Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1644 สัมบูรณ
ปัง!
สุดท้าย บุตรนรกถูกตีจนร่างกระแทกพื้นแข็งของสังเวียนเทพมารอย่างแรง ส่งเสียงร้องน่าอนาถ ลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว
ปีกทั้งสิบหกคู่ของเขาปักมีเลือดสดไหลริน ร่างใหญ่เป็นรูพรูน เต็มไปด้วยแผลจากพลังหมัด กระบี่ และพลังดรรชนี
บนห้วงอากาศ ดวงตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ เต็มไปด้วยความไร้ปรานี
ฟุ่บ!
เขาบุกสังหารลงมาอย่างไม่ลังเล
ทว่าระหว่างทางก็ถูกพลังมหาศาลไร้รูปขวางไว้
เป็นซุ่นจี้ เขาขมวดคิ้วถลึงตาใส่หลินสวินแวบหนึ่งพร้อมสื่อจิต ‘ข้ารู้ว่าเจ้าอยากฆ่าเขา แต่ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ หากเจ้าทำเช่นนั้น รู้หรือไม่ว่าจะชักนำอะไรมาสู่ตัวเอง’
เริ่มแรกหลินสวินยังไม่จำยอมนัก ได้ยินเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว ‘หรือต้องชดใช้ด้วยชีวิต’
‘คงไม่ถึงกับชดใช้ด้วยชีวิต แต่กลับสามารถขังเจ้าหนึ่งพันปีได้ หนึ่งพันปีเชียวนะ อาจจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่เจ้าทนได้หรือ’
ซุ่นจี้รีบพูด
เขารู้ดีว่าสำหรับคนหนุ่มที่เรียกได้ว่าโดดเด่นอย่างไม่เคยพบเจอมาก่อนเช่นหลินสวิน เวลามีค่าแค่ไหน
เพราะพวกเขายังมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ ยังมีโอกาสต่อสู้เพื่อความสำเร็จ อย่าว่าแต่หนึ่งพันปี แค่หนึ่งร้อยปีก็อาจจะสูญเสียโอกาสมากเกินไปแล้ว!
ดั่งคำว่าการต่อสู้มหามรรค พลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจเกิดความบกพร่องที่ไม่สามารถชดเชยได้
‘ข้าเข้าใจแล้ว’
หลินสวินสูดหายใจลึก พยายามข่มไอสังหารในใจไว้
เขาย่อมไม่มีทางทนถูกขังหนึ่งพันปีได้ นี่เป็นความทรมานยิ่งกว่าฆ่าเขาเสียอีก
‘ก็ให้เป็นไปตามนี้เถอะ เขาแพ้แล้ว ส่วนเจ้า… ก็ได้รับประโยชน์ไปไม่น้อยแล้ว”
ซุ่นจี้พูดถึงตอนท้ายสีหน้าเผยความพิกลเสี้ยวหนึ่ง เจ้าหมอนี่แม้ไม่ได้ฆ่าบุตรนรก แต่ก็ได้สมบัติไปไม่น้อยเลยจริงๆ
อย่างกระบี่อเวจี ประทับนรกมืดดำ รวมถึงยันต์วิญญาณเลือดหมื่นอริยะนั่น
หลินสวินมองไปยังบุตรนรก ตอนนี้เขากลับคืนสู่ร่างมนุษย์แล้ว ร่างกายหลั่งเลือด ใบหน้าซีดเซียว หมอบอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถยิ่ง
“ตามเดิมพัน เจ้าควรจะคุกเข่าตบหน้าตัวเองแล้วใช่หรือไม่”
หลินสวินพูด
ร่างของบุตรนรกพลันตัวสั่น ตะโกนอย่างเดือดดาล “แน่จริงเจ้าก็สังหารข้าสิ!”
“กล้าพนันไม่กล้ายอมรับหรือ เหอะๆ”
หลินสวินเยาะเย้ย จู่ๆ ก็พูดว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เอากาหลอมจิตออกมา ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”
บุตรนรกโกรธจนกระอักเลือดไม่หยุด เจ้าสารเลวสมควรตายนี่ แย่งสมบัติตนไปมากขนาดนั้นยังไม่พอ ยังจ้องจะชิงกาหลอมจิตอีก!
ซุ่นจี้สีหน้าพิกล รีบสื่อจิต ‘สหายน้อย กาหลอมจิตจะเอาไม่ได้เด็ดขาด สมบัตินี้กฎกรรมใหญ่เกินไป เป็นสิ่งที่จักรพรรดินรกเลือดทมิฬหลงเหลือไว้ ขอเพียงแค่จักรพรรดินรกเลือดทมิฬไม่ตาย สมบัตินี้แม้จะถูกเจ้าชิงไปก็ไม่มีทางถูกควบคุมได้แน่’
กาหลอมจิตจักรพรรดินรก!
ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ใครบ้างไม่รู้ว่าสมบัตินี้เหลือเชื่อเพียงใด
ทว่าจนตอนนี้ยังไม่มีคนกล้าหมายตาสมบัตินี้!
เหตุผลแรกเพราะมีบุคคลอันดับหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิอย่างกู่เหลียงฉวี่ เหตุผลที่สองเพราะกาหลอมจิตนี้ลวกมือเกินไป เปื้อนกฎกรรม ทั้งชีวิตก็ไม่อาจหลุดพ้นได้
‘ไม่ได้จริงหรือ’
หลินสวินไม่จำยอมนัก
กาหลอมจิตเคยช่วยบุตรนรกไว้หลายครั้ง นี่ทำให้บุตรนรก ‘ตายแล้วฟื้น’ หลายครั้ง ความมหัศจรรย์แห่งอานุภาพเหนือจินตนาการ
หากสามารถยึดครองไว้เป็นของตนได้ ไม่แน่ว่าจะสามารถมีอีกหลายชีวิตเพิ่มมา!
‘ไม่ได้’
ซุ่นจี้ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
พูดเป็นเล่นอะไร หากกาหลอมจิตหายไป ยังไม่ต้องพูดถึงกฎกรรมที่ปนเปื้อนอยู่ เพียงแค่หลังจากกู่เหลียงฉวี่รู้ข่าวก็จะต้องมาสังหารทันทีแน่ ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ก็รุนแรงไปแล้ว
“หลินสวิน ความแค้นครั้งนี้ข้าจะจำไว้ สักวันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่า!”
บุตรนรกลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาต
ปัง!
หลินสวินถีบเขาออกจนปลิวในคราเดียว กระดูกไม่รู้หักไปกี่ท่อน ล้มลงคะมำหน้าคว่ำเหมือนหมาดมขี้ห่างไปสิบกว่าจั้งอย่างแรง
“เจ้า…”
บุตรนรกโกรธจนเกือบเป็นลมแล้ว กัดฟันกรอด
หลินสวินเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ได้ให้เจ้าคุกเข่าลงพื้นตบหน้าตัวเองก็ถือว่าเมตตาแล้ว เจ้ายังจะกล้าขู่ข้า คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ หรือ”
บุตรนรกตัวสั่นอย่างรุนแรง อับอายและเคียดแค้นถึงขีดสุด สุดท้ายลุกขึ้นโดยไม่ปริปากพูด ก่อนเคลื่อนตัวออกนอกสังเวียนเทพมารไป
ครั้งนี้เขาขายหน้ามาก ไม่เพียงแค่ถูกโจมตีจนทรุด ยังเสียหน้าจนไม่เหลือ จะมีหน้าอยู่ต่อเสียที่ไหน
เดิมทีหลินสวินหมายจะหยุดไว้ ต่อให้ไม่สามารถฆ่าบุตรนรกได้ อย่างน้อยก็ยังรีดสมบัติหลายชิ้นจากเจ้าหมอนี่ได้อีก
ถึงอย่างไรเขาก็คือเด็กส่งแจกทรัพย์คนหนึ่ง
แต่กลับถูกซุ่นจี้ขวางเอาไว้ “เจ้าหนู หยุดเถอะ ล่วงเกินบุตรนรกไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ต้องเกรงที่พึ่งของเจ้าหมอนั่นสักหน่อย เมื่อนานมาแล้วจักรพรรดินรกเลือดทมิฬเองก็เคยคุมอำนาจกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ทำคุณให้กับดินแดนรกร้างโบราณ อีกทั้งผลงานรบไร้เทียมทาน จนตอนนี้ยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนไม่น้อยสำนึกบุญคุณเก่าของเขา บุคคลอันดับหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิอย่างกู่เหลียงฉวี่ก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น”
ดวงตาดำของหลินสวินวูบไหว สุดท้ายก็ยอม
คิดๆ แล้วบุตรนรกนี่เป็นคนวาสนาดีนัก ฐานะของเขาคือลูกหลานจักรพรรดินรกเลือดทมิฬ พรสวรรค์และรากฐานพลังก็โดดเด่นจนน่าทึ่ง
แม้แต่สมบัติบนร่างก็มากจนนับไม่ถ้วน ขนาดจักรพรรดินรกเลือดทมิฬจากไปนานขนาดนั้นแล้ว โลกปัจจุบันยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายสำนึกบุญคุณเก่าของเขา กลายเป็นที่พึ่งของบุตรนรก
ภายใต้วาสนามากมายที่ปกคลุมนี้ เพียงพอจะทำให้เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าในโลกอิจฉาตาร้อน
น่าเสียดายที่เจ้าหมอนี่เจอกับข้า ก็สมควรแล้วที่โชคร้าย!
……
ตำหนักปรกอุดม
นี่คือที่อยู่ของฮูหยินมู่ เป็นตำหนักที่สร้างขึ้นข้างฝั่งทะเลสาบแห่งหนึ่ง ร่มเย็นสง่างาม
พอการต่อสู้ของหลินสวินและบุตรนรกจบลง ทุกคนก็มารวมตัวกันที่นี่
ซุ่นจี้เอา ‘แม่น้ำไหลหิมะพล่าน’ ที่เก็บมาหมื่นปีออกมา หลิงเซียวจื่อเอาเหล้ากลั่นเทพที่เดิมเป็นของติดตัวของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิออกมา
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ บ้างเอาผลล้ำค่าประหลาดออกมา บ้างลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง
ทุกคนนั่งกับพื้น ลิ้มรสเหล้า กินอาหาร ผลไม้พร้อมรอยยิ้ม เหมือนกลุ่มสหายรวมตัวกัน บรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียว
หลินสวินในฐานะที่เป็นคนรุ่นเยาว์ กลายเป็นเป้าหมายที่เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่ามอมเหล้า ไม่นานก็ดื่มจนเมา
เหล้าเหล่านี้ล้วนเป็นเหล้าชั้นดีหายาก เป็นสมบัติที่กึ่งจักรพรรดิซ่อนไว้ส่วนตัว ไม่เพียงแค่ฤทธิ์แรง ภายในยังซ่อนพลังโอสถน่าทึ่ง
ด้วยพลังปราณของหลินสวิน หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปมากขนาดนี้จึงอิ่มเอิบขึ้นมา ราวกับบำรุงเกินขนาดไปแล้ว
นอกจากนี้อาหารและผลไม้ในงานเลี้ยงก็ล้วนเป็นสมบัติที่หายากอย่างยิ่ง สั่งสมพลังพิสุทธิ์หลากหลาย
อย่างเช่น ‘ไก่เซียนเมามาย’ ที่ใช้สัตว์วิญญาณฟ้าดินนามว่า ‘ไก่สามวิเศษเจ็ดปีก’ รวมกับวัตถุดิบวิญญาณนับร้อยชนิด แล้วอบในเตาที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ
เพียงแค่เตาอบนั่นก็เป็นสมบัติอริยะที่คุณลักษณะไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งแล้ว ไฟที่ใช้อบยังเป็นเพลิงมรรครุ้งเขียวที่เป็นหนึ่งในเก้าเพลิงจักรวาลอีก
พูดอย่างไม่เกินจริง ไก่เซียนเมามายนี้เทียบได้กับโอสถวิเศษอย่างหนึ่งแล้ว แน่นอนว่ารสชาติก็ยอดเยี่ยมจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
หรืออย่าง ‘พุทธาเพลิงกินประกาย’ กับ ‘ท้อเขียวหงส์ดารา’ ถูกยกย่องให้เป็น ‘ครรภ์สมบัติกำเนิดอริยะ’ ที่ฟ้าดินฟูมฟัก มูลค่าของผลเดียวก็เพียงพอทำให้ราชันอริยะอิจฉาตาร้อนแล้ว
เหล่านี้ล้วนกลายเป็นอาหารในท้องหลินสวิน ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ จะย่อยไหวได้อย่างไร
ไม่นานเขาก็ตัวเบาเหมือนจะลอยไปตามสายลม พลันน่ากลัวที่พลุ่งพล่านเริ่มสั่งสมในร่าง
เดิมทีฮูหยินมู่คิดว่าหลังจากงานเลี้ยงจะคุยกับหลินสวินเป็นการส่วนตัวสักหน่อย แนะนำหลานสาวของตนให้กับหลินสวิน
ทว่าเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำได้แค่ปล่อยไป
สุดท้ายตอนที่งานเลี้ยงจบลงและแยกย้ายกันไป ซุ่นจี้ก็พาหลินสวินไปส่งที่ตำหนักสำริดของท่านเซิ่น
ก่อนไปจู่ๆ ซุ่นจี้ก็พูดขึ้น “สหายน้อย ข้าว่าบุตรนรกเจอความพ่ายแพ้ระดับนี้ไป ต้องไม่ยอมหยุดเท่านี้แน่ ช่วงนี้เจ้าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว อยู่แค่ที่นี่ หลบภัยไปก่อน รอท่านเซิ่นกลับมา ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปอย่างง่ายดาย”
หลินสวินได้ยินคำพูดนี้สร่างเมาไปกว่าครึ่ง กล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
ซุ่นจี้ยิ้มโบกมือพูด “เจ้ารีบเข้าฝึกเร็วหน่อย หลอมพลังในร่างกาย งานเลี้ยงครั้งนี้ก็นับว่าเป็นเจตนาดีของคนเฒ่าอย่างพวกเรา เอาของดีจำนวนไม่น้อยออกมาแล้ว เจ้าอย่าได้ทำเสียของเชียว”
พูดจบเขาก็หมุนตัวออกไป
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ในใจอบอุ่น
เขาย่อมรู้ว่างานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรสหรือผลไม้ประหลาดล้ำค่า มูลค่ายิ่งใหญ่เพียงใด
“นี่ถึงจะเป็นบุคลิกผู้สูงส่งที่แท้จริง…”
หลินสวินถอนหายใจยาว
เขาไม่ได้เสียเวลา เดินเข้าตำหนักไปก็เริ่มนั่งขัดสมาธิ หลอมพลังที่กำลังพลุ่งพล่านในร่างกาย
เวลาล่วงเลยไป ไม่นานหลินสวินก็จมอยู่กับการฝึกปราณ
……
ในเวลาเดียวกันข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่หลินสวินได้รับชัยชนะในการประชันหมากเก้าวังกับหลิงเซียวจื่อ รวมทั้งกำราบบุตรนรกโดยตรง ก็แพร่กระจายในด่านตะวันอันกว้างใหญ่ราวกับติดปีก
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดินแดนรกร้างโบราณปรากฏอัจฉริยะโดดเด่นเช่นนี้ในโลก”
“หลิงเซียวจื่อยังแพ้แล้วหรือ เหลือเชื่อ…”
“ฮ่าๆ ในที่สุดบุตรนรกนั่นก็กรรมตามสนองแล้ว หลังจากเขามาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ เพราะมีกู่เหลียงฉวี่เป็นคนหนุนหลัง ถึงได้หัวสูงมาโดยตลอด ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา ตอนนี้พ่ายแพ้ราบคาบ เขายังไม่หน้าม้านหลบไปได้อีกหรือ”
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนใดที่ได้รู้ข่าวนี้ล้วนจุ๊ปากชื่นชม จำชื่อหลินสวินไว้
ในเวลาเดียวกันสัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนมากต่างเผยรอยยิ้มสะใจกับการพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของบุตรนรก ด้วยหลายปีมานี้ท่าทียโสโอหังของบุตรนรกล่วงเกินคนไม่น้อย
ใครก็ไม่ชอบให้คนรุ่นหลังคนหนึ่งแยกเขี้ยววาดกรงเล็บใส่ตน
“บุตรนรกอุปนิสัยเหี้ยมโหดดุร้าย ถูกเย้ยหยันเช่นนี้จะอดกลั้นได้อย่างไร ก็ไม่รู้ว่า… เขาจะเคลื่อนไหวอย่างไร”
และมีคนตระหนักได้ว่าสถานการณ์อาจจะรุนแรงขึ้น
สิ่งเหล่านี้ยังไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินในขณะนี้
สองวันหลังจากนั้น
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิแล้ว กลิ่นอายทั้งตัวยิ่งเรียบง่ายธรรมดา จืดจางและไม่ซับซ้อน
เพียงแค่ดูจากภายนอกก็ไม่มีกลิ่นอายใดๆ ที่ผู้ฝึกปราณควรมีแล้ว ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา
ทว่าชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น ก็ราวกับมีสายฟ้าที่ผ่ารัตติกาลนิรันดร์สองสายวาบผ่าน ฉีกทึ้งห้วงอากาศออก
แววตาของเขาลึกล้ำ ปรากฏลักษณ์แห่งหุบเหวว่างเปล่า!
อานุภาพที่ไร้รูปสายหนึ่งก็แผ่ออกในตำหนักที่เงียบเชียบนี้เช่นกัน ขับเน้นให้ตัวเขาเหมือนนายเหนือหัวคนหนึ่ง แม้นั่งขัดสมาธิ แต่กลับมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ปานผงาดเหนือภูผาธารา ก้มมองเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
ขั้นสัมบูรณ์แห่งระดับมกุฎอริยะแท้!
ถึงตอนนี้หลินสวินไม่สามารถเลื่อนขั้นได้อีกแล้ว นอกเสียจาก…
ทะลวงระดับที่สูงขึ้นไป!
……………….