Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1710 ชิงอาหารจากปากเสือ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1710 ชิงอาหารจากปากเสือ
ในที่นั้นเงียบสงัด
คนไม่น้อยต่างกำลังลอบถอนใจ หลินสวินนั่นจะใจเสาะไปได้อย่างไร ใจกล้าคับฟ้าเป็นที่สุดชัดๆ ที่ถอยหนีก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วเพื่อวางแผนใส่กู่ฉางซิน เอาเขาไปเผาในกองไฟ กลายเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็ง
ส่วนเขาหลินสวินกลับซุ่มซ่อนอยู่ลับๆ รอโอกาสค่อยลงมือ สุดท้ายก็ชิงเอาไอมรรคหลอมสมบัติคุณลักษณะล้ำเลิศมาจากมือกู่ฉางซินได้!
พวกเหยียนซิวสีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ
หญิงสาวผมเขียวงามเย้ายวนลงมือ ถูกกู่ฉางซินลวงฆ่า และถูกหลินสวินใช้ประโยชน์ฉวยโอกาสเข้ามาตอนมีช่องโหว่ โจมตีกลับกู่ฉางซิน แล้วถือโอกาสเด็ดเอาลูกท้อไปเช่นกัน
นี่ทำให้พวกเขาแค้นจนกัดฟัน รู้สึกว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้กลายเป็นลงแรงแทนหลินสวินทั้งหมด ช่างน่าแค้นนัก
“สวะฝูงหนึ่ง!”
กู่ฉางซินก็แค้นนัก ไม่เพียงเพราะถูกหลินสวินจูงจมูก แต่ยังโกรธที่พวกพ้องข้างกายเหล่านั้นไร้ความสามารถ
เห็นหลินสวินกับหญิงสาวคนนั้นปรากฏตัว พวกพ้องพวกนี้แต่ละคนดันไม่มีการตอบสนอง โง่เขลาและไร้ความสามารถปานไหน
ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลเหล่านั้นต่างเผยสีหน้าขุ่นเคืองอับอายอย่างอดไม่ได้ ก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตาอยากฆ่าคนตายนั้นของกู่ฉางซิน
ความจริงแล้วพวกเขาก็จนใจนัก
ใครจะคิดว่าหลินสวินนั่นจะย้อนกลับมาโจมตีครั้งหนึ่ง
และใครจะคิดได้ว่าพวกเขาจะถึงกับใจกล้าถึงขั้นนี้
แต่พอคิดว่าตอนแรกพวกเขายังดูแคลนว่าหลินสวินใจเสาะ เห็นว่าเขาชื่อไม่สมตัว ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลเหล่านี้ก็ปวดแสบปวดร้อน
ความรู้สึกเหมือนถูกคนตบหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่ง!
หลินสวินคนนี้จะรังแกกันมากไปแล้ว!
“ต่อไปพวกเจ้าแต่ละคนต้องจับตาดูให้ข้า ใครกล้าเข้ามาใกล้ให้ฆ่าไม่ละเว้น!”
กู่ฉางซินสีหน้าเหี้ยมโหด
“ได้!”
ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลเหล่านี้ต่างเด็ดเดี่ยว พยักหน้าตอบรับ
‘เสร็จกัน กู่ฉางซินคนนี้ถูกยั่วโมโหโดยสมบูรณ์แล้ว คิดจะฉวยโอกาสอีกเกรงว่าจะยาก…’
ในใจเหยียนซิวทดท้อไปครู่หนึ่ง
ตอนนี้จู่ๆ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางฟ้าดิน “เฮอะ กู่ฉางซินเจ้าคุยโวจังนะ วิธีการก็อหังการนัก คิดจริงๆ หรือว่าแดนหลอมสมบัติแห่งนี้เป็นอาณาเขตของพวกเจ้าเรือนมรรคจักรวาล”
อุณหภูมิฟ้าดินลดลงฉับพลัน ไอหนาวยะเยือกเสียดกระดูกอบอวล ทุกคนในที่นั้นต่างหนาวสะท้านสั่นระริก
จากนั้นทุกคนก็มองเห็นชายหนุ่มสีหน้าดูอมโรคเล็กน้อย ผิวหนังซีดขาวอย่างประหลาด ก้าวเดินออกมาจากห้วงอากาศไกลออกไป
ฮว่าซิงหลี!
ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคเหล่ามาร มกุฎมหาอริยะที่เปี่ยมไปด้วยตำนานคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นมารไร้ปรานีที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น สองมืออาบเลือดคนหนึ่ง
คู่ต่อสู้ที่ตายด้วยน้ำมือเขา ไม่มีสักคนที่ไม่ใช่ผู้โดดเด่นมีชื่อในแถบหนึ่ง!
“ฮว่าซิงหลี เจ้านี่เอง…”
กู่ฉางซินนัยน์ตาหดหรี่ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าใช้ ‘ความแค้นแจ้งมรรค’ สร้าง ‘คัมภีร์บุปผาสุสานดับสูญ’ ได้รับการชื่นชมจาก ‘จักรพรรดิมาร’ ผู้หนึ่งในเรือนมรรคเหล่ามาร กล่าวว่าเจ้าต้องสร้างวิถีแห่งมหาจักรพรรดิได้ภายในพันปี ข้าล่ะอยากลองดูว่าเจ้าจะมีรากฐานพลังกับความสามารถเช่นนี้จริงหรือไม่”
เขาไม่ปิดบังไอสังหารและจิตต่อสู้ของตน ตัวเขาดั่งภูผาใหญ่สูงตระหง่าน ท่วงท่าดุจกระบี่เทียมฟ้า ปั่นป่วนคลื่นลมในฟ้าดินแถบนี้
“เตรียมตัวให้ดี โอกาสมาแล้ว!”
และเมื่อเห็นภาพนี้ เหยียนซิวที่เดิมท้อใจพลันฮึกเหิมขึ้นมา เห็นความหวังว่าที่จะชิงลาภลอยไปได้อีกครั้ง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้ารู้เรื่องข้าเยอะมากทีเดียว”
ฮว่าซิงหลีเผยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดาย ข้าไม่สนใจจะรู้เรื่องเจ้าสักนิด”
สายตาเขากวาดมองไปโดยรอบแล้วพูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสู้กันที่นี่”
กู่ฉางซินสีหน้าเหี้ยมเกรียม “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าจะถอยเพราะรู้ว่ายากหรือไม่แล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดขาวอมโรคของฮว่าซิงหลีปรากฏรอยยิ้ม พูดว่า “ข้าคนนี้ตระหนักรู้เสมอว่าต้องถอนตัวตอนยังไม่สาย แต่อย่างเจ้า ยังไม่ถึงกับทำให้ข้าเห็นแล้วถอยกลับ”
เขาพูดพลางก้าวออกไปก้าวหนึ่ง
ฟ้าดินพลันมืดมนลง อากาศและเส้นแสงโดยรอบราวกับถูกดึงออกไปจนหมด ม่านแสงมืดมนแปลกประหลาดแผ่ขยายโดยมีฮว่าซิงหลีเป็นศูนย์กลาง
ผมขาวของเขาปลิวไปตามลม มุมปากระบายยิ้ม แต่ในสายตาของทุกคนที่อยู่ใกล้กัน เขาก็เหมือนจอมมารดึกดำบรรพ์ที่ยืนอยู่กลางรัตติกาลตนหนึ่ง มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่ควบคุมความเป็นตาย
คนไม่น้อยเลือดแทบจับแข็ง สั่นสะท้านไปทั้งตัว หลบหนีด้วยความตะลึงพรึงเพริด ไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณนี้ด้วยกำลังจะรับไม่ไหวแล้ว
ด้านพวกเหยียนซิวต่างก็หนาวยะเยือกในใจ ฮว่าซิงหลีแห่งเรือนมรรคเหล่ามารผู้นี้ เพิ่งผงาดขึ้นในทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่ถึงร้อยปีเท่านั้นก็น่ากลัวปานนี้แล้วหรือ
กู่ฉางซินแววตาไหวกระเพื่อม พลังขับเคลื่อนทั่วร่างกู่ก้องราวกับกระแสธารใหญ่ถาโถม เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน รับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของฮว่าซิงหลี
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววตาแน่วแน่เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ใช้กระบี่ข้าหยุดเจ้า!”
ชิ้ง!
กระบี่ยักษ์นามว่าหวนย้ำฟันออกไปในห้วงอากาศ มีอานุภาพบดขยี้ภูผาธารา การรวมตัวของเจตกระบี่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ฮว่าซิงหลีร้องอ้อคำหนึ่ง โบกสะบัดแขนเสื้อ กลีบดอกไม้สีชมพูปลิวว่อนเต็มฟ้า แต่ละกลีบล้วนนุ่มนวลแวววาว งดงามดั่งภาพฝัน
ฉึบๆ!
กลีบดอกไม้กลีบหนึ่งติดอยู่บนกระบี่ยักษ์ที่ทะลวงสังหารมา กลีบดอกไม้ที่ดูเหมือนอ่อนนุ่ม แต่กลับกลายเป็นกฎระเบียบแปลกประหลาดเป็นริ้วๆ ทำให้อานุภาพการโจมตีของกระบี่ยักษ์ชะงักลงในทันใด
เมื่อกลีบดอกไม้ม้วนตลบมาถึง กู่ฉางซินดวงตาหดรัด กระตุ้นพลังทั้งหมดโดยไม่ลังเล อานุภาพของกระบี่ยักษ์ดั่งเจินหลงออกจากหุบเหว เกี่ยวกระวัดกันทันใด
ตูม!
ฝนดอกไม้เต็มฟ้าปลิวว่อน ประกายกระบี่กับเจตกระบี่ถักทอกัน กลางฟ้าดินพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา
ฮว่าซิงหลีก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง ท่วงท่าสงบเยือกเย็น แต่พร้อมกับการก้าวเดินของเขา กลีบดอกไม้สีชมพูที่รวมตัวแน่นขนัดนับไม่ถ้วนกลายเป็นพายุพัดออกไปมืดฟ้ามัวดิน
ทั้งที่เป็นกลีบดอกไม้อ่อนนุ่มแวววาวเท่านั้นชัดๆ แต่สิ่งที่ประทับไว้มีแต่กฎเกณฑ์อันลึกลับไม่อาจคาดเดา เต็มไปด้วยพลังสังหารที่ทำให้เทพผีหวาดผวาได้
หว่างคิ้วของกูฉางซินปรากฎแววเคร่งเครียด กระบี่ตวัดสังหาร อานุภาพยิ่งใหญ่พลังรุนแรง เจตกระบี่ล้ำเลิศ หนักแน่นดั่งฉุดลากภูเขาเทพบรรพกาลลูกหนึ่งมาเข่นฆ่า
ชั่วขณะเดียวฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน แสงมรรคน่ากลัวท่วมทับจนมิด
พวกเหยียนซิวต่างตัวแข็งทื่อ สีหน้าตกตะลึง
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นกู่ฉางซินหรือฮว่าซิงหลี ฝีมือที่สำแดงออกมาล้วนเรียกได้ว่าตะลึงโลก ทั้งสองประมือกันดั่งสุริยันประชันแสง
‘ไม่ได้ คิดจะชิงอาหารจากปากเสืออันตรายเกินไปแล้ว…’
เหยียนซิวรู้สึกปั่นป่วนในใจ เขาตัดสินได้ว่าถ้ายื่นมือเข้าไปตอนนี้ ไม่เพียงไม่มีโอกาสชิงไอมรรคหลอมสมบัติเท่าไร ยังอาจจะถึงกับถูกกู่ฉางซินกับฮว่าซิงหลีหมายหัวพร้อมกันในชั่วพริบตาด้วย!
‘ได้แต่รอ รอให้พวกเขาสู้จนแพ้กันทั้งสองฝ่ายถึงจะได้’
เหยียนซิวตัดสินใจ
เขามั่นใจนัก คิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่พวกเขา ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นที่อยู่ในที่นั้นก็ต้องไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปใกล้
ฟุ่บ!
แต่ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งเคลื่อนตัวกลางอากาศ ปรากฏตัวอยู่ใกล้กับโกรกธารหมอกดำนั้น และคว้าไปยังโกรกธารประหนึ่งภูตผี
เหยียนซิวพลันตกตะลึงอ้าปากค้าง นี่กำลังตบหน้าเขาหรือ เมื่อกี้เพิ่งตัดสินใจไปก็มีคนไม่กลัวตายถลาออกมาแล้ว!
“หลินสวิน เจ้าอีกแล้ว!”
กู่ฉางซินคำรามลั่นอย่างกราดเกรี้ยว
ผู้สืบทอดที่มาจากเรือนมรรคจักรวาลเหล่านั้นก็โกรธแล้ว เจ้าหมอนี่เสพติดการปล้นชิงตามไฟหรือไง
“สู้กับข้า วอกแวกไม่ใช่เรื่องดี”
ฮว่าซิงหลียิ้มพลางเอ่ยปาก รูปแบบการจู่โจมพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดันฉับไวขึ้นมาก
“โง่เง่า เจ้ากับข้าสู้กัน เขาหลินสวินได้ประโยชน์ เจ้าไม่เข้าใจหรือ”
กู่ฉางซินตะคอกเสียงดังสีหน้าอึมครึม
เขาคิดจะแยกไปต่อกรหลินสวิน แต่กลับถูกฮว่าซิงหลีพัวพันไม่สิ้น ไม่อาจปลีกตัวมาได้สักนิด นี่ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างอดไม่ได้
“อ้อ ไม่ใช่จะชิงของของข้าเสียหน่อย เกี่ยวอะไรกับข้า”
ฮว่าซิงหลีเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อยตามใจ เขาเพียงแต่ชำเลืองมองหลินสวินครั้งหนึ่งก็ไม่สนใจอีก
กู่ฉางซินเดือดจัดจนยิ้มออกมา “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนเป็นพวกเดียวกับเจ้าหมอนี่”
ฮว่าซิงหลีเอ่ยปฏิเสธ “นั่นก็พิสูจน์ได้เพียงว่าเจ้ามีตาหามีแววไม่ ไม่รู้รูปแบบการกระทำการของข้าฮว่าซิงหลี”
ยามสนทนา ทั้งสองยังคงประมือกัน สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือด
“ฆ่า!”
ณ ที่นั้น ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลเหล่านั้นลงมือมานานแล้ว พุ่งไปล้อมขวางหลินสวินไว้
ก่อนหน้านี้เพราะถูกหลินสวินชิงอาหารจากปากเสือ พวกเขาจึงถูกกู่ฉางซินด่าทอสาดเสียเทเสีย ตอนนี้จะยังกล้าร่ำไรได้อย่างไร
ตูม!
และตอนนี้หลินสวินก็คว้าไอมรรคหลอมสมบัติได้สำเร็จแล้ว จากนั้นพลันสำแดงพลังซัดผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลที่ล้อมเข้ามาทุกคนให้กระเด็นออกไป ประหนึ่งหุบเหวเคลื่อนที่ในท้องฟ้า
พอร่างเขาพริบไหวก็ทะยานหนีไปไกล ยิ้มเอ่ยว่า “ทั้งสองคนสู้ต่อไปนะ ข้าคนแซ่หลินจะไม่รบกวนความสนุกของทั้งสองคนแล้ว”
กู่ฉางซินสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างยิ่ง กัดฟันไม่หยุด
ฮว่าซิงหลีกลับหัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “รอเจอกันคราวหน้า ข้าล่ะอยากเล่นกับเจ้านัก ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นนี้แน่”
ไกลออกไปเงาร่างของหลินสวินหายลับไปนานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่
“ฮว่าซิงหลี เจ้าสมควรตาย!”
ไฟโทสะเต็มอกของกู่ฉางซินไม่มีที่ให้ระบายออก ย่อมชี้ปลายทวนไปที่ฮว่าซิงหลี
ตูม!
เขาสังหารเต็มกำลังประหนึ่งเทพกระบี่พิโรธ
ฮว่าซิงหลียิ้ม ตั้งแต่เริ่มจนจบยังท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่ลักษณะการโจมตีของเขากลับไม่ด้อยไปกว่ากันสักนิด
เหล่าผู้กล้าในที่นั้นต่างมองหน้ากัน
หลินสวินนั่นชิงอาหารจากปากเสือไปสองครั้ง และจากไปได้อย่างปลอดภัยทั้งสองครั้ง ทำให้ทุกคนตกตะลึง ทั้งยังทำให้ทุกคนเคียดแค้นริษยาและหงุดหงิดใจ
โดยเฉพาะพวกเหยียนซิว อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
เดิมทีคนที่ได้เด็ดลูกท้อไปควรเป็นพวกเขาถึงจะถูก แต่ตอนนี้ พวกเขากลับกลายเป็นคนสังเกตการณ์ ได้แต่มองดูหลินสวินฉวยโอกาสเข้ามาชิงวาสนาไปตาปริบๆ
ความรู้สึกนี้อัดอั้นเกินไปแล้ว!
“ครึกครื้นจังนะ”
ทันใดนั้นเสียงแหบแห้งเจือแรงดึงดูดเป็นเอกลักษณ์เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงก้าวเดินหนักลึกอสนีดังขึ้นกลางฟ้าดิน ถังซูที่แต่งกายชุดดำ เงาร่างอรชรถือดาบศึกมหึมาน่าตกตะลึงเล่มหนึ่งทะลวงอากาศมา
โครม!
ทันทีที่มาถึงนางก็กระโจนขึ้นฉับพลัน ยกดาบศึกเรียวยาวเปล่งประกายราวหิมะฟันไปที่ฮว่าซิงหลีกับกู่ฉางซินที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
“มาๆๆ มาสู้กันให้หนำใจ!”
ถังซูดวงตาเปล่งประกาย เอ่ยปากหัวเราะร่า
ในใจกู่ฉางซินโกรธจนแทบหลุดปากผรุสวาท หญิงบ้าคนนี้มาตอนไหนไม่มา ดันมาเอาตอนนี้ ช่างเหมือนตัวหายนะเสียจริง!
ฮว่าซิงหลีที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์ตั้งแต่เริ่มจนจบก็มุมปากกระตุกเกร็งไปคราหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขาก็คล้ายปวดหัวกับถังซูนัก
“พวกเจ้าเล่นกันไปนะ ข้าไปก่อนล่ะ”
ฮว่าซิงหลีกำลังจะปลีกตัว กลับถูกดาบหนึ่งของถังซูฟาดเข้าไปอย่างอหังการบ้าระห่ำ ทำเอาเขาถูกบีบให้ต้องรับการโจมตี
ถังซูท่าทางฮึกเหิม จิตต่อสู้ลุกโชนดุจเปลวเพลิง “ใครไม่สู้ก็เป็นไอ้อ่อน!”
ประโยคอหังการจองหองประโยคเดียวดังไปทั่วทั้งที่นั้น ทำให้ผู้ที่ดูการต่อสู้ต่างตกตะลึง