ่งสิ้นสุด ปราณกระบี่สามชุ่นสายหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าหลินสวิน เปล่งประกายแวววาว ประกายคมสะท้านโลกดุจระยิบระยับไม่เสื่อมสลาย ลำพังแค่มองดูก็ให้ความรู้สึกทิ่มแทงเจ็บปวดหัวใจแก่ผู้คนแล้ว
นี่คือปราณกระบี่ที่จักรพรรดิกระบี่ผู้ร่วงหล่นทิ้งไว้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!”
หลินสวินราวกับได้รับสมบัติสูงสุด เพียงแต่ตอนที่ยื่นมือออกไปรับ ปราณกระบี่สามชุ่นนี้เสมือนเกิดพยศขึ้นมา ขยับเบาๆ ก็บดขยี้พลังของหลินสวิน ความคมของแสงกระบี่เกือบทำร้ายหลินสวิน!
สำหรับเรื่องนี้ ผู้เฒ่าอิ๋นคล้ายไม่รู้สึก ไม่ได้สนใจไยดี
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โคจรวิชาเตาหลอมมหามรรค เงามายาเตาหลอมใบหนึ่งโผล่ขึ้นกลางอากาศ ปิดครอบปราณกระบี่สามชุ่นเอาไว้
ปึงๆๆๆ!
ชั่วพริบตาปราณกระบี่ดิ้นพล่าน โฉบพุ่งชนกระแทก โจมตีเงามายาเตาหลอมจนเกือบสลาย
หลินสวินกัดฟัน สำแดงวิชาแห่งตนสุดกำลัง ต่อต้านประจันหน้ากับมัน ประหนึ่งกำลังทำการต่อสู้เข่นฆ่าที่น่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ
เพียงชั่วครู่สีหน้าหลินสวินก็เคร่งขรึมขึ้นมา
ปราณกระบี่นี้แกร่งกล้าเกินไป ประมือกับมันเสมือนสู้กับผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคคนหนึ่ง น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ
จากพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหลินสวิน ฆ่ามกุฎอริยะได้ไม่ต่างจากฉีกภาพวาด แต่ยามเผชิญหน้ากับปราณกระบี่สามชุ่นนี้ กลับเห็นได้ชัดว่ากินแรงหาใดเปรียบ
จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ริมฝีปากหลินสวินก็กระอักเลือดออกมา!
ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ปราณกระบี่สามชุ่นพลันระเบิดกระจาย กลายเป็นธุลีเจตกระบี่ที่แหลกลาญ ถูกหลอมอยู่ภายในเตาหลอม
หลินสวินนั่งขัดสมาธิโดยไม่ลังเล สงบจิตฝึกปราณหยั่งรู้
ชั่วอึดใจมรรคกระบี่ที่เร้นลับนับไม่ถ้วนพลันทะลักสู่กลางใจ พาให้หลินสวินลืมตัวตนไปสิ้นเชิง
ที่หัวเรือผู้เฒ่าอิ๋นเผยสีหน้าประหลาดใจวูบหนึ่ง แต่ไม่ทันไรก็กลับคืนสู่ปกติ
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา ว่าหากต้องการกำราบเจตกระบี่นี้ ต่อให้เป็นมหาอริยะก็ยังยากจะทำสำเร็จ
ทว่าหลินสวินกลับทำสำเร็จด้วยพลังระดับอริยะแท้!
ผู้เฒ่าอิ๋นนึกถึงคำประเมินที่ท่านเมี่ยวเสวียนมีต่อหลินสวิน
‘พันกาลไม่พานพบคนเช่นนี้ ดุจปีศาจดั่งเซียนไร้จำกัด’
……
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินที่นั่งสมาธิอยู่บนเรือพลันลืมตาขึ้น
เมื่อความคิดขยับไหว เงามายาเตาหลอมใบหนึ่งปรากฏ พริบตาก็กลายเป็นปราณกระบี่สามสิบสามชั้น ปราณกระบี่ทุกชั้นล้วนควบรวมกระบี่หนึ่งหมื่นแปดพันเล่ม กระบี่แต่ละเล่มล้วนมีเจตกระบี่แผ่พุ่ง กลิ่นอายคมกริบไพศาล ยามเมื่อพวยพุ่งกลางอากาศ เสมือนมหาสมุทรเจตกระบี่โหมกระหน่ำ
ฉัวะ!
พร้อมๆ กับการโคจรวิชาของหลินสวิน มหาสมุทรเจตกระบี่เริ่มสำแดงค่ายกลกระบี่กลางอากาศ ลักษณะพลังยิ่งใหญ่ สร้างจักรวาลของตนขึ้น
จนกระทั่งต่อมา พร้อมๆ กับเสียงครวญกระบี่ดุจกระแสน้ำระลอกหนึ่ง วิชาทั้งหมดต่างแทรกเข้าไปภายในกายหลินสวิน
เจตกระบี่บรรลุ!
การฝึกคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน คือการฟูมฟักปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าไว้ในแต่ละจุดชีพจร ใช้มันบ่มประกายกระบี่ รวมเจตกระบี่ ควบรวมเป็นจิตกระบี่ กลายเป็นวิญญาณกระบี่
และตอนนี้ หลินสวินใช้ปราณกระบี่ไท่เสวียนทั้งหมดของตน รวมออกมาเป็นเจตกระบี่ที่คมกริบไม่เสื่อมสลายกลุ่มหนึ่ง!
เมื่อคุณภาพแห่งปราณกระบี่เพิ่มขึ้นอีกขั้น ทำให้อานุภาพของปราณกระบี่ไท่เสวียนก็พลอยเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพด้วยเช่นกัน!
และปราณกระบี่ไท่เสวียน เดิมก็หลอมรวมเข้ากับเตาหลอมมหามรรควิชาแห่งตนของหลินสวิน ทำให้อานุภาพของวิชานี้เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างไร้รูปด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ที่มาจากการหลอม ‘ปราณกระบี่สามชุ่น’ นั่น!
“ใช้วิชาของคนโบราณเป็นที่ตั้ง ถือวิชาแห่งตนเป็นเตาหลอมเข้าแทนที่ มรรคนี้วิชานี้เย้ยฟ้าเกินไป… ข้าไม่ยักเคยได้ยินมาก่อน…”
ในเวลานี้เองผู้เฒ่าอิ๋นเอ่ยปาก น้ำเสียงเจือความเคร่งขรึม “สหายน้อย ต่อไปยามฝึกปราณ อย่าได้เผยวิชาแห่งตนง่ายๆ เด็ดขาด หาไม่จะเป็นภัยร้ายไม่ใช่เรื่องดี”
หัวใจหลินสวินเย็นวาบ พยักหน้ากล่าว “ขอบคุณคำชี้แนะของผู้อาวุโสยิ่ง”
ในเวลาต่อมาเรือไม้แล่นผ่านห้วงอากาศ ระหว่าทางประสบเรื่องราวแปลกพิสดารอันตรายไม่รู้เท่าไหร่
มีฟ้าดาราปั่นป่วน ดาวอุกกาบาตนับไม่ถ้วนร่วงหล่นตกลงมาเสียงหวีดหวิว ชนกระแทกจมเศษซากโลกที่เวิ้งว้าง
มีพายุมหามรรคที่น่าสะพรึงพัดโหม ประหนึ่งภัยพิบัติล้างโลก หอบม้วนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน บดขยี้สุริยันจันทราแหลกลาญ
มีโครงกระดูกจักรพรรดิที่ป่นปี้พุ่งพรวด กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำเอาฟ้าดินล้วนพังทลาย
มี…
ภาพฉากน่าสะพรึงไม่น่าเชื่อมากมายปรากฏ บ้างเป็นภาพมายาที่หลงเหลือ บ้างกลับเป็นสิ่งประหลาดที่มีอยู่จริง
ตลอดทางทำเอาหลินสวินตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมร่างอยู่บ่อยครั้ง หากไม่ใช่เพราะตลอดทางมีผู้เฒ่าอิ๋นคอยนำทาง หลินสวินคงต้องเบือนหน้าถอยหนีอย่างไม่ลังเลสักนิดแน่นอน
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาคิดไม่ถึงสักนิด ว่าเพียงแค่ระหว่างทางมุ่งหน้าไปสนามรบแนวหน้าจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีครั้งหนึ่ง ตอนที่ผ่านฟ้าดาราที่ขมุกขมัว พลันปรากฏเงาร่างคล้ายมายาสายหนึ่งยืนตระหง่านค้ำฟ้า แค่กลิ่นอายก็ทะลุผ่านความว่างเปล่าโดยรอบ ทำให้ดวงดาวนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาดุจสายฝน!
ตอนนั้นหลินสวินสะท้านสะเทือนอย่างสิ้นเชิง อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น
ไม่ต้องให้ผู้เฒ่าอิ๋นอธิบายสักนิด เขาก็รู้ว่านั่นคืออานุภาพแห่งมหาจักรพรรดิ ต่อให้ร่วงหล่นในกาลเวลาไร้สิ้นสุด แต่กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ก็มีอานุภาพบดขยี้เวิ้งฟ้า!
ผู้เป็นจักรพรรดิ แหงนเงยยิ่งสูง ขุดค้นยิ่งลึก มองเห็นอยู่หน้า พลันโผล่เบื้องหลัง สิบหกคำสั้นๆ ก็เผยบารมีแห่งระดับจักรพรรดิจนหมดสิ้น
ระดับนี้ทำให้ผู้คนยิ่งแหงนหน้ามองก็ยิ่งรู้สึกว่าสูงใหญ่ ยิ่งพยายามศึกษาขุดค้นก็ยิ่งรู้สึกถึงความไร้ขอบเขตของระดับนี้ หมายจะไล่ตาม ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน!
ที่กล่าวว่าเหลือบแลห้วงฟ้า ควบคุมโลกหล้า นำหน้าเหล่าอริยะ หาได้เกินจริง!
ตลอดเส้นทางนี้แม้จะยืดยาวเห็นได้ชัด แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับประหนึ่งผลักเปิดประตูบานใหม่ ทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวมากมาย ล้วนเป็นประสบการณ์ล้ำค่ายากจะหาสิ่งใดเปรียบ
ระหว่างทางผู้เฒ่าอิ๋นเองก็ชี้แนะและอธิบายให้หลินสวินเล็กน้อยเป็นครั้งคราว แม้จะพูดไม่มาก แต่ทุกครั้งกลับทำให้หลินสวินรู้สึกกระจ่าง แจ่มแจ้งเกิดปัญญา
ผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาด้านสภาวะจิต วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ ทำให้ปราณของเขามั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีสัญญาณรางๆ ว่าจะพุ่งสู่ระดับอริยะแท้ขั้นสมบูรณ์
นี่เป็นเรื่องยินดีที่เหนือคาดอย่างไม่ต้องสงสัย
ควรรู้ว่าหลังกลับจากสมรภูมิเก้าดินแดน ปราณของหลินสวินเพิ่งจะบรรลุระดับอริยะแท้ขั้นปลายตอนที่รับโชควาสนามหามรรคบนภูเขาไร้มรณะ
ตอนนี้พลังปราณถึงขั้นมีสัญญาณจะทะลวงสู่ขั้นสมบูรณ์ แค่คิดก็รู้ว่าองค์ความรู้และประสบการณ์ตลอดการเดินทางครั้งนี้ นำพามาซึ่งประโยชน์มากมายปานใดแก่หลินสวิน!
คำกล่าวที่ว่า ท่องตำราหมื่นรอบไม่สู้เดินทางพันลี้ ก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้