Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1660 ศิษย์พี่เสวี่ยหยา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1660 ศิษย์พี่เสวี่ยหยา
หลังจากสงบจิตใจลง หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจวว่าข้าจะสามารถหา ‘ผู้อาวุโส’ ที่เจ้าพูดเจอ”
สีหน้าของหญิงกระโปรงแดงเผยแววประหลาด “เพราะจักจั่นทองเคยบอกข้าว่า สหายน้อยมาจากคีรีดวงกมล”
คีรีดวงกมล!
ดวงตาดำขลับของหลินสวินวูบไหว เอ่ยว่า “เจ้าว่าต่อ”
จักจั่นทองสามารถดูออกว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักคีรีดวงกมลนั้นไม่แปลก ที่แปลกคือเหตุใดเขาจึงต้องบอกดอกกระบี่พันปีก
หญิงกระโปรงแดงสูดหายใจลึกอีกครั้ง คล้ายพยายามทำให้ตนสงบ จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผู้อาวุโสที่ถ่ายทอดวิชามรรคให้ข้าก็มาจากคีรีดวงกมล ฉายามรรค ‘เสวี่ยหยา’ จัดอยู่ในอันดับที่สิบเก้าของผู้สืบทอดคีรีดวงกมล”
“เขา… น่าจะเป็นศิษย์พี่ของสหายน้อย!”
สิ้นเสียง แม้แต่หลินสวินยังอดอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสที่เบิกสติปัญญาและถ่ายทอดวิชามรรคให้ดอกกระบี่พันปีก ดันเป็นศิษย์พี่สิบเก้าของตนหรือ
คิดๆ ไปแล้ว ดอกกระบี่พันปีกในตอนนี้ครอบครองรากฐานพลังที่จะบรรลุจักรพรรดิแล้ว!
เช่นนั้นพลังปราณของศิษย์พี่สิบเก้าของตนจะสูงแค่ไหน
‘ศิษย์พี่เสวียนคงบอกว่าข้าได้รับเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด ทั้งครอบครอง ‘มรรคคาถา’ ฉบับนั้น ก็เท่ากับเป็นผู้สืบทอดที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลแล้ว จัดอยู่ในลำดับที่ห้าสิบ แต่ประเด็นคือ… จนตอนนี้ข้าเคยเจอแค่ศิษย์พี่เสวียนคงเท่านั้น… อย่าว่าแต่เจ้าแห่งคีรีดวงกมล แม้แต่คีรีดวงกมลอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้…’
หลินสวินจมสู่ห้วงความคิดไปชั่วขณะ
ศิษย์พี่เสวียนคงก็คือราชันผีเสวียนคง ยามอยู่ในเมืองมรณะของแดนธรรมสถูปที่แดนมกุฎ เป็นราชันผีเสวียนคงที่บอกเล่าเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับคีรีดวงกมลให้หลินสวินฟัง
เพียงแต่ในประสบการณ์ฝึกปราณหลายปีมานี้ น้อยครั้งมากที่หลินสวินจะได้สัมผัสกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมล
นี่ทำให้พอจู่ๆ เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘เสวี่ยหยา’ ผู้เป็นศิษย์พี่สิบเก้าในตอนนี้ จึงมีความรู้สึกไม่ทันตั้งตัวอย่างอดไม่ได้
แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าหญิงกระโปรงแดงมั่นใจแล้วว่าเขาเป็นศิษย์น้องของเสวี่ยหยา ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล
“หลังจากหาศิษย์พี่เสวี่ยหยาเจอ เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร”
ครู่ใหญ่กว่าหลินสวินจะเอ่ยถาม ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ตัดไม่ขาดกับคีรีดวงกมลแล้ว
เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดในมือเขา ก็คือสมบัติพิทักษ์สำนักของคีรีดวงกมล
วิชาอริยะยุทธ์ที่เขาฝึกตอนนี้ ก็คือหนึ่งใน ‘เก้าวิชา’ พิทักษ์สำนักของคีรีดวงกมล!
หญิงกระโปรงแดงหยิบกระบี่ไผ่ที่ยาวเพียงเจ็ดชุ่น กว้างหนึ่งนิ้วเล่มหนึ่งออกมา
กระบี่ไผ่เป็นสีเหลืองหม่น เผยกลิ่นอายเก่าแก่ บนนั้นสลักอักษรโบราณว่า ‘สดับหิมะ’ ที่ลึกล้ำงดงาม
มือทั้งคู่ของหญิงกระโปรงแดงประคองกระบี่นี้ หว่างคิ้วแฝงความเลื่อมใส พูดอย่างจริงจัง “ข้าอยากคืนกระบี่นี้ให้กับผู้อาวุโสเสวี่ยหยา ผู้อาวุโสเสวี่ยหยาเคยบอกว่า หากวันหน้ามีวาสนาได้พบกันอีก กระบี่นี้จะเป็นหลักฐานยืนยัน”
กระบี่ไผ่สดับหิมะ!
ความจริงในใจหญิงกระโปรงแดงอาลัยอาวรณ์มาก
นางยังจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อหนึ่งแสนหกหมื่นปีก่อน นางยังเป็นแค่ภูตต้นหญ้าที่อ่อนแอและไร้สติปัญญาต้นหนึ่ง
ขี้ขลาด หวาดกลัว โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง
ได้แต่หลบอยู่ในร่องหิน แอบกินประกายแสงดื่มน้ำค้าง ต้องตระหนกตกใจและหวาดกลัวอยู่ทุกครั้งมาเนิ่นนาน เพราะขอเพียงแค่มีสัตว์ปีศาจอสูรมารเข้าใกล้ก็จะมองนางเป็นอาหาร
ใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่หลายปี ในค่ำคืนที่ฟ้าร้องคำรามสายฟ้าฟาดและฝนตกกระหน่ำ เรื่องที่นางกังวลที่สุดก็เกิดขึ้น
อสูรมารอสรพิษลายจุดเงินทองปรากฏตัวกะทันหัน ร่างใหญ่โตนั่นเหมือนกับเทือกเขา อยู่ในรัตติกาลที่สายฟ้าวาบไหวแล้วดูสยดสยองและชั่วร้ายยิ่ง
นางยังไม่ทันหลบก็ถูกอสูรมารตัวนี้มองเห็นเข้า
จวบจนตอนนี้นางยังจำได้ว่าตอนนั้นตนสิ้นหวัง สับสนและไร้ที่พึ่งเพียงใด ราวกับเงาดำแห่งความตายได้ปกคลุมลงมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างความเป็นความตาย มีความหวาดกลัวยิ่งยวด
ตอนนั้นนางสาบานว่าครั้งนี้หากใครสามารถช่วยตนไว้ได้ ชาตินี้ทั้งชาติจะตอบแทนบุญคุณด้วยชีวิต ไม่เสียใจทั้งชีวิต!
ราวกับได้ยินเสียงในใจนาง และอาจจะเพราะกลิ่นอายของอสูรมารนั่นแรงกล้าและดุร้ายเกินไป จึงดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งที่ผ่านทางมา
นั่นเป็นชายในชุดบัณฑิตแขนกว้าง สวมหมวกสูง ถือตำราม้วนหนึ่ง ดูเหมือนบัณฑิตคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในรัตติกาลซึ่งฝนตกกระหน่ำและสายฟ้าฟาด
อิริยาบถของเขาสง่างาม แววตาอบอุ่นเป็นประกาย
ชั่วพริบตานั้นนางพลันรู้สึกว่าความสิ้นหวัง ไร้ทางช่วย และห่อเหี่ยวในใจหายไปทั้งหมด ราวกับมองเห็นแสงตะวันเสี้ยวหนึ่ง ฉีกทึ้งพายุฝนยามค่ำคืนแล้วสาดส่องเข้ามาในรัตติกาลนิรันดร์ นำพาความอบอุ่นและแสงสว่างที่บอกไม่ถูกมาให้
หลังจากนั้นอสูรมารอสรพิษตัวนั้นถูกเขาใช้มือบีบไว้ ส่ายหน้ายิ้มพูด ‘อุปนิสัยดุดันจนคลั่ง จะก้าวสู่มรรคที่ถูกต้องแห่งอสูรมารบำเพ็ญได้อย่างไร ขอแนะนำเจ้าตั้งสติในใจหน่อย จึงจะมีโอกาสแจ้งมรรค’
อสูรมารอสรพิษแปลงเป็นร่างมนุษย์ คุกเข่าคำนับสามครั้งคล้ายกำลังแสดงการขอบคุณ จากนั้นก็หายไปในรัตติกาล
ชายหนุ่มคุกเข่าลง สายตาอ่อนโยน มองนางพร้อมพูดว่า ‘ดอกไม้น้อยอย่างเจ้าก็ช่างน่าสงสารจริงๆ ที่หายากคือแม้ไร้สติปัญญา กลับมีใจมุ่งมรรค เอาเถอะ ในเมื่อถูกข้าเจอเข้า ก็จะเบิกปัญญาตื่นรู้ให้เจ้า ถ่ายทอดวิชามรรค ทำให้นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวอีก’
เสียงนั้นเหมือนดั่งน้ำในลำธารไหลแทรกซึมเข้ามาในใจ ทำให้ทั้งชาตินางก็ไม่สามารถลืมเลือนได้ จนกระทั่งตอนนี้ยังเชื่อมั่นว่านี่เป็นเสียงที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ตนเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
จากนั้นชายหนุ่มจากไป ก่อนไปได้หยิบไผ่ธรรมดาท่อนหนึ่งออกมา เฉือนเป็นกระบี่ สลักคำว่า ‘สดับหิมะ’ ลงไป…
กระบี่ไผ่สดับหิมะเล่มนี้ ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่หญิงสาวกระโปรงแดงให้ความสำคัญที่สุดในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ รักษาไว้ราวกับเป็นก้อนเนื้อในอก
ภายหลังนางถึงได้รู้ว่า ชายหนุ่มชุดบัณฑิตที่อ่อนโยน ผ่าเผย และสง่างามคนนั้น ก็คือผู้สืบทอดคนที่สิบเก้าแห่งคีรีดวงกมล…
เสวี่ยหยา!
……
หลินสวินจับจ้องหญิงสาวกระโปรงแดงครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับกระบี่ไผ่มาพินิจคร่าวๆ แล้วกล่าวว่า
“ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเจอศิษย์พี่สิบเก้าหรือไม่ แต่ขอเพียงแค่เจอก็จะมอบสิ่งนี้ในเขาแน่”
หญิงสาวกระโปรงแดงพูดอย่างตื่นเต้น “เช่นนี้ก็ดีแล้ว เช่นนี้ก็ดีแล้ว!”
นางในตอนนี้ได้เป็นตัวตนขอบเขตมกุฎที่อยู่ใต้ระดับจักรพรรดิแล้ว รากฐานพลังและความแข็งแกร่งสามารถทำให้ทุกคนในโลกสั่นไหว
ทว่านางในตอนนี้กลับดีใจจนกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กสาวคนหนึ่ง
“สหายน้อย ข้านามว่าหลิงอวี่ ต่อไปข้าจะตอบแทนบุญคุณของเจ้า”
หญิงสาวกระโปรงแดงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง กดความตื่นเต้นในใจพูดอย่างจริงจัง
หลินสวินเอ่ย “ไม่ขอให้เจ้าตอบแทนบุญคุณ หวังเพียงว่าในช่วงที่เจ้าอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้อย่าได้ก่อเรื่องอีก”
หญิงกระโปรงแดงที่นามว่าหลิงอวี่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล
……
วันนี้ท่านเซิ่นไปส่งหลินสวิน ก่อนไปเขาอดถามไม่ได้ “สหายน้อย หลังจากกลับไปเจ้ามีแผนอย่างไร”
หลินสวินใจกระตุก กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าด้วยพลังของข้าในตอนนี้ มุ่งหน้าไปหุบเขาตะวันคล้อยสักรอบจะเสี่ยงไปหรือไม่”
เขาคิดจะไปช่วยวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารกลับมา!
เพียงแต่หุบเขาตะวันคล้อยนั่นอย่างไรก็เป็นรังของเผ่าอีกาทอง ทำให้หลินสวินเองก็ไม่กล้าดูถูก
ท่านเซิ่นสีหน้าซับซ้อน คล้ายเดาออกว่าหลินสวินไปคราวนี้ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนแน่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นการแก้แค้น
คิดๆ แล้วท่านเซิ่นก็กล่าวว่า “ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิของเผ่าอีกาทอง ตอนนี้ก็อุทิศตนอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเช่นกัน แต่ตามการคาดเดาของข้า ในหุบเขาตะวันคล้อยจะต้องมีราชันอริยะดูแลอยู่แน่ ด้วยพลังในตอนนี้ของเจ้า นอกจากก้าวสู่ระดับมกุฎมหาอริยะ จึงอาจจะไม่ต้องเกรงกลัวเผ่าอีกาทอง”
นัยน์ตาดำของหลินสวินวูบไหว พยักหน้าน้อยๆ
“สหายน้อย เผ่าอีกาทองแม้จะชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่ถึงอย่างไรก็นับเป็นกำลังที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในดินแดนรกร้างโบราณของพวกเรา และในเผ่านี้เคยมีบุคคลระดับจักรพรรดิจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันล้วนฝึกปราณอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา หากเจ้าเป็นศัตรูกับพวกเขา…”
ไม่รอท่านเซิ่นพูดจบ หลินสวินก็ยิ้มพูด “ผู้อาวุโสวางใจ ข้าเพียงไปช่วย ‘สหาย’ คนหนึ่งที่ถูกกำราบอยู่ในหุบเขาตะวันคล้อยเท่านั้น”
ท่านเซิ่นถอนหายใจในใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าด้วยความโหดเหี้ยมและบ้าระห่ำของเผ่าอีกาทอง มีหรือจะปล่อย ‘สหาย’ คนนั้นของหลินสวินง่ายๆ
ทว่าเรื่องนี้เขาก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้เท่าไร
ไม่นานค่ายกลเคลื่อนย้ายใหญ่แห่งหนึ่งเปิดออกในด่านตะวัน คนที่มาส่งหลินสวินไม่เพียงแค่ท่านเซิ่น ยังมีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อด้วย
หลิงอวี่หญิงสาวกระโปรงแดงเองก็อยู่ด้วย
“ผู้อาวุโสทุกท่าน ขอลา!”
หลินสวินยืนอยู่ในค่ายกลใหญ่ ประสานมือคารวะ
“เจ้าหนู รักษาตัว!”
“ต่อไปหากมีโอกาสก็มาเยี่ยมพวกข้าบ่อยๆ”
“สหายน้อย เจอกันครั้งหน้าพวกเรามาประชันกันอีกรอบ”
พวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อต่างยิ้มพูด
วู้ม…
พร้อมกับคลื่นแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง เงาร่างของหลินสวินพลันหายไปจากภายในค่ายกลใหญ่
ชั่วขณะหนึ่งในใจทุกคนต่างเกิดระลอกคลื่นอยู่บ้าง
หลินสวินเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิไม่ถึงสามเดือน กลับนำพาความประหลาดใจและตื่นตะลึงให้พวกเขามากเกินไปแล้ว
ใครก็รู้ดีว่าคนหนุ่มเช่นนี้ ขอเพียงแค่ไม่ประสบเคราะห์ ความสำเร็จบนมรรคาในอนาคตย่อมต้องอยู่เหนือพวกเขา!
“อย่ากังวลว่าหนทางเบื้องหน้าไร้มิตรรู้ใจ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดมิรู้จักท่าน”
ท่านเซิ่นเอามือไพล่หลัง เอ่ยพูดเนิบๆ
วันนี้ หลินสวินผู้ที่ในช่วงที่ผ่านมาชื่อเสียงสะเทือนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ได้ก้าวสู่หนทางหวนกลับดินแดนรกร้างโบราณ และจากไปเช่นนี้
ถึงขั้นมีคนแอบฉลอง ราวกับส่งเทพแห่งโรคระบาดคนหนึ่งออกไปได้ เพราะหลังจากหลินสวินมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็เกิดเรื่องนองเลือดและสั่นคลอนมากเกินไป
บุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิอย่างพวกนักพรตซิวถูกฆ่า แม้แต่กู่เหลียงฉวี่ยังถูกกำราบหนึ่งหมื่นปี ทั้งหมดนี้น่าขนลุกเกินไปจริงๆ
วันนี้ในที่สุดคนรุ่นหลังที่เป็นเหมือน ‘เทพแห่งโรคระบาด’ คนนี้ก็จากไป ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ราวกับว่าหากให้หลินสวินอยู่ต่อไป จะต้องเกิดมหัตภัยครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น…
……
หอฤทธิ์เทพ ดินแดนรกร้างโบราณ
วู้ม…
พร้อมกับระลอกคลื่นแปลกประหลาดที่คลุมเครือ เงาร่างของหลินสวินปรากฏบนแท่นบูชาในแดนลับแห่งหนึ่งของหอฤทธิ์เทพ
ในพริบตาเดียวหลินสวินก็มองเห็นผู้เฒ่าอิ๋นที่ร่างคลุมด้วยเสื้อฟาง บนศีรษะสวมงอบ นั่งขัดสมาธิหลับตาบำรุงจิตอยู่ไกลๆ
“ผู้อาวุโส”
หลินสวินเดินลงจากแท่นบูชาพลางเอ่ยด้วยเสียงเคารพ
มาเยือนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิครั้งนี้ ทำให้เขาได้เห็นความองอาจของบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิมากมาย เทียบกันแล้วยิ่งตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พลังปราณของผู้เฒ่าอิ๋นที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ลึกล้ำสุดจะคาดเดาเพียงใด เป็นบุคคลชั้นยอดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน!
ผู้เฒ่าอิ๋นไม่ได้ส่งเสียง แววตาอ้างว้าง ราวกับรูปปั้นแกะสลัก ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด
หลินสวินเห็นจนชินแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น หมุนตัวเดินห่างออกไป
จวบจนเงาร่างของเขาลับตาไป ในใจของผู้เฒ่าอิ๋นที่หลับตานั่งนิ่งมาโดยตลอดก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ‘เส้นทางของเจ้าหนุ่มนี่เต็มไปด้วยเคราะห์สังหาร ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำอีกเท่าไรจึงจะสามารถทะยานสู่ระดับจักรพรรดิ ก้าวสู่มรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน…’
——