Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1632 กำแพงเมืองด่านจักรพรรด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1632 กำแพงเมืองด่านจักรพรรด
เรือไม้เก่าแล่นผ่านห้วงอากาศ ผู้เฒ่าอิ๋นยังคงนิ่งเงียบเช่นเคย
แต่หลินสวินรู้ ผู้เฒ่าอิ๋นคนนี้เป็นคนที่ไม่ด้อยกว่าท่านเมี่ยวเสวียน ถึงขั้นอาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!
เพราะอันตรายที่ประสบพบเจอระหว่างทาง ไม่ขาดกลิ่นอายที่พวกระดับจักรพรรดิหลงเหลือไว้ สามารถฆ่าระดับอริยะคนใดก็ได้อย่างง่ายดาย
แต่ผู้เฒ่าอิ๋นกลับสามารถกลับร้ายกลายเป็นดีได้เสมอ!
นี่มีหรือที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้
วันนี้ตอนที่หลินสวินกำลังอนุมานและเคี่ยวกรำคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค จู่ๆ พลันสังเกตเห็นว่าเรือไม้แล่นผ่านเขตพื้นที่ฟ้าดาราที่เหมือนสวนสุสานแถบหนึ่ง
สุสานแห่งแล้วแห่งเล่าประหนึ่งหินอุกกาบาต ลอยคว้างกลางอากาศ แต่ละแห่งล้วนแผ่กลิ่นอายแปลกพิกลสุดหยั่งออกมา ราวกับสิ่งที่กลบฝังอยู่ในนั้นคือเทพมารบรรพกาล!
บนสุสานหนึ่งในนั้นมียุงโลหิตตัวหนึ่งเกาะอยู่ ขนาดใหญ่หนึ่งร้อยจั้งเต็มๆ ร่างแดงฉานปานเลือด ราวกับถูกสร้างจากทองคำเทพ แผ่กลิ่นอายหนาวเหน็บชวนสยอง
นัยน์ตาสองข้างของมันเหมือนโคมสีเลือดคู่หนึ่ง ด้านหลังมีปีกสิบหกคู่งอกอยู่ บนปีกแต่ละคู่ประทับอักษรทะมึนประหลาดและแน่นขนัด บิดเบี้ยวพิสดาร
ทอดสายตาไกลออกไป ก็มีกลิ่นอายชั่วร้ายพาให้ผู้คนใจสะท้านลอยปะทะเข้ามา ราวกับได้เห็นเทพยมบาลสะท้านโลกกับตาตัวเอง แข็งกร้าวคับฟ้า!
มันหมอบอยู่บนหลุมศพ ปากแหลมคมดุจใบมีดเสียบทะลุเข้าไปภายในหลุมศพ ปีกสิบหกคู่ขยับไหวบางเบา ราวกับดูดซึมพลังบางอย่าง เห็นได้ชัดว่าแปลกพิสดารอย่างที่สุด
บุตรนรก?
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ปีนั้นในแดนเก้าบนของแดนมกุฎ สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกอย่างบุตรนรกตื่นขึ้นและก่อคลื่นลม สำแดงอานุภาพประหนึ่งเหยียดหยันสรรพสิ่ง
หลินสวินเคยสู้กับเขามากกว่าหนึ่งครั้ง รู้ดีถึงพลังกายของเจ้าหมอนี่ เขายังเป็น ‘ยุงโลหิตแปดปีก’ ที่ถือกำเนิดในแม่น้ำนรก!
สัตว์ร้ายระดับนี้ ฟ้าให้กำเนิดผืนดินชุบเลี้ยง ครองพรสวรรค์แข็งกร้าวอย่างไม่น่าเชื่อ
หนำซ้ำพลังชีวิตของเขายังแกร่งกล้าเสียจนเกือบเป็นอมตะ หลินสวินต่อสู้กับเขาหลายครั้ง และสังหารเขาไปหลายครั้งอย่างสมบูรณ์
แต่ทุกครั้งบุตรนรกล้วนใช้ ‘กาหลอมจิตจักรพรรดินรก’ ฟื้นคืนชีพกลับมา
จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่สังหารบุตรนรก หลินสวินมั่นใจยิ่งว่าบดขยี้จิตวิญญาณของเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่สุดท้ายเลือดเนื้อที่ป่นปี้ของบุตรนรกก็ยังถูกกาหลอมจิตจักรพรรดินรกที่ลึกลับนั่นช่วยชีวิตเอาไว้
ตอนนั้นขนาดหลินสวินยังไม่กล้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้งหรือไม่
ร่างมหึมาที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น ยุงโลหิตที่แข็งกร้าวหาใดเปรียบ จะใช่เขาหรือไม่
ยามเมื่อหลินสวินจับจ้องอย่างถี่ถ้วน เรือไม้ก็แล่นผ่าน ‘สุสานฟ้าดารา’ ผืนนี้ไปแล้ว มองไม่เห็นยุงโลหิตตัวนั้นอีก
แต่ในใจหลินสวินกลับไม่อาจสงบอยู่บ้าง
บุตรนรกในปีนั้นมีปีกแปดคู่ มีปราณระดับราชันอมตะเคราะห์ ส่วนยุงโลหิตที่เห็นเมื่อครู่ก็มีปีกสิบหกข้าง…
หากเป็นบุตรนรกจริง เขาจะมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร
“นั่นคือยุงโลหิตแม่น้ำนรกสิบหกปีก มีพรสวรรค์สายเลือดระดับนี้ ย่อมเป็นพวก ‘บุตรจักรพรรดิ’ ในแดนนรกแน่ เท่าที่ข้ารู้ ในสมัยดึกดำบรรพ์ ร่างของ ‘จักรพรรดินรกเลือดทมิฬ’ ที่มุ่งหน้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราก็เป็นพวกร้ายกาจเช่นนี้”
ด้านหน้าเรือไม้ ผู้เฒ่าอิ๋นเอ่ยปาก เขาคล้ายดูออกว่าสภาพจิตใจของหลินสวินไม่ปกติอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ยุงโลหิตตัวนั้นกำลังทำอะไร”
หลินสวินเอ่ยถามด้วยจิตใจไหวหวั่น
เสียงผู้เฒ่าอิ๋นเจือแววชิงชังอย่างหายาก กล่าวว่า “ดูดซับซากเลือดเสี้ยววิญญาณของวีรชนโบราณมาฝึกปราณ อาศัยสิ่งนี้กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงแห่งตน ก็เหมือนยุงกระหายเลือด ผีแค้นเทพชัง”
ในใจหลินสวินเองก็อดผุดความแขยงขึ้นมาไม่ได้ ใต้สุสานฟ้าดารานั่นฝังศพผู้แข็งแกร่งเมื่อกาลก่อนไม่รู้เท่าไหร่
ยุงโลหิตแม่น้ำนรกนั่นกลับใช้ซากเลือดและวิญญาณวีรชนที่ศพในดีตเหล่านั้นเหลือทิ้งไว้มาฝึกปราณ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดยิ่งเป็นธรรมดา
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง
เรือไม้ซอมซ่อก็พลันหยุดนิ่งกลางห้วงอากาศ ผู้เฒ่าอิ๋นเอ่ยปากกล่าว “กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ถึงแล้ว”
หลินสวินเงยหน้าขึ้นทันใด
ก็เห็นว่าไกลโพ้นมีเส้นสีดำทอดยาวเป็นคลื่น พาดขวางกลางฟ้าดิน ไพศาลประหนึ่งยาวไกลไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ยิ่งนัก ใหญ่จนทำเอาผู้คนมองไม่เห็นความสูงความยาวของมัน
แต่เมื่อมองอย่างละเอียด กลับระบุได้ว่านั่นเป็นกำแพงเมืองที่คดเคี้ยวตั้งอยู่กลางฟ้าดิน ไพศาลหาใดเปรียบ สูงตระหง่านยิ่งยง ครอบฟ้าคลุมดิน!
เพียงแค่ทอดมองจากไกลๆ ก็ทำให้คนรู้สึกเล็กจ้อย เพราะเมืองแห่งนี้ไพศาลเกินไป รอบบริเวณกำแพงเมืองนั่นยังมีดวงดาวมากมายโคจรอยู่ ดุจดั่งกาลนิรันดร์ ประหนึ่งว่าเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
กว้างใหญ่!
โอฬาร!
สูงตระหง่าน!
ขนาดดวงดาวยังได้แต่โคจรรอบกำแพงเมือง นี่ต้องกว้างใหญ่ปานใดกัน
“เมืองนี้ประกอบขึ้นจากดวงดาวนอกดินแดนที่ระดับจักรพรรดิเก็บมา กระจายขวางกลางฟ้าดินเสมือนเกราะกำบังแห่งนิรันดร์กาล ต้านทานศัตรูภายนอก”
น้ำเสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าอิ๋นเจือแววทอดถอนใจ “ปราการสวรรค์ด่านแรกแห่งดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ ไม่ใช่คำเท็จอย่างแน่นอน”
ในใจหลินสวินโหมกระเพื่อม นับแต่อดีตจนปัจจุบัน เมืองนี้ตั้งตระหง่านไม่เสื่อมคลาย ประหนึ่งปราการธรรมชาติที่ขวางกั้นศัตรูภายนอกไม่ให้รุกราน!
คาดเดาจากจุดนี้ ตรงข้ามกับเมืองนี้ไม่ใช่ว่าเชื่อมต่อกับอีกแปดดินแดนที่เหลือหรือ
“เจ้าเริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว”
ผู้เฒ่าอิ๋นกล่าว “ตอนขากลับให้ท่านเซิ่นไปส่งเจ้าก็พอ”
หลินสวินได้สติโดยพลัน ค้อมกายคารวะ “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ดูแลตลอดทาง”
ผู้เฒ่าอิ๋นพยักหน้าเบาๆ โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พลังมหึมาไร้รูปแผ่กว้าง ห่อหุ้มหลินสวินออกจากเรือไม้โดยพลัน
ตอนที่รู้สึกตัวหลินสวินก็มาโผล่เบื้องหน้ากำแพงเมืองด่านจักรพรรดินั่นแล้ว ไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าอิ๋นเรียบร้อยแล้ว
หลินสวินส่ายหน้าเบาๆ ไม่คิดมากอีก สาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า ยิ่งเข้าใกล้เมืองนี้ก็ยิ่งรู้สึกถึงความเล็กจ้อยของตนเอง เสมือนมดแหงนมองท้องฟ้า ห่างชั้นกันเกินไป!
หนำซ้ำเมื่อเข้าใกล้ หลินสวินยิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอายบีบคั้นยิ่งใหญ่ จิตใจล้วนสั่นสะท้าน ราวกับว่าบนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมีระดับจักรพรรดิมากมายยืนอยู่ กำลังเหยียดมองโลกหล้า
เมืองนี้มโหฬารและสูงตระหง่านเกินไปจริงๆ แค่เดินเข้าไปมองใกล้ๆ ก็เต็มไปด้วยภาพเบิกฟ้าดิน พยับเมฆปั่นป่วนคละคลุ้ง ดาวดวงมากมายรายล้อม ไม่อาจเปรียบเปรย
หลินสวินสัมผัสรับรู้ครู่หนึ่งก็พลันเข้าใจว่าทั้งบนล่างของเมืองนี้ล้วนปกคลุมด้วยผนึกสูงสุด คละคลุ้งกลิ่นอาย ‘ระดับจักรพรรดิ’ ผงาดง้ำเหนือโลก!
นี่ก็คือกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ คงอยู่นิรันดร์ พาดขวางแนวหน้า!
“เอ๋! เจ้าหนูน้อย เป็นใครส่งเจ้ามาที่นี่ เหลวไหลสิ้นดี ไม่ห่วงชีวิตแล้วรึ”
ทันใดนั้นเสียงตวาดสนั่นปานฟ้าคำรามสายหนึ่งดังขึ้นกลางเมืองใหญ่สูงตระหง่านนั่น
ฮูม!
ครู่ต่อมาลมอสนีโหมกระหน่ำ ห้วงอากาศปั่นป่วน
บริเวณไม่ไกลจากหลินสวินนักพลันปรากฏบุรุษที่สวมเกราะเขียว ผมเครารุงรัง ใบหน้ากร้าวแกร่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงแกร่งกร้าว
รอบกายเขาละอองแสงมหามรรคพวยพุ่งดุจน้ำตกสาดกระเซ็น ยืนง่ายๆ อยู่ตรงนั้นก็ทำให้หลินสวินหายใจติดขัด เกิดความรู้สึกเล็กจ้อยแหงนมองฟ้าสูงลิ่ว
นี่คือบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิที่ฆ่าฟันในสนามรบมาเนิ่นนาน!
ทันใดนั้นหลินสวินระบุได้ทันที จึงรีบโค้งคารวะกล่าวว่า “ผู้น้อยหลินสวิน คารวะผู้อาวุโส”
ชายวัยกลางคนที่กร้าวแกร่งนัยน์ตาทอประกายราวกับกระบี่เทพพุ่งยิงกวาดมองหลินสวิน ค่อยกล่าวขึ้นว่า “ข้าคือซุ่นจี้ผู้เฝ้าประตูเมืองนี้ เจ้าหนูน้อย บอกข้าว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามา ที่นี่เป็นถึงสนามรบแนวหน้า ผู้ใหญ่บ้านเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าระดับปราณอย่างเจ้ามาที่นี่ก็เหมือนการรนหาที่ตายโดยแท้”
คำพูดของซุ่นจี้ไม่เกรงใจยิ่ง
หลินสวินประสานมือกล่าว “ผู้น้อยมุ่งหน้ามาครั้งนี้ด้วยยืมพลังของหอฤทธิ์เทพ จุดประสงค์เพราะมีธุระอยากพบท่านเซิ่น หวังว่าผู้อาวุโสจะเกื้อหนุน”
ได้ยินคำว่าหอฤทธิ์เทพสามคำนี้ สีหน้าซุ่นจี้ก็อ่อนลงไม่น้อย แต่ยังคงแปลกใจ กล่าวว่า “ธุระอะไร ถึงกับให้คนรุ่นหลังอย่างเจ้ามุ่งหน้ามาคนเดียว ไม่กลัวเจอเรื่องไม่คาดฝันหรือ”
ไม่รอให้หลินสวินตอบกลับเขาก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้ามาถึงโดยสวัสดิภาพ ก็ตามข้าเข้ามาในเมืองก่อนแล้วกัน ตอนนี้ท่านเซิ่นไม่อยู่ที่นี่ แต่วางแผนขับไล่ศัตรูอยู่ที่ ‘ฐานทัพ’ อีกแห่งหนึ่ง”
กล่าวพลางซุ่นจี้โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พาหลินสวินเหินทะยานกลางอากาศ แสงประกายพุ่งวาบก็พลันหายไปในอากาศ
ครู่ต่อมาทั้งสองมาปรากฏตัวภายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ
ในนี้ก็กว้างใหญ่ไพศาลจนไม่อาจจินตนาการเช่นเดียวกัน สามารถมองเห็นศิลาอุกกาบาตมหึมาดวงแล้วดวงเล่าลอยคว้างอยู่ในพื้นที่ต่างกัน ประหนึ่งหมู่เกาะกว้างใหญ่กลางห้วงอากาศ
สวบ!
เพิ่งจะปรากฏตัวก็มีพลังจิตรับรู้น่าสะพรึงแข้งกร้าวไร้ทัดเทียมสายแล้วสายเล่ากวาดผ่าน ทำเอาหลินสวินพลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง แผ่นหลังชาวาบ
นี่คือผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าอยู่ภายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย!
“รู้สึกอย่างไรบ้าง”
ซุ่นจี้แสยะยิ้มคราหนึ่ง สีหน้าดุดันเข้มขรึมเจือแววเสียดสี “เจ้าพวกนั้นที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่มานาน ไม่มีใครที่ปราณต่ำกว่าระดับราชันอริยะสักคน”
สีหน้าหลินสวินแข็งทื่อ ถอนใจกล่าว “กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ชื่อเสียงสมคำร่ำลือจริงๆ”
“ได้ยินหรือไม่ เจ้าหนูนี่ก็รู้ถึงความร้ายกาจของด่านรบแนวหน้า ขืนพวกเจ้ายังทำเช่นนี้อีก เดี๋ยวจะทำให้เขาตกใจได้นา”
ซุ่นจี้ระเบิดหัวเราะลั่น
ฉับพลันนั้นเจตจำนงน่าสะพรึงที่เคลื่อนเข้ามามากมายเหล่านั้นล้วนถอยร่นเหมือนกระแสน้ำ คราวนี้หลินสวินถึงค่อยรู้สึกโล่งอก
เมื่อครู่ถูกเจตจำนงน่าสะพรึงมากมายขนาดนั้นจับจ้อง ความรู้สึกนั้นรับไม่ไหวเลยสักนิด
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปที่พำนักของท่านเซิ่นก่อน”
ซุ่นจี้โรยตัวสู่พื้นแผ่วเบา พาหลินสวินย่างเท้าก้าวสู่เบื้องหน้า แสงทองสายหนึ่งแผ่ขยายออกไป เหยียบย่างบนนั้นทำให้ระดับความเร็วว่องไวยิ่งยวด
ระหว่างทางหลินสวินสังเกตเห็นว่า บนศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ลอยคว้างกลางอากาศมีเงาร่างบางส่วนนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น นิ่งเงียบไร้สุ้มเสียง เส้นคิ้ว หนวดเครา ผมเผ้าระสยายราวกับน้ำตก ทั่วร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผง ไม่รู้ว่านั่งสมาธิเนิ่นนานกี่กาลเวลา
“นี่…”
ทันใดนั้นหลินสวินเบิกตากว้าง เขามองเห็นอะไรกัน นกกระจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง อ้าปากสูดกลืนหนึ่งคราก็กลืนกินดาวดวงหนึ่ง ส่งเสียงขับขานก้องกังวานออกมา
ไม่นานหลังจากนั้นในใจหลินสวินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง มองเห็นชายชราตัวเล็กคล้ายคนแคระ กลับลากศพสูงถึงหนึ่งร้อยจั้ง เดินผ่านห้วงอากาศด้วยท่าทางลำพอง
ชายชราแคระเร่งเดินไปพลางร้องตะโกนไปพลาง “ทุกคนดูสิๆ นี่ก็คือผลงานการศึกในวันนี้ของข้า กึ่งจักรพรรดิเผ่ายักษ์โลหิตเถื่อน!”
หลินสวินปากอ้าตาค้าง ล่าสังหารกึ่งจักรพรรดิหรือ ชายชราแคระคนนี้โหดเพียงนี้เชียว
ซุ่นจี้ที่อยู่ข้างๆ แค่นเสียงเย็น “อย่าไปใส่ใจเจ้าเฒ่านี่เลย มากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเจ็ดพันกว่าปีแล้ว เพิ่งฆ่าศัตรูกึ่งจักรพรรดิได้ไม่ถึงสามสิบคน ได้แต่บอกว่าอ่อนแอสุดๆ”
หลินสวินจนคำพูดทันที ถึงขั้นฆ่ากึ่งจักรพรรดิได้ แต่กลับถูกบรรยายว่าอ่อนแอสุดๆ…
ทันใดนั้นเสียงร่ำไห้เปี่ยมความเศร้าโศกสายหนึ่งก็ดังขึ้น ในพื้นที่ไกลออกไปกลิ่นอายโกลาหลคละคลุ้ง สายฟ้าสีขาวหิมะนับไม่ถ้วนไหลแล่นอยู่ในนั้น
เห็นได้รำไรว่าภายในสายฟ้าวุ่นวายนั่นมีเงาร่างสีขาวสูงยาวสายหนึ่ง คล้ายมีแต่เหมือนไม่มี ดุจดั่งเซียนผีเยือนโลกปุถุชน