Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1645 นักพรตชิว
ฮู่ว…
เมื่อความคิดของหลินสวินไหวเคลื่อน อานุภาพน่ากลัวที่ปกคลุมทั้งตำหนักหายไปทั้งหมดราวกับกระแสน้ำ
เขาในตอนนี้เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ราวกับความจริงแท้หลังจากทิ้งความรุ่งโรจน์ไป ไม่มีการดัดแปลง มีเพียงความเป็นธรรมชาติ
‘การเดินทางสู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิครั้งนี้ ทำให้ข้าได้ประโยชน์ไม่น้อย…’
หลินสวินถอนหายใจในใจ
ระหว่างทางมา เขาได้พบเจอภาพเหลือเชื่อมากมาย เหมือนผลักประตูใหม่เอี่ยมบานหนึ่งออก ทำให้จิตใจเปิดกว้าง ประสบการณ์และการรับรู้ได้รับการยกระดับ
ประสบการณ์เช่นนี้ส่งผลต่อพลังปราณ ทำให้พลังปราณของเขามีแนวโน้มจะบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์ช่วงปลายแห่งระดับอริยะแท้
อีกทั้งปราณกระบี่สามชุ่นที่ผู้เฒ่าอิ๋นมอบให้ ทำให้เขาได้หลอมเข้าไปในปราณกระบี่ไท่เสวียนของตน ควบรวมเป็นเจตกระบี่ที่แท้จริงได้สำเร็จ
นี่ก็เป็นผลประโยชน์ที่ไม่น้อยเช่นกัน
จนกระทั่งมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ประชันหมากเก้าวัง ทำให้เขาได้รับใจความและการหยั่งรู้เกี่ยวกับการบรรลุระดับมหาอริยะของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่า
ส่วนการเอาชนะบุตรนรก ก็ทำให้เขาได้รับสมบัติทั้งสามชิ้นอย่างกระบี่อเวจี ประทับนรกมืดดำและยันต์วิญญาณเลือดหมื่นอริยะที่ล้วนแต่ตะลึงโลก
และในงานเลี้ยงเมื่อสองวันก่อน ผลประหลาดล้ำค่า เหล้าเทพเซียนบ่ม รวมทั้งอาหารเลิศรสที่เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่านำออกมา ก็กลายเป็นแหล่งพลังที่ทำให้พลังปราณบรรลุสู่ขั้นสัมบูรณ์ในครั้งนี้!
นึกถึงเรื่องพวกนี้ หลินสวินจะไม่ไหวหวั่นได้อย่างไร
นี่ก็คือศุภโชค!
หากไม่ได้เดินทางมากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิในครั้งนี้ พลังปราณของเขาก็ไม่มีทางบรรลุสู่ขั้นสัมบูรณ์ภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้แน่
และไม่มีทางได้รับใจความและประสบการณ์ยามบรรลุระดับมหามรรคของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นเดียวกัน
‘ต่อไปก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุระดับมหาอริยะ!’
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง สลัดความคิดว้าวุ่นออกไปแล้วหยิบม้วนหยกแต่ละม้วนขึ้นมา ภายในนั้นก็คือใจความและการหยั่งรู้ของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่ายามบรรลุระดับมหาอริยะ
ดั่งคำที่ว่าในสามคนที่เดินมา ย่อมมีครูของเรา
ประสบการณ์และการหยั่งรู้ของคนโบราณก็เหมือนกระจก สามารถเป็นตัวอย่างให้ตน และสามารถทำให้ตนหลีกเลี่ยงทางแยกระหว่างทางได้
สำหรับหลินสวิน มีใจความการหยั่งรู้เหล่านี้เช่นนี้ทำให้เขาสามารถอนุมาน เปรียบเทียบจากหลายๆ ทาง สร้างเส้นทางและเป้าหมายของตน
สานต่อประสบการณ์ที่ผ่านมา ย่อมสามารถเปิดอนาคตแห่งตน
นี่ก็คือความหมายของ ‘การไปต่อ’
และตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว สิ่งที่หลินสวินแสวงหาก็คือมรรคาที่ไม่เหมือนคนในอดีตและปัจจุบัน
ขอเพียง ‘ใต้หล้านี้ มรรคข้าเป็นหนึ่ง!’
‘ก็ไม่รู้ว่าท่านเซิ่นจะกลับมาเมื่อไหร่…’
นี่คือความคิดสุดท้ายก่อนหลินสวินจะฝึกปราณ ต่อจากนั้นเขาก็จมสู่การหยั่งรู้โดยสมบูรณ์
ประสบการณ์และใจความยามเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าบรรลุระดับมหาอริยะ ก็เหมือนมรรคาแต่ละสายที่เชื่อมสู่ระดับมหาอริยะ
ทุกเส้นทางล้วนต่างกัน อันตรายและโอกาสที่ประสบยามทะลวงระดับก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกไม่น้อย มักรู้สึกเหมือนมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางเมฆหมอก
บางทีเขาจะขมวดคิ้ว ตัดประสบการณ์และการหยั่งรู้ที่ไม่เหมาะสมกับตนออก เอาแก่นแท้ไปตกตะกอน
ในการหยั่งรู้เช่นนี้ หลินสวินไม่รู้สึกถึงกาลเวลาที่ไหลผ่าน และการรับรู้เกี่ยวกับการบรรลุมหาอริยะของเขาก็ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องตามไปด้วย
ใกล้จะแตะเส้นทางนั้นที่ตนปรารถนาอยู่รางๆ!
……
“เหล่าซุ่น ฝั่งด่านสมุทรยังไม่มีข่าวอีกหรือ”
วันนี้พวกฮูหยินมู่ ซุ่นจี้ หลิงเซียวจื่อมารวมตัวกัน กำลังหารือเรื่องกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ
ซุ่นจี้ส่ายหน้าพูด “ไม่ เกือบครึ่งปีแล้ว หากเจอวิกฤตใหญ่จริงพวกท่านเซิ่น กู่เหลียงฉวี่จะต้องจุดไฟสัญญาณข่าวจักรพรรดิส่งข่าวให้พวกเรารับรู้ในทันทีแน่”
“หวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปโดยดี”
ฮูหยินมู่พึมพำ
ด่านสมุทรเป็นฐานทัพสำคัญแห่งหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ
ประมาณครึ่งปีก่อนศัตรูแปดดินแดนร่วมมือกัน รวมพลังทั้งหมดหน้าด่านสมุทร เปิดการจู่โจมที่อานุภาพเกรียงไกร
ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวมาถึงด่านตะวันแห่งนี้ ทำเอาเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้เลย ในใจย่อมหลีกเลี่ยงความกังวลไม่ได้
“วางใจเถอะ หลังจากท่านเซิ่นมาถึงสนามรบแนวหน้าเมื่อสามปีก่อน ก็สำแดงความสามารถชั้นยอดและฝีมือที่กำราบทั่วฟ้าดิน สังหารจนศัตรูแปดดินแดนเหล่านั้นแตกกระเจิง กวาดล้างสถานการณ์น่าหดหู่ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ”
หลิงเซียวจื่อทอดถอนใจกล่าว “ตอนนี้ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ใครไม่รู้บ้างว่าขอเพียงแค่มีท่านเซิ่น สถานการณ์ในภาพรวมก็ถูกกำหนดแล้ว แนวหน้ามีอะไรต้องห่วงกัน”
ทุกคนต่างอดพยักหน้าไม่ได้ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ท่านเซิ่นมาจากหอฤทธิ์เทพ ไม่ว่าจะสติปัญญา กลยุทธ์ ฝีมือ พลังต่อสู้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับกึ่งจักรพรรดิ แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ
มีข่าวลือว่าขาข้างหนึ่งของท่านเซิ่นได้ก้าวเข้าสู่ธรณีประตูระดับจักรพรรดิแล้ว สามารถเรียกว่าเป็น ‘ครึ่งก้าวสู่ระดับมหาจักรพรรดิ’ ได้แล้ว!
“ข้าได้ยินว่าหลังจากท่านเซิ่นมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ แผนการและกลยุทธ์บางอย่างที่ทำออกมามักเกิดความขัดแย้งกับกู่เหลียงฉวี่ ทั้งสองเคยโต้เถียงด้วยเหตุนี้มาหลายครั้ง จนตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะไม่ลงรอยกัน”
จู่ๆ ผู้แข็งแกร่งกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าเองก็เคยได้ยินว่า เดิมทีในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมีกู่เหลียงฉวี่เป็นใหญ่ เป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งด่านจักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นพลังต่อสู้หรือบารมี ล้วนไม่มีใครเทียบได้”
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “แต่พอท่านเซิ่นมา ในสามปีนี้บารมีของท่านเซิ่นก็มีทีท่าว่าจะเหนือกว่ากู่เหลียงฉวี่อยู่รางๆ ด้วยความเย่อหยิ่งของกู่เหลียงฉวี่ จะยอมถูกท่านเซิ่นเหนือกว่าได้อย่างไร”
หลิงเซียวจื่อคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “ทุกคนต่างรู้ว่าพลังต่อสู้ของกู่เหลียงฉวี่แข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา ฝีมือก็เด็ดขาดเลือดเย็น ยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่ข้อเสียก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือทำอะไรตามใจเกินไป”
“บารมีของท่านเซิ่นยิ่งสูง ยิ่งจะทำให้กู่เหลียงฉวี่ต่อต้าน นี่ก็เหมือนคำว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”
“เฮ้อ หวังเพียงว่าทั้งสองจะไม่ฉีกหน้ากันเกินไป ไม่เช่นนั้นย่อมไม่เป็นผลดีต่อทั้งสนามรบแนวหน้าแน่”
หลายคนต่างทอดถอนใจขึ้นมา
“จริงสิเหล่าซุ่น หลายวันมานี้สหายน้อยหลินฝึกปราณมาโดยตลอดหรือ”
จู่ๆ ฮูหยินมู่ก็ถาม
สัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าแปลกประหลาด พวกเขาต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ฮูหยินมู่คิดถึงมาตลอดในหลายวันมานี้ ก็คือการเป็นแม่สื่อให้หลินสวินโดยการแนะนำหลานสาวของตน
“ไม่ผิด”
ซุ่นจี้พยักหน้า “ตอนนั้นข้าได้เตือนเขาไป ว่าช่วงนี้ให้เขาหลบไปก่อน จะได้ไม่ถูกบุตรนรกหาเรื่อง”
“นับดูนี่ก็เกือบเดือนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่อยู่ที่นั่น จะอัดอั้นจนลนลานหรือไม่”
ฮูหยินมู่กัดริมฝีปากชุ่มฉ่ำอวบอิ่ม ถอนหายใจเบาๆ
ทุกคนอดยิ้มไม่ได้ เป็นเจ้าฮูหยินมู่เจ้าที่อัดอั้นจนลนลานมากกว่า!
ซุ่นจี้อดพูดไม่ได้ “เด็กๆ ย่อมมีวาสนาของตน ข้าว่าเจ้าอย่ายุ่งเลย บุพเพวาสนาในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถฝืนชักใยอยู่เบื้องหลังได้”
“เจ้าเฒ่าที่เป็นโสดมาหลายพันปีอย่างเจ้าจะเข้าใจบุพเพวาสนาอะไร ข้าดูออกตั้งนานแล้วว่าสภาพอย่างเจ้า ต่อให้พลังปราณสูงแค่ไหนก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนให้ความสำคัญกับเจ้าหรอก”
ฮูหยินมู่กลอกตาใส่ หลุดขำไม่หยุด
ซุ่นจี้สีหน้าแดงก่ำ พึมพำราวกับอายจนเปลี่ยนเป็นขึ้งโกรธแล้ว “โสดแล้วอย่างไร เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกคนโสด หรือเจ้าไม่รู้ว่าบนเส้นทางแสวงมรรค มีเพียงเป็นโสดก็จะสามารถจดจ่อต่อการแสวงหามรรคได้ ตัดความผูกพันละทางโลก”
การโต้เถียงกับผู้หญิง เป็นเรื่องผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น
ได้ยินเช่นนี้ฮูหยินมู่หัวเราะเหอะออกมา เสน่ห์พร่างพราว เย้ายวนโดดเด่น พลังต่อสู้เองก็น่าทึ่งอย่างที่สุด
นางพูดเสียงเนิบ “เฒ่าโสดอย่างเจ้าผิดแล้ว หรือเจ้าลืมจักรพรรดิมารไร้ใจไปแล้ว เขาเย็นชาและไร้อารมณ์เพียงใด แต่ในใจกลับมีภรรยาที่แม้ตายก็ลืมไม่ลงคนหนึ่ง หรือมรรคที่จักรพรรดิมารไร้ใจแสวงหาจะสู้เจ้าไม่ได้”
นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาทีละคำราวกับกำลังสรุป “ข้าว่าที่หลายพันปีมานี้เฒ่าโสดอย่างเจ้ายังเคยคว้าวาสนาระดับจักรพรรดิได้เสียที ก็เพราะเจ้าไม่มีคนรัก ไม่รู้จักความรักระหว่างชายหญิง และไม่รู้จักความสุขของครอบครัว”
ซุ่นจี้ราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าอัดอั้นจนแดงก่ำเกือบหายใจไม่ออก
ทุกคนอดหัวเราะลั่นไม่ได้
ไม่ให้โอกาสซุ่นจี้ได้ตอบโต้ ฮูหยินมู่พลันลุกขึ้นยิ้มพูด “ข้าไปดูสหายน้อยหลินสวินสักหน่อย พวกเจ้าคุยกันไปก่อน”
เพียงแต่เพิ่งจะสิ้นเสียง คิ้วงามทั้งคู่ของนางก็เลิกขึ้น หันขวับมองไปยังทางเข้าของด่านตะวัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าก็เหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ พลันลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
ตูม!
ห่างออกไปห้วงอากาศก้องกังวาน รถศึกสำริดที่แผ่กลิ่นอายแห่งกาลเวลาบดขยี้ห้วงอากาศเข้ามา ประหนึ่งว่าเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตา
หน้ารถศึกมีสิงห์มังกรหมึกที่ตัวใหญ่ราวกับภูเขาสี่ตัวลาก สี่ขาราวกับเสาเหล็ก แผงคอสาดแสงดำประกายเป็นคลื่น
แค่สิงห์มังกรหมึกแต่ละตัวก็มีกลิ่นอายน่าสะพรึงเทียบได้กับราชันอริยะ!
แต่ตอนนี้ พวกมันกลับเป็นได้แค่สัตว์ลากรถ
“รถศึกผสานคราม นี่เป็นยานพาหนะของกู่เหลียงฉวี่!”
ซุ่นจี้นัยน์ตาหดรัด
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ในใจก็รัดเกร็งขึ้นมาทันที ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง
ตอนที่เห็นเงาร่างสองร่างนั่งอยู่บนรถศึกผสานคราม เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าต่างกระจ่างแจ้งแล้ว รับรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด
เพราะร่างหนึ่งในนั้นก็คือบุตรนรก!
เขาสีหน้าเย็นชา ผมสีเลือดทั่วหัวพลิ้วไหว หนึ่งเดือนก่อนล่าถอยไปพร้อมความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ทว่าตอนนี้เขาหวนกลับมาอีกครั้ง
ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่าเขามาเพื่อแก้แค้น
ข้างๆ บุตรนรกมีชายชราที่สวมเกี้ยวประดับสูง สวมชุดแขนกว้าง เงาร่างผอมสูง ท่าทางเย็นชาคนหนึ่งยืนอยู่
เขายืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาทั้งคู่สะท้อนลักษณ์สุริยันจันทราจมจ่อม รุ้งเทพทะลวงฟ้า น่ากลัวอย่างที่สุด
“นักพรตชิว เป็นเขาที่มา…”
หลิงเซียวจื่อประหลาดใจเล็กน้อย
พวกซุ่นจี้เองก็แอบถอนหายใจ โชคดีที่ไม่ใช่กู่เหลียงฉวี่มาเยือนด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงรุนแรงแน่
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ทุกคนเองก็ไม่กล้าประมาท
นักพรตชิวเป็นผู้แข็งแกร่งที่ก้าวสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิมาตั้งแต่เมื่อแปดพันปีก่อน อุปนิสัยเย็นชา วิธีการโหดเหี้ยม สังหารศัตรูมานับไม่ถ้วน
ภายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ พลังต่อสู้ของนักพรตชิวสามารถอยู่ในสิบอันดับแรกแล้ว!
ตอนนี้บุตรนรกถึงกับเชิญนักพรตชิวมาเยือนด่านตะวันแห่งนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องมาเพื่อแก้แค้นหลินสวินแน่
ตูมโครม!
รถศึกผสานครามส่งเสียงกึกก้อง หยุดอยู่ตรงหน้าพวกซุ่นจี้ บนรถศึกแววตาของนักพรตชิวฉยเมย กวาดมองทุกคนพร้อมพูดว่า
“ทุกท่านคงเดาจุดประสงค์การมาของข้าได้ ข้าขอเตือนไว้ตรงนี้ว่า ไม่ว่าเป็นใคร หากวันนี้กล้าขัดขวางการกระทำของข้า คนผู้นั้นก็เป็นศัตรูของข้า!”
เสียงเย็นเยียบเคร่งขรึม แข็งกร้าวหาที่เปรียบไม่ได้ ทำเอาฟ้าดินกระเพื่อมไหว และทำให้สีหน้าของพวกซุ่นจี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
มาร้ายตามคาด!
—