Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1673 มีสหายมาจากแดนไกล
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1673 มีสหายมาจากแดนไกล
“เรื่องสำคัญเช่นนี้จะขาดข้าเยี่ยเฉินได้อย่างไร”
พร้อมๆ กับเสียงนี้ เยี่ยเฉินในชุดสีดม่วงหลังสะพายกระบี่ยาว ผมสีม่วงปลิวไสว ปรากฏตัวในลาน หว่างคิ้วเต็มไปด้วยแววดุดัน
“นายน้อยเขาจื่อเวย!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองไม่น้อยล้วนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง
ตระกูลเยี่ยเขาจื่อเวย ในกาลเวลาเนิ่นนานก่อนหน้านี้เคยให้กำเนิดจักรพรรดิที่สะเทือนโลกหล้าคนหนึ่ง ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิกระบี่จื่อเวย หากพูดถึงอำนาจบารมี ถึงขั้นเหนือกว่ามหาจักรพรรดิอีกามารอยู่ช่วงหนึ่ง!
ทายาทหุบเขาวาโยพิสุทธิ์คนเดียวอาจไม่ควรค่าให้สนใจเท่าใด
แต่เมื่อมีเขาจื่อเวยที่ไม่ด้อยไปกว่าหุบเขาวาโยพิสุทธิ์สักนิดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง สถานการณ์ก็ต่างออกไปแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือเยี่ยเฉินและเซี่ยวชางเทียนหาใช่คนรุ่นหลังธรรมดาทั่วไป แต่เป็นมกุฎอริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณในยามนี้!
ใครจะกล้าดูเบา
ควรรู้ว่าในสมรภูมิเก้าดินแดน ทั่วทั้งค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณมีมกุฎอริยะแท้เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น
หลังจากพวกที่บรรลุมกุฎอริยะอย่างเยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียนหวนกลับดินแดนรกร้างโบราณ บางทีรัศมีอาจไม่สู้หลินสวิน แต่อริยะแท้ทั่วไปในโลกหล้าอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ยังต้องก้มหัวแสดงความเคารพ!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเบื้องหลังพวกเขายังมีสองขุมอำนาจเก่าแก่อย่างหุบเขาวาโยพิสุทธิ์และเขาจื่อเวยหนุอยู่ด้วย นี่ใครจะไม่กริ่งเกรงบ้าง
และเวลานี้หลินสวินก็อึ้งไปน้อยๆ เช่นกัน
เขามาครั้งนี้ล้วนไม่ได้บอกกล่าวคนอื่นๆ
กลับเห็นเจ้าคางคกหัวเราะร่วนกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ช่วงที่เจ้าปิดด่านข้ากับอาหลู่อยู่ว่างๆ จนเบื่อ เลยเปรยกับสหายเก่าเหล่านั้นไปบ้าง”
ยามนี้หลินสวินถึงเข้าใจ รู้สึกไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่บ้าง แต่เขาเองก็รู้ดีว่าพวกเจ้าคางคกกับอาหลู่ทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงตน
“พวกเจ้าจะต้องตั้งตนเป็นศัตรูกับเผ่าอีกาทองของข้าให้ได้เลยหรือ พวกเจ้ารับผิดชอบผลที่ตามมาไหวหรือไม่”
สีหน้าอูเหิงเทียนมืดทะมึน ตวาดออกมา
“ฮ่าๆ ตั้งตนเป็นศัตรูแล้วอย่างไร”
เซี่ยวชางเทียนหัวเราะหยัน
“ผลที่ตามมาร้ายแรงแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับการได้ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องของตน”
เยี่ยเฉินกล่าวอย่างเกียจคร้าน
ท่าทีเช่นนี้ของพวกเขาทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองทั้งหมดสีหน้าอึมครึมไม่น้อยอีกครั้ง
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งเอ่ยปากดุดัน “แค่คนรุ่นหลังสองคนที่ไม่รู้หนักเบาเท่านั้น อีกเดี๋ยวค่อยจับเป็นพวกเขาก็สิ้นเรื่อง คิดเสียว่าทำหน้าที่แทนผู้อาวุโสของพวกเขา อบรมสั่งสอนพวกเขาสักหน เลี่ยงไม่ให้ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องที่ไม่ควรแทรกอีกในภายหน้า”
อูเหิงเทียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น”
“อย่างนั้นหรือ”
สีหน้าเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล
สวบ!
และในเวลานี้ห้วงอากาศมีคลื่นระลอกหนึ่ง หมีเหิงเจินในชุดคลุมหยก หน้าผากกว้างสีหน้าหนักแน่นปราฏตัวในลาน
สีหน้าเขาเรียบนิ่ง พยักหน้าให้หลินสวินน้อยๆ แล้วทอดสายตามองไปยังหุบเขาตะวันคล้อยที่อยู่ไกลๆ แนะนำตัวด้วยตนเอง
“หมีเหิงเจินตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา มุ่งหน้ามาน้อมรับคำสอน!”
วู้ม!
ตามมาติดๆ เย่หมัวเฮอในชุดคลุมสีดำแขนกว้าง นัยน์ตาเรียวยาวคมกริบ ตอนนี้ก็ปรากฏตัวในลานเช่นกัน เขากวาดสายตาสำรวจทั่วลานก่อนหัวเราะกล่าวว่า “ยังดีๆ ไม่ถือว่ามาช้า”
จากนั้นเขาเอามือไพล่หลัง เดินไปยืนเคียงบ่ากับพวกหลินสวิน กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เย่หมัวเฮอลัทธิเทพต้นกำเนิด วันนี้สาบานว่าจะร่วมหัวจมท้ายกับพี่หลิน!”
บรรยากาศในลานยามนี้พลันเปลี่ยนเป็นบีบคั้น เงียบสงัด ไร้สุ้มเสียง
สัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าอีกาทองทั้งหมดต่างตาแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนไปไม่หยุด
ส่วนคนรุ่นหลังในเผ่าอีกาทองบางส่วนก็ปากอ้าตาค้าง ชั่วพริบตามกุฎอริยะที่โดดเด่นที่สุดในขุมอำนาจใหญ่คนแล้วคนเล่าต่างทยอยมาเยือน ล้วนต้องการร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลินสวิน!
ใครจะไปเชื่อ
“เจ้าพวกคนรุ่นหลังบ้าดีเดือดทั้งกลุ่ม คิดจริงหรือว่าเผ่าอีกาทองจะรังแกได้ง่ายๆ”
อูเหิงเทียนสีหน้าคล้ำเขียว โกรธเกรี้ยวหาใดเปรียบ
เขาคิดไม่ถึงเป็นอันขาดว่าจะถึงกับเกิดเรื่องไม่น่าเชื่อเช่นนี้ขึ้นมาได้
นี่ก็คือที่พึ่งพิงของหลินสวินหรือ
แต่หากเขาคิดว่าเช่นนี้ก็สามารถทำให้ตนก้มหัวได้ กดดันจนยอมปล่อยตัวเทียนเชวียไป เช่นนั้นก็คิดผิดมหันต์แล้ว!
เผ่าอีกาทองอยู่รอดนับตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้ ผ่านอันตรายไม่รู้เท่าไหร่ แต่ไหนแต่ไหรมาก็ไม่เคยหวาดกลัวมาก่อน
มกุฎอริยะกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันก็คิดอยากพลิกฟ้าหรือ
ฝันไปเถิด!
“วันนี้ก็จะรังแกพวกเจ้านี่ล่ะ มีปัญหาหรือ ว่ามา พวกเจ้าจะลงมือเอง หรือจะให้พวกเราลงมือ”
อาหลู่เอ่ยเสียงดัง
“อย่าเพิ่งรีบร้อน รอข้าก่อน!”
สวบ!
ปราณกระบี่สว่างไสวสายหนึ่งแหวกว่ายเวิ้งฟ้ามาเยือน กลายเป็นเงาร่างของเยวี่ยเจี้ยนหมิงโรยตัวสู่พื้นโดยฉับพลัน
“พี่หลิน ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง” เยวี่ยเจี้ยนหมิงประสานมือ
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ถอนใจกล่าว “คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มาด้วยเช่นกัน”
“หากข้าไม่มาคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิงฟันขาวดุจหิมะ ยิ้มอย่างสนใสยิ่ง
“ครึกครื้นนัก พี่หลิน คราวหน้าหากมีเรื่องรื่นเริงเช่นนี้อีกต้องบอกให้ข้ารู้ตั้งแต่แรกเลยนะ เจ้าดูสิ มีคนมาก่อนข้าตั้งมากมาย”
ท่ามกลางเสียงใสกังวานดุจเสียงสวรรค์ จี้ซิงเหยาในชุดสีขาวโรยตัวมาเยือนแผ่วเบา งามสง่าดุจเซียน รูปโฉมงดงามยิ่ง
น้ำเสียงของนางเจือแววช้ำใจ ทำให้หลินสวินอดยิ้มขื่นไม่ได้ ลูบจมูกป้อยๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครทั้งนั้น
“แม่นางจี้พูดถูก ข้าเองก็เจ็บใจยิ่งยวดที่มาถึงช้ากว่าคนอื่น”
ฮู้ม!
รุ้งสีทองสายหนึ่งครอบพื้นที่ ทำให้แผ่นดินใหญ่ล้วนสั่นสะเทือน แสงทองสาดกระเซ็นออกมา ปรากฏเงาร่างสูงล่ำกำยำสายหนึ่ง ทั่วร่างทองอร่าม แผ่กลิ่นอายบ้าคลั่งอันน่าสะพรึงออกมา
เป็นหยวนฝ่าเทียนทายาทเผ่าวานรจมูกเชิดนั่นเอง
“เจ้าลิงอย่างเจ้าก็มาด้วยหรือ”
อาหลู่ประหลาดใจ
หยวนฝ่าเทียนกล่าวเย็นชา “เหตุใดข้าจะมาไม่ได้”
อาหลู่กล่าว “นั่น… ราชันเผิงปีกทองน้อยก็มาด้วย?”
“ถูกต้อง”
ที่ตอบคำถามเขาคือเสียงที่เจือกลิ่นอายหยิ่งทระนงสายหนึ่ง
ก็เห็นบนเวิ้งฟ้าลมคลั่งโหมกระหน่ำ เผิงปีกทองตัวใหญ่ตัวหนึ่งมาเยือนฉับพลัน ปีกคู่นั้นราวกับเมฆระฟ้า แสงทองไหลเวียน อภินิหารไร้สิ้นสุด
ทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง มีเพียงดวงตาสีทองลุกโชนดุจดวงอาทิตย์ร้อนแรง
ราชันเผิงปีกทองน้อย!
ไกลออกไปทุกคนในเผ่าอีกาทองต่างตะลึงอึ้งค้าง รู้สึกลายตาไปหมด สีหน้ายังไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปเท่าไหร่แล้ว
ที่ผ่านมาต้องการพบมกุฎอริยะคนหนึ่งยังแสนยาก แต่ตอนนี้กลับดีนัก มกุฎอริยะทั้งกลุ่มที่เลื่องชื่อลือชาที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณล้วนทยอยมาเยือนตามๆ กัน!
นี่ใครจะไม่ใจสั่น สะทกสะท้านได้บ้าง
ที่ทำให้ในใจพวกอูเหิงเทียนสะท้านสะเทือนที่สุดคือ มกุฎอริยะเหล่านี้ถึงกับมุ่งหน้ามาเพราะหลินสวินคนเดียว เพื่อหลินสวินแล้ว พวกทรงอิทธิพลในหมู่คนรุ่นหลังเหล่านี้ล้วนกล้าฉีกหน้าเผ่าอีกาทอง!
‘หัวหน้าเผ่า ควรทำอย่างไรดี เรื่องชักเริ่มยุ่งยากขึ้นแล้ว’
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าสื่อจิตด้วยอาการวิตกกังวล
เมื่อมองดูมกุฎอริยะในลานเหล่านี้ที่มุ่งหน้ามาเพื่อช่วยหลินสวิน ในหมู่พวกเขาใครบ้างที่ไม่มีขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่น่ากลัวหนุนอยู่
ใครบ้างที่ไม่ใช่มกุฎในระดับอริยะแท้
‘ที่นี่เป็นอาณาเขตของพวกเราเผ่าอีกาทอง พวกเขากล้ามา ตายไปก็สมควร!’
อูเหิงเทียนกัดฟัน น้ำเสียงเย็นเยียบ
วันนี้หากเผ่าอีกาทองของเขาก้มหัวให้คนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่ง เมื่อแพร่งพรายออกไปจะไม่กลายเป็นตัวตลกในดินแดนรกร้างโบราณหรือ!
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงเข้ม “หลินสวิน ผู้ช่วยเจ้ามีเท่านี้หรือ ยังมีอีกหรือไม่”
เสียงดุจสายฟ้าฟาด
“มี”
ที่ตอบเขาคือเสียงดังเคร้งคร้างดุจดาบกระบี่ฟาดฟันกันสายหนึ่ง
ชายหนุ่มอานุภาพแกร่งกร้าวที่ทั่วร่างอาบอยู่ในเพลิงเทพสายหนึ่งแหวกว่ายห้วงอากาศมาเยือน บุคลิกยโสโอหัง
เป็นชื่อหลิงเซียว!
สีหน้าอูเหิงเทียนเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองต่างบื้อใบ้จนวาจา สีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง
พวกเขาเผ่าอีกาทองเคยถูกกระทำเช่นนี้เสียเมื่อไหร่
สถานการณ์เบื้องหน้าย่ำแย่ยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และทำให้พวกอูเหิงเทียนรับมือไม่ถูก แม้ว่าภายในใจจะเดือดดาลเพียงใดก็ไม่กล้าผลีผลามลงมืออยู่ดี
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่กริ่งเกรง!
แต่ตอนที่พวกเขาต่างคิดไปว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนสิ้นสุดลงแล้ว กลางห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงก็บังเกิดคลื่นอีกระลอกหนึ่ง
“ดูเหมือนพวกเราไม่ถือว่ามาช้าเกินไปนัก”
“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
“ความรู้สึกนี้เหมือนกลับไปยังสมรภูมิเก้าดินแดนอีกครั้งเลยนะ ตอนนั้นพวกเราร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ หนำใจปานใด!”
ท่ามกลางเสียงสนทนา ชายหนึ่งหญิงหนึ่งปรากฏตัวในลาน เงาร่างชายหนุ่มผ่าเผย มีอานุภาพผงาดกร้าวเหนือภูผาธารา ส่วนหญิงสาวรูปโฉมโดดเด่น เงาร่างอรชร ประหนึ่งเทพธิดาผู้ออกมาจากประกายเพลิง
เป็นเซ่าเฮ่าและรั่วอูนั่นเอง!
ชั่วขณะนั้นอูเหิงเทียนรู้สึกอึ้งตาค้างแล้ว
ส่วนผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนอื่นๆ ก็ต่างนิ่งเงียบ จิตใจดั่งชาหนึบ
นี่ก็คือบารมี ‘อันดันหนึ่งแห่งสมรภูมิเก้าดินแดน’ ของหลินสวินคนนี้หรือ
พอมองไปไกลๆ อีกครั้ง หลินสวิน เจ้าคางคก อาหลู่ เจ้านกดำ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน เยวี่ยเจี้ยนหมิง หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ…
มกุฎอริยะทั้งกลุ่มยืนเคียงไหล่กัน แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุค อิทธิพลแผ่กว้าง เปรียบเสมือนหมู่ดาราที่ส่องประกายแพรวพราวที่สุดบนเวิ้งฟ้า
ยามนี้ล้วนรวมตัวกันอยู่รอบๆ หลินสวินเพียงคนเดียว!
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนสามารถจารึกลงหน้าตำราประวัติศาสตร์ของดินแดนรกร้างโบราณได้ กลายเป็นคำสดุดีที่ชนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรสหลายชั่วอายุคนสืบไป
ถึงอย่างไรบรรดาคนรุ่นหลังที่เป็นตัวแทนดินแดนรกร้างโบราณซึ่งโดดเด่นสะดุดตาที่สุดในมกุฎมรรคา หากต้องการให้รวมพลกันอย่างพร้อมหน้าเช่นนี้ ย่อมยากเย็นแสนเข็ญยิ่งอย่างแน่นอน!
และยามนี้หลินสวินก็อดเลือดสูบฉีดไม่ได้เช่นกัน รู้สึกเกรียงไกรโดยพลัน
เขาหลินสวินกรำศึกมาถึงตอนนี้ แม้จะสร้างศัตรูนับไม่ถ้วน แต่พร้อมกันนั้นก็มีสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กลุ่มหนึ่ง!
ยามนี้พวกเขาต่างเดินหน้าเข้ามาหา เลือกจะร่วมสู้เคียงข้างตนอีกครั้ง!
พวกเจ้าคางคก อาหลู่ เวลานี้ในใจต่างก็ไหวกระเพื่อม พลันนึกถึงช่วงเวลาที่ต่อสู้ในสมรภูมิเก้าดินแดนขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนั้นพวกเขายิ้มดื่มเลือดศัตรู ฆ่าจนสาแก่ใจสุดๆ!
เพียงแต่ว่าตอนนี้ คู่ต่อสู้ของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเผ่าอีกาทองก็เท่านั้น
เบื้องหน้าหุบเขาตะวันคล้อย บรรยากาศบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองทั้งกลุ่มล้วนมืดทะมึน ไม่น่าดูอย่างที่สุด ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกประดักประเดิดหาใดเปรียบ มีความรู้สึกขี่เสือแล้วลงยาก ไม่อาจรุกถอยอยู่เนืองๆ
“ช่างเถอะ”
จู่ๆ อูเหิงเทียนก็ถอนใจยาว “ไม่เห็นแก่พระก็เห็นแก่เทพ คนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่คนละแห่งกัน เผ่าอีกาทองของข้าแม้จะไม่เกรงกลัว แต่ในฐานะผู้ร่วมวิถีในดินแดนรกร้างโบราณก็ไม่อาจทำเกินไปได้”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองล้วนอึ้งไป นี่หัวหน้าเผ่าเปลี่ยนใจแล้วหรือ
พวกหลินสวินล้วนจ้องมองอย่างเย็นชา ใครก็ไม่เชื่อว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างอูเหิงเทียนนี่จะก้มหัวง่ายๆ ปานนี้
ดังคาด ครู่ต่อมาก็เห็นอูเหิงเทียนกล่าวว่า “เพื่อไม่ให้ทำร้ายคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าพาเทียนเชวียออกไปสักครั้ง ข้อตกลงเบื้องต้นคือเจ้าจะต้องสู้กับผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองของข้าสามครั้ง หากชนะทั้งสามครั้ง ข้าก็จะให้เจ้าได้สมปรารถนา มอบตัวเจ้ามารบาปเทียนเชวียนี่ให้เจ้า”
เขาหยุดไปพักหนึ่งก่อนที่นัยน์ตาจะผุดไอสังหารดุดัน จ้องตรงไปที่หลินสวิน “หากแพ้หนึ่งครั้ง… ฮ่าๆ อย่าว่าแต่ช่วยเทียนเชวียออกไปเลย ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าก็เกรงว่าจะต้องทิ้งไว้ที่นี่แล้ว!”