Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1733 หนึ่งในเก้าแดนลับคุนหลุน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1733 หนึ่งในเก้าแดนลับคุนหลุน
ยอดเขาพญามังกร ห้วงอากาศดุจดั่งควบแข็งในชั่วอึดใจ
ศิษย์สืบทอดแกนหลักสายตรงของเรือนมรรคจักรวาลคนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคที่ติดห้าสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา พลีชีพสังเวยกระบี่ในเวลานี้!
เดิมแค่ได้ยินก็ชวนสยองแล้ว ถ้าอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา หากมีคนกล้าบีบกู่ฉางซินมาถึงขั้นนี้ จะต้องเรียกเพลิงโทสะระฟ้าจากเรือนมรรคจักรวาลอย่างแน่นอน
แต่อยู่ในแหล่งสถานคุนหลุนแห่งนี้ เรื่องเช่นกลับเกิดขึ้นแล้ว
วู้ม!
พื้นผิวกระบี่โบราณดำเงาอวลตลบด้วยลายมรรคสีเลือดเกรี้ยวกราด คมกระบี่สั่นกึกกักดังวู้มๆ แสงมรรคที่ปลดปล่อยออกมาพุ่งเสียดฟ้า
เงามายาที่คล้ายภาพลวงตาสายหนึ่งปรากฏขึ้น ใหญ่กำยำดุจผืนฟ้า อานุภาพศักดิ์สิทธิ์แผ่ไพศาล ลำพังเพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมา ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นเทิ้มและหายใจติดขัดแล้ว
วิญญาณอาวุธ!
กระบี่โบราณสีดำเล่มนี้ ถึงกับเป็นสุดยอดสมบัติที่มีวิญญาณอาวุธเล่มหนึ่ง
ผู้ชมการต่อสู้ไม่มีใครไม่สยดสยอง
แม้จะเป็นหลินสวินก็ยังอดมุ่นคิ้วไม่ได้ นัยน์ตาวาบแววผิดแปลก
กลางฝ่ามือของเขา ธนูวิญญาณไร้แก่นสารปรากฏขึ้นมาฉับพลัน
“หลินสวิน ความตายก็คือจุดจบที่เจ้ากับข้าล้วนต้องแบกรับ”
กู่ฉางซินในเวลานี้ผมขาวเหี่ยวแห้ง ผิวหนังแก่ย่นหม่นแสง ทว่าดวงตากลับลุกโชนด้วยแววแค้นและเปลวเพลิงท่วมท้น
สวบ!
กระบี่โบราณสีดำพาดขวาง เงามายาวิญญาณกระบี่สายนั้นย่างฝีเท้าโถมไปข้างหน้า ราวกับนายเหนือหัวมาเยือน หลอมรวมพลังแห่งตนเข้าไปในกระบวนท่านี้
ปราณกระบี่ที่ยาวถึงร้อยจั้ง ต่อให้เป็นภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ก็ยังผ่าครึ่งได้ ประดุจเทพกระบี่โบราณเยื้องย่าง ทำให้ฟ้าดินล้วนอับแสง เหลือไว้เพียงประกายกระบี่ที่เจิดจ้าลุกโชนสายหนึ่ง
ประกายกระบี่นั้นสว่างจ้าแสบตา และน่าสะพรึงถึงขีดสุด!
“อู้เชวียอยู่ไหน”
หลินสวินตวาดเสียงเบาๆ คราหนึ่ง
วู้ม!
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกสั่นกึกๆ บนคันธนูที่ดุดันหยาบคลั่งปรากฏเงาร่างเด็กหนุ่มผมเทาคนหนึ่ง
อานุภาพอำมหิตที่ประหนึ่งสะเทือนโลกก็พลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว!
“นายท่านน้อย มอบให้ข้าก็พอ”
เด็กหนุ่มผมเทาเผยรอยยิ้มเจิดจ้า คิ้วที่คมกริบดุจคมมีดเจือมาดผยอง เขาถือธนูวิญญาณไร้แก่นสาร นิ้วมือเกี่ยวสายธนูที่แดงฉานเหมือนเคยจุ่มแช่ในเลือดสดก่อนเงยหน้าขึ้นขวับ
สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความดุดันอำมหิต!
ตูม…
ดุจดั่งเบิกฟ้าผ่าปฐพี!
ยอดเขาพญามังกร ถูกแสงมรรคและเสียงกึกก้องแผ่ครอบฟ้าดินจนมิด
ในสายตา จิตใจ และจิตวิญญาณของทุกคนเหลือเพียงแสงที่เจิดจ้าแผ่ไพศาล ดุจดั่งมีอาทิตย์ดวงใหญ่กลางฟ้าดาราที่แสบตาหาใดเปรียบดวงหนึ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงแผ่กว้าง เพียงพอจะทำให้เทพผีตกใจ!
ความหวาดสะพรึงอย่างไม่อาจพรรณนา พุ่งจู่โจมจิตใจผู้ชมการต่อสู้แต่ละคนประหนึ่งเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัด พวกเขาสยดสยอง ร้องอุทาน ถอยหลบ…
คนไม่น้อยยิ่งตกใจจนซวนเซนั่งลงกับพื้น สีหน้าซีดขาว
จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ลำแสงที่ยอดเขาพญามังกรนั่นจึงค่อยๆ เลือนราง ระลอกคลื่นที่ฟาดฟัดกลางห้วงอากาศเริ่มสงบลง
“ในที่สุดก็สิ้นสุดแล้วหรือ”
คนมากมายถอนหายใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกว่าอาภรณ์บริเวณแผ่นหลังล้วนถูกเหงื่อเย็นชุ่มโชก
ในการปะทะที่เรียกได้ว่าเสียวสยองสะเทือนโลกระดับนี้ เกรงว่าราชันอริยะมาก็ยังต้องเจ็บหนักร่วงหล่นได้เลยกระมัง
“น่าเสียดาย กู่ฉางซินพลีชีพสังเวยกระบี่ หมายบรรลัยกันทั้งสองฝ่ายกับหลินสวินโดยไม่สนทุกสิ่ง พวกเขาสองคน… ต่อไปต้องถูกลบชื่อแน่นอนแล้ว…”
ผู้ชมการต่อสู้คนหนึ่งทอดถอนใจ
ยังไม่ทันพูดจบสีหน้าเขาก็ชะงักค้างทันควัน ลูกตาเกือบกระเด็นออกมาราวกับเห็นภูตผี
และพร้อมกันนั้นผู้ชมการต่อสู้คนอื่นๆ ในที่นี้ต่างก็ไม่มีใครไม่ปากอ้าตาค้าง พากันหันไปมองยังทิศทางหนึ่งเป็นจุดเดียว
เห็นเพียงกลางห้วงอากาศตรงยอดเขาพญามังกร คนผู้หนึ่งยืนกลางอากาศ ในมือของเขากำธนูใหญ่กระดูกขาวที่หยาบหนาคันหนึ่ง เรือนกายตั้งตรงราวกระบี่ ประหนึ่งจะเสียบทะลวงเวิ้งฟ้า!
จังหวะที่มองเห็นเงาร่างสายนี้
ทั้งที่นั้นต่างร้องเสียงหลง ทุกคนล้วนนิ่งเหมือนรูปสลัก
หลินสวิน!
เขาถึงกับยังรอดอยู่อีก!
และในลาน กลิ่นคาวเลือดเต็มพื้นเกลื่อนกล่น ซากแขนขาเศษชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วน ไม่เห็นเงาร่างของกู่ฉางซินตั้งนานแล้ว
มีเพียงกระบี่หักสีดำเงาเล่มหนึ่งเสียบเฉียงอยู่กลางบ่อเลือด ส่งเสียงดังวู้มๆ!
บรรยากาศในที่นั้นเงียบกริบ ไร้สรรพเสียง
แต่ละคนต่างมองหลินสวินอึ้งๆ คล้ายไม่อยากเชื่อ
ภายใต้การโจมตีแบบพลีชีพสังเวยกระบี่ ถึงตอนท้ายเงาร่างหลินสวินไม่เปื้อนมลทิน ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่กู่ฉางซินกลับร่วงหล่นแล้ว!
กระบี่หักเล่มนั้น ก็คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด
“ขะ… เขา…”
เนิ่นนานกว่าจะมีคนเอ่ยปากสั่นระริก แต่กลับพูดไม่เป็นคำ
คนอื่นๆ ต่างก็สีหน้าเลื่อนลอย
ศึกนี้ ผู้สืบทอดจากขุมอำนาจใหญ่สี่แห่งอย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคจักรวาล เผ่านักรบเถาอู้ เผ่านักรบกิเลนโลหิตร่วมมือกัน วางกับดักบนยอดเขาพญามังกร
ศึกนี้ พวกเขาคนมากพลังเยอะ วางแผนหมายมั่น เพื่อจะกำราบเข่นฆ่าหลินสวินเพียงคนเดียว
แต่ถึงตอนท้าย…
ล้วนตายหมด!
การต่อสู้นี้เริ่มตอนที่หลินสวินปีนเขา บุกสังหารมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงยอดเขาพญามังกรนี้ เขาคนเดียว เหยียบทำลายกระบวนค่ายกลกลียุคสังหารมาร ฆ่าศัตรูทั้งหมดตายเรียบ!
คนชั้นเยี่ยมจากขุมอำนาจใหญ่หลายร้อยคน พวกโดดเด่นที่ติดอันดับบนกระดานมหาอริยะฟ้าดารามากมาย ล้วนกลายเป็นเศษซากนองเลือดเกลื่อนเต็มพื้น
มีเพียงเขาคนเดียวยืนลำพังบนยอดเขา สิบทิศล้วนสงัด!
…
บนทางภูเขาหินเขียวที่เก่าแก่ อาหูยืดบิดเอวขี้เกียจ เอวกลมกลึงเต็มกำมือคอดเป็นเส้นโค้งที่สะกดใจชวนหลงใหล
นางพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก นัยน์ตาคล้ายธารยามสารทกวาดรอบสี่ทิศ สำรวจเหล่าผู้ชมที่นิ่งค้างเหมือนรูปปั้นพวกนั้นแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ กล่าวว่า
“ทุกท่านยังอยู่ที่นี่ เพราะอยากศึกษาแลกเปลี่ยนกับเทพมารหลินด้วยเหมือนกันหรือ”
เสียงไพเราะกังวาน เสนาะหูหาใดเปรียบ
ผู้ชมการต่อสู้ทั้งกลุ่มดึงสติกลับมาเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน จากนั้นล้วนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ พุ่งลงไปยังเส้นทางภูเขาเสียงดังโครมคราม
ใครยังจะกล้ายืดยาด
ยอดเขาพญามังกรนั่น ซากศพนอนเกลื่อน บ่อโลหิตชุ่มโชกผิวดิน น่ากลัวปานใด หากถูกหลินสวินมองเป็นคู่ต่อสู้ เช่นนั้นผลที่ตามมาก็ไม่อาจจินตนาการชัดๆ!
“เทพมารหลิน? ฉายานี้ช่างเหมาะสมจริงๆ…”
บนทางภูเขาคนมากมายยังฝังใจ จำฉายาที่เคยสะเทือนดินแดนรกร้างโบราณ ดุจดั่งอาทิตย์ดวงใหญ่ค้างฟ้านี่ได้แล้ว
สามารถคาดการณ์ได้ว่า เมื่อการต่อสู้ในวันนี้แพร่กระจายออกไป ฉายานี้ก็จะกระจายเป็นวงกว้างด้วยเช่นกัน ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าอาจกระจายไปถึงทางเดินโบราณฟ้าดาราได้เลยด้วยซ้ำ!
…
ฟู่…
ยอดเขาพญามังกร หลินสวินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกยาวเช่นกัน การต่อสู้และการเข่นฆ่าก่อนหน้านี้ ทำให้เพลิงโทสะและความคับแค้นภายในใจเขาได้รับการระบายออกมา ทั่วร่างก็ผ่อนคลายไประลอกหนึ่ง
เขาเริ่มเก็บกวาดทรัพย์หลังศึก
ของที่ผู้สืบทอดจากขุมอำนาจใหญ่หลายร้อยคนเหลือทิ้งไว้ รวมถึงสมบัติอย่างสมบัติอริยะ วัตถุดิบเทพ โอสถวิญญาณ สมบัติล้ำค่า ล้วนละลานตระการตาหลากสีสัน
ทรัพย์สมบัติบนตัวบุคคลชั้นเลิศอย่างกู่ฉางซิน คุนจิ่วหลิน เถาเจี้ยนสิง ยิ่งล้นเหลือเหนือจินตนาการ
‘นายท่านน้อย สมบัติอริยะพวกนั้นเก็บไว้ให้ข้าหมดเลยได้หรือไม่’
ในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร อู้เชวียเด็กหนุ่มผมเทาสื่อจิตออกมา
“ได้!”
หลินสวินตอบตกลงอย่างเบิกบาน
อู้เชวียในฐานะวิญญาณอาวุธ แต่ถูกเผ่าอีกาทองเคี่ยวกรำทรมานในกาลเวลาหมื่นสมัย พลังดั้งเดิมแห่งตนถูกทำร้ายถึงขั้นสาหัสหาใดเปรียบนานแล้ว
ที่ช่วยหลินสวินต่อสู้ก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพราะระยะนี้อู้เชวียหลอมแก่นพลังสมบัติอริยะไปไม่น้อย ฟื้นฟูพลังดั้งเดิมได้เสี้ยวหนึ่งแล้ว
แต่พลังดั้งเดิมเสี้ยวหนึ่งนี้ก็ถูกทำลายในการต่อสู้นี้ ฉะนั้นต่อให้อู้เชวียไม่เอ่ยถึง หลินสวินก็จะช่วยเขาฟื้นฟูอยู่แล้ว
วู้ม…
หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง โยนสมบัติอริยะทั้งหลายที่สะสมมาได้ให้อู้เชวียทั้งหมด ส่วนตนเหลือไว้เพียงสมบัติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น
อย่างเช่นแส้อสนีหยินม่วงเส้นหนึ่ง ‘กระบี่บินท่องอัมพร’ สมบัติอริยะห้วงอากาศเล่มหนึ่ง รวมถึงสมบัติวิเศษอัศจรรย์อย่างอื่นอีกสองสามชิ้น
ความใจกว้างของหลินสวินทำให้อู้เชวียยังอึ้งไปเล็กน้อย คล้ายเหนือคาดอย่างมาก
‘นายท่านน้อย รอให้ข้าฟื้นเป็นปกติแล้ว ต้องช่วยท่านกรำศึกฟ้าดารา ฆ่าศัตรูทั่วหล้าทั้งบนล่างอย่างแน่นอน!’
อู้เชวียกล่าวเสียงเรียบ
หลินสวินยิ้มพลางตอบว่าดีคราหนึ่ง
“พี่หลิน”
อาหูในชุดกระโปรงเหลืองพลิ้วไสวเดินมาจากไกลๆ ดุจเซียนที่หลุดพ้นอย่างไรอย่างนั้น
“อาหู นี่เป็นของเจ้า ของจำพวกสมบัติอริยะข้าเก็บไว้หมดแล้ว แต่ว่าในนี้มีวัตถุดิบเทพและโอสถสมบัติที่หายากไม่น้อยเลย น่าจะมีประโยชน์ต่อเจ้า”
หลินสวินยื่นถุงเก็บของใบหนึ่งให้อาหู นี่คือส่วนหนึ่งของทรัพย์หลังศึก
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
อาหูยิ้มร่ากะพริบตาปริบๆ นางไม่ได้ปฏิเสธ ด้วยคุ้นชินกับธรรมเนียมปฏิบัติมานานแล้ว รู้ว่าหากบ่ายเบี่ยงกลับจะทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนเห็นตนเป็นคนนอก
และที่อาหูชื่นชมมากที่สุดก็เป็นจุดนี้ของหลินสวิน ตอนที่เขาปฏิบัติต่อคนของตน แต่ไรมาล้วนไม่เคยตระหนี่ใดๆ
“เจ้าดู นั่นคือแดนผนึกลับบนเขาพญามังกร”
อาหูชี้ไปยังบริเวณไกลๆ ที่นั่นถูกพยับหมอกคละคลุ้งปกคลุม แผ่กลิ่นอายลี้ลับชวนสยองออกมา
“ที่นี่ถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘เก้าแดนลับ’ ของโบราณสถานคุนหลุน ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เคยมีคนพยายามกระโจนเข้าไปในนั้นหมายรักษาชีวิต แต่แค่พริบตาก็ตายอนาถคาที่ ซากศพโครงกระดูกไม่มีเหลือ”
เนตรงามของอาหูวาววับ ยืนงามจับใจอยู่ข้างกายหลินสวิน ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำพ่นลมหายใจดุจกล้วยไม้ “นี่ก็พิสูจน์ข่าวลือได้ส่วนหนึ่งแล้ว บางทีคงมีเพียงผู้ที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปภายในนั้นได้โดยสวัสดิภาพ”
หลินสวินพยักหน้า นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
เขาสื่อจิตสื่อสารกับหยวนฝ่าเทียน ‘พี่หยวน ตอนที่พวกเจ้าปีนเขา รู้หรือไม่ว่าใครถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเข้าไปในแดนผนึกลับนี้’
‘เหมือนจะเป็นพวกหมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ’
หยวนฝ่าเทียนก็ไม่ใคร่แน่ใจเท่าไร ‘จริงสิ หลังจากเจ้าพวกนั้นจับตัวข้าและราชันเผิงน้อย ชิงป้ายคำสั่งเซียนเหินของพวกเราแล้ว เจ้าคนชื่อลู่เสวียนจีพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งเข้าไปในแดนผนึกลึกลับนั่น’
นัยน์ตาดำของหลินสวินแข็งทื่อ ‘มีเรื่องแบบนี้จริงหรือ’
‘ถูกต้อง เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง’ ราชันเผิงปีกทองน้อยก็เอ่ยปากเช่นกัน
‘ดี ข้าเข้าใจแล้ว’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ทอดมองอาหูที่อยู่ข้างกายแล้วกล่าวว่า “ดูท่า พวกเราคงต้องเข้าไปในแดนผนึกลับนี้กันสักเที่ยวแล้ว”
อาหูพยักหน้ากล่าว “สมควรอยู่”
ทั้งคู่ไม่ร่ำไร ต่างถือป้ายคำสั่งเซียนเหินพุ่งไปยังพื้นที่ที่หมอกคลุ้งตลบนั้น
ฮู้ม…
ประหนึ่งเข้าสู่กระแสน้ำขุ่นมัว หมอกหนาตลบม้วน ครอบฟ้าปิดตะวัน มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ก้าวเดินอยู่ในนั้น มีพลังผนึกที่น่าสะพรึงเต็มเปี่ยม
หลินสวินและอาหูล้วนอดขนพองสยองเกล้าไม่ได้ ในใจเกิดความรู้สึกอันตรายที่รุนแรงหาใดเปรียบ
แต่ไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง ป้ายคำสั่งเซียนเหินในมือพวกเขาแต่ละคนก็เกิดเสียง รัศมีแสงมายาเจิดจ้าพวยพุ่งออกมา แผ่ครอบเงาร่างของพวกเขาสองคนเอาไว้
วู้ม…
จากนั้นเงาร่างทั้งคู่พลันถูกเคลื่อนย้าย เลือนหายเข้าไปกลางพยับหมอกฟุ้งตลบ
“นี่คือ…”
เมื่อครรลองสายตากลับสู่ความชัดเจน อาหูอดอึ้งไปไม่ได้
นี่คือโลกที่ดุจดั่งพังครืนถล่มทลายแห่งหนึ่ง ผืนแผ่นดินแตกระแหงเป็นชิ้นๆ ลอยล่องกลางห้วงอากาศ ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ
และขณะนี้ นางกับหลินสวินล้วนยืนอยู่บนแผ่นดินที่ลอยล่องแห่งหนึ่งภายในนั้น
ทอดสายตามองสี่ทิศ กลางห้วงอากาศลมพายุพัดโบกประหนึ่งจะทำลายล้าง ปราศจากพลังชีวิต ทุกแห่งหนล้วนเป็นภาพรกร้างดุจซากปรักหักพัง
“นี่ก็คือหนึ่งในเก้าแดนลับของโบราณสถานคุนหลุนหรือ”
หลินสวินก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
เดิมเขาคิดว่าจะต้องเป็นแดนมงคลแห่งหนึ่งที่เหมือนกับแดนลับป่าท้อ ซ่อนมหาศุภโชคชั้นยอด ถึงขั้นอาจมีวาสนาที่เกี่ยวกับรากฐานบรรลุจักรพรรดิด้วยซ้ำ
ไหนเลยจะคาดคิด ว่าดันเป็นสถานที่รกร้างเสื่อมโทรมเช่นนี้!
…………………………