Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1746 มีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ ให้ถามเคลื่อนคล้อย
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1746 มีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ ให้ถามเคลื่อนคล้อย
แส้หางม้ามีชื่อว่า ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ เป็นของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหมือนเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด
ในสายตาของหลินสวิน แส้หางม้านี้ดูไปแล้วไม่มีจุดที่สะดุดตา
มันยาวสองฉื่อสี่ชุ่น โปร่งใสนุ่มนวลเหมือนทำจากหยกขาว ด้ามจับเป็นทรงบัวบาน ส่วนยอดมีไหมแส้หางม้าพลิ้วไหว ละเอียดเหมือนขนวัว แผ่ประกายแสงเร้นลับหลายสายออกมา
บางทีอาจเหมือนที่ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูกล่าวมา ด้วยสาเหตุที่สมบัตินี้ถูกทำลายอย่างหนัก จึงทำให้มันไม่มีจุดที่ดึงดูดสายตาของผู้คนแม้แต่น้อย
แต่ครู่ต่อมาเมื่อเก่ออวี้ผูสะบัดข้อมือ ไหมแส้หางม้าก็วาดขึ้น กลายเป็นรุ้งเทพหลายสายที่ราวกับโซ่มหามรรค ร้อยถักเข้าด้วยกันกลางอากาศ
เมื่อมองไปจิตวิญญาณราวตกอยู่ในมหามรรคเคลื่อนคล้อย เป็นตายไม่เที่ยงแท้ไม่อาจกำหนด!
“แม้ว่าสมบัตินี้จะเสียหายอย่างหนัก แต่ยังมีพลังต้นกำเนิดอยู่ ยังเป็นยอดสมบัติที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม”
เก่ออวี้ผูบอกเล่าความอัศจรรย์ของ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ให้หลินสวินฟัง
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ว่าตนมองผิดไปแล้ว!
แส้หางม้านี้กลายเป็นพลังผนึกอย่างหนึ่งได้เหมือนกรงมหามรรค ทำให้ผู้คนตกอยู่ในนั้น ปรวนแปรไม่แน่นอน ชีวิตไม่อาจเป็นดั่งใจ
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนก็ถูกแส้หางม้านี้กำราบ
โซ่หนึ่งพันแปดร้อยสายที่พาดอยู่บนยอดเขากักเทพสวรรค์ ความจริงแล้วก็คือลักษณ์ประหลาดที่วิวัฒน์มาจากไหมแส้หางม้าหนึ่งพันแปดร้อยเส้น
และไหมแส้หางม้าในมือหลินสวินนั้นก็เป็นพลังต้นกำเนิดของ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ของเก่ออวี้ผูกับจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนก่อนหน้านี้!
“พลังของสมบัตินี้เสียหายมากเกินไป จึงทำให้หลายปีนี้ข่งตู๋เทียนสามารถลงมือล่าผู้ฝึกปราณของโลกภายนอกได้เป็นครั้งคราว หากเป็นตอนที่ยังสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย อย่าว่าแต่เขาข่งตู๋เทียนคนเดียว ต่อให้เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารร่วมมือกันก็จะถูกกำราบอยู่ใต้แส้หางม้านี้!”
น้ำเสียงของเก่ออวี้ผูเจือความภาคภูมิ
เขาเคยเห็นอานุภาพที่แท้จริงของสมบัตินี้ด้วยตาตนเอง
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก ยามสมบูรณ์ไร้บกพร่องสามารถกำราบเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ได้! สมบัตินี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นศาสตราจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นอาจแข็งแกร่งกว่า!
เก่ออวี้ผูกล่าวกำชับ “ศิษย์น้อง สมบัตินี้เจ้าต้องรักษาไว้ให้ดี ถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่านำมันออกมาใช้ มิฉะนั้นเกรงว่าจะถูกคนจำได้จนนำภัยมาให้เจ้า”
ขณะกล่าวเขาส่ง ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ให้หลินสวิน “ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะฟื้นฟูสมบัตินี้ได้อย่างสมบูรณ์ ให้มันส่องประกายเหมือนแต่ก่อนอีกครั้ง เช่นนี้จึงจะไม่ละอายต่อชื่อของมัน”
หลินสวินพยักหน้าอย่างเคารพ
เก่ออวี้ผูเผยรอยยิ้มจากใจจริงกล่าว “อายุขัยของข้าหมดแล้ว ในช่วงสุดท้ายนี้ศิษย์น้องมีเรื่องอะไรอยากถามข้าไหม”
ในใจหลินสวินรู้สึกยากจะรับอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ ไม่มีความหวังที่จะอยู่รอดจริงหรือ”
เก่ออวี้ผูส่ายหัว
หลินสวินถอนใจยาวอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าซับซ้อน
ราชันผีเสวียนคงตายแล้ว…
ศิษย์พี่คนนั้นที่ถือครอง ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ก็เหลือมรดกตกทอดทิ้งไว้ เป็นตายไม่อาจรู้…
ยามนี้เก่ออวี้ผูก็ใกล้จะตายจากไป นี่ทำให้หลินสวินอดเคว้งคว้างไม่ได้ บนโลกนี้สุดท้ายแล้วยังมีผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลรอดชีวิตอยู่กี่คน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่
หลินสวินถามข้อสงสัยนี้กับเก่ออวี้ผู
“ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ คีรีดวงกมลของพวกเราสูญเสียผู้สืบทอดไปห้าคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตาในระดับจักรพรรดิ แบ่งเป็นศิษย์น้องสิบสี่จี้ซิว ศิษย์น้องยี่สิบหกอู่ฉาง ศิษย์น้องสามสิบเจ็ดเวินหลิว ศิษย์น้องสี่สิบเอ็ดกู้ชิงฉวี ศิษย์น้องสี่สิบสี่เสวียนหยวนจื่อ”
เก่ออวี้ผูกล่าว “สำหรับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น บ้างติดตามข้างกายท่านอาจารย์ บ้างมุ่งหน้าเดินทางไปยังส่วนลึกของวัฏจักรเมื่อนานมาแล้ว บ้างก็ไปอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา บ้างไปแสวงมรรค บ้างไปแจ้งมรรค…”
หลินสวินอดกล่าวไม่ได้ “แต่พวกเขาไม่รู้หรือว่าศิษย์พี่เก้าติดอยู่ที่นี่”
เก่ออวี้ผูเกาหัวน้อยๆ กล่าว “ปีนั้นตอนที่ข้าตัดสินใจเฝ้าอยู่ที่นี่ ก็เคยขอความเห็นชอบจากท่านอาจารย์ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น”
หลินสวินถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง
เขายังจะพูดอะไรได้อีก
ตั้งแต่ต้นเก่ออวี้ผูก็เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว สำหรับเขาความตายอาจเป็นฉากจบที่ไม่น่าเสียดายจริงๆ
“ศิษย์น้อง…”
เก่ออวี้ผูเอ่ยปาก น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมา
หลินสวินเพิ่งสังเกตเห็นว่ากำลังมีละอองแสงมากมายลอยจากตัวเก่ออวี้ผูไป ทำให้เงาร่างเขาเกือบจะว่างเปล่าเต็มที ใกล้จะหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ร่วมดื่มกับข้าอีกครั้งได้ไหม”
เก่ออวี้ผูเป็นคนที่นิสัยทึ่มทื่อลุ่มลึก แต่ในช่วงสุดท้ายนี้กลับดูองอาจและสบายๆ หาใดเปรียบ เขายกไหเหล้าขึ้นมามองหลินสวิน
หลินสวินเริ่มคัดจมูกอยู่บ้าง เขาสูดหายใจลึกก่อนยกไหเหล้าขึ้นมา
เก่ออวี้ผูหัวเราะลั่น แหงนหน้าดื่มด่ำอย่างหนำใจ
เพล้ง!
ไหสุราที่ว่างเปล่าตกสู่พื้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ร่างของเก่ออวี้ผูสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
กลางอากาศเหลือเพียงแสงสายหนึ่ง ในเงาแสงราวกับมีเงาร่างสูงตระหง่านดุจภูผาซ่อนอยู่รางๆ สาวเท้าก้าวใหญ่… ไปยังปลายทางของความว่างเปล่า!
จากนั้นแสงสายนี้ก็กลายเป็นพลังลึกลับ ไหลเข้าไปในหว่างคิ้วของหลินสวิน
‘ข้ามีวิชาหวงถิง สรรสร้างปัญจเทพ จุดตันเถียนแบ่งเป็นสามส่วน เหลืองดำเปลี่ยนกระบวนมรรค ความอัศจรรย์คงอยู่ทุกอณู แท่นมรรคเปิดประตูสวรรค์…’
ในใจหลินสวินมีวิชามรรคอัศจรรย์หนึ่งดังก้อง
ในที่สุดเสียงธรรมพวกนี้ก็ควบรวมเป็น ‘คัมภีร์มหามรรคหวงถิง’ !
บูรพาไม้เจี่ยอี่ ทักษิณไฟปิ่งติง ใจกลางดินอู้จี่ ประจิมทองเกิงซิน อุดรน้ำเหรินขุย
ด้วยเหตุนี้ ‘หวง’ (เหลือง) จึงเป็นสีกลาง ‘ถิง’ (เรือน) ประสานนอกในทั้งสี่ทิศ
สิ่งที่คัมภีร์หวงถิงอธิบายก็คือแก่นอัศจรรย์ของคำว่า ‘บนมหามรรค ข้าคือศูนย์กลาง’
นี่คือมรรคาที่เก่ออวี้ผูเสาะหา คือการหยั่งรู้และข้อสรุปที่เขามีต่อมหามรรค สรุปเป็นคัมภีร์ เหลือไว้ให้หลินสวินก่อนจากโลกนี้ไป
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินได้สติกลับมา อึ้งงันจมสู่ภวังค์ไปครู่หนึ่ง ค่อยยกไหสุราขึ้นมาดื่มเงียบๆ
กระทั่งในเวลาต่อมาหลินสวินถึงได้เข้าใจ ว่าในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปีนั้นเคยมีชายทึ่มทื่อคนหนึ่งที่มือถือขวานศึก ราวกับคนตัดฟืนในป่าเขา ฟาดฟันระดับจักรพรรดิสิบเก้าคนอย่างต่อเนื่อง อานุภาพของเขาดุจแสงส่องสะท้อนปวงสวรรค์!
ตั้งแต่นั้นมาขอแค่เป็นระดับจักรพรรดิ ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ ‘จอมจักรพรรดิหวงถิง’
เพียงแต่มีน้อยคนนักที่รู้ว่าจอมจักรพรรดิหวงถิงมาจากคีรีดวงกมล เป็นศิษย์อันดับที่เก้านามว่าเก่ออวี้ผู!
…
ครืน…
พร้อมๆ กับเสียงอึกทึกสนั่นหู ยอดเขากักเทพสวรรค์ที่สูงใหญ่ตั้งชันนั้นพังทลายดังสนั่น กลายเป็นฝุ่นลอยล่องทั่วฟ้า
หลินสวินและอาหูยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกไป สีหน้าล้วนซับซ้อนยิ่งนัก
ภายใต้ภูเขาอวมงคลลูกหนึ่งที่ทำให้ผู้ฝึกปราณหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง กลับซ่อนเงื่อนงำและเบื้องหลังที่สะเทือนใต้หล้าไว้
ผู้สืบทอดอันดับที่เก้าแห่งคีรีดวงกมลเก่ออวี้ผู ผู้นำเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ข่งตู๋เทียน…
ทั้งสองคนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่เหมือนยอดผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับสู้กันมาถึงวันนี้เพราะศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ!
สุดท้ายข่งตู๋เทียนถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด ไม่เกินสิบปีจะถูกแปรสภาพหายไปอย่างสมบูรณ์
ส่วนเก่ออวี้ผูได้สลายหายไปในวันนี้
ชายตัดฟืนวัยกลางคนที่นิสัยเรียบง่ายและทึ่มทื่อคนนี้ ก่อนลาจากได้ร่ำสุราพูดคุยกับศิษย์น้องเล็กอย่างหลินสวิน ราวกับศิษย์พี่ที่จริงใจเข้าถึงง่ายคนหนึ่ง
เขามอบ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ให้หลินสวิน ชี้แนะหลินสวินว่าให้เก็บขนปีกห้าสีของข่งตู๋เทียนที่เหลือทิ้งไว้หลังตาย…
ถึงขั้นที่ว่าก่อนตายจากไป ก็ยังไม่ลืมถ่ายทอด ‘คัมภีร์มหามรรคหวงถิง’ ที่เขาสรุปได้จากการฝึกปราณทั้งชีวิตให้แก่หลินสวินด้วย
ในใจหลินสวินพลันเจ็บปวด ทุกข์ใจอย่างบอกไม่ถูก
ศิษย์พี่เก้าไม่องอาจ ไม่งามสง่า ไม่โดดเด่น ไม่ฉลาดเฉลียว…
เขาเรียบง่ายเหมือนต้นไม้ หนักแน่นเหมือนก้อนหิน แต่เมื่อได้รู้จักเขากลับรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย ถึงขั้นลืมไปว่าเขาเป็นบุคคลน่ากลัวคนหนึ่งที่เคยทรงอำนาจในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ
เขาบอกว่าเขาเป็นแค่คนตัดฟืน เป็นคนที่โง่เขลาที่สุดในหมู่ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังพูดว่าเขาเป็นท่อนไม้บื้อ
แต่ในใจหลินสวิน ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูคือคนที่น่าเลื่อมใสที่สุด! เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่สูงตระหง่านโดดเด่นดั่งภูเขา ควรค่าแก่การนับถือ!
เขาสูดหายใจลึก ควบคุมความรู้สึกที่ซัดโหมในใจอย่างเต็มที่ แววตาหลินสวินเด็ดเดี่ยว พึมพำในใจ
‘ศิษย์พี่ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวัน ข้าจะสืบข่าวเบื้องหลังของศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ล้างแค้นให้ท่าน ถึงตอนนั้นข้าจะมาดื่มเหล้ากับท่านอีกครั้ง…’
หลินสวินไม่มีทางลืม เก่ออวี้ผูเคยกล่าวอย่างเดือดดาลหาใดเปรียบว่า หากไม่ใช่เพราะมี ‘จอมมุนีฟ่านเทียน’ คอยช่วยในที่ลับ เขาคงฆ่าข่งตู๋เทียนได้นานแล้ว
และไม่มีทางลืมว่าเพราะฆ่าข่งตู๋เทียนไม่ได้ เก่ออวี้ผูจึงรู้สึกผิดมาตลอด โทษตัวเองมาถึงวันนี้!
‘จอมมุนีฟ่านเทียน ข่งตู๋เทียน…’
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น จดจำขึ้นใจแล้ว
“พี่หลิน”
อาหูที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปาก
“หืม?”
หลินสวินหันกลับไปมอง
“คนตายจากไปแล้ว”
“อืม”
หลินสวินผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นัยน์ตาดำฉายแววเยียบเย็น กล่าวว่า “อาหู เจ้าว่าหากเมิ่งอี้เห็นข้ายังรอดชีวิต จะทำท่าเหมือนเห็นผีหรือไม่”
อาหูชะงักไป มุมปากแดงอวบอิ่มโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่อยู่ “เช่นนั้นพวกเราก็ไปเจอ ‘เพื่อนสนิท’ คนนี้กันหน่อยไหม”
“ดีเลย”
หลินสวินยิ้มพลางตกปากรับคำ
คิ้วของอาหูพลันเลิกขึ้นกล่าว “แต่พวกเราควรไปทางไหนดี”
ในใจหลินสวินมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้
‘มีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ ให้ถามเคลื่อนคล้อย’
เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว ศิษย์พี่เก้า?
เพียงแต่เสาะหาทั่วฟ้าดิน ค้นหาทั้งนอกและในร่างก็ไม่เจอกลิ่นอายของเก่ออวี้ผูแม้แต่เสี้ยว ทำเอาหลินสวินทอดถอนใจ
คิดไปคิดมาเขาจึงนำ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ออกมา
“แท่นสักการะ?”
หลินสวินกล่าวกับตัวเอง
วู้ม…
ไหมแส้หางม้าตวัดขึ้น ชี้ไปยังจุดที่ห่างออกไปดั่งลมวสันต์ที่นุ่มนวล
หลินสวินยิ้มแล้ว มือลูบแส้หางม้าที่นุ่มนวลประหนึ่งหยก พึมพำในใจ ‘ศิษย์พี่เก้า ภายหน้าถ้าใครบอกว่าท่านโง่อีก ข้าจะอัดเขาแน่นอน…’
เขาคาดเดาไว้แล้ว นี่ต้องเป็นหมากตาท้ายที่ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูเตรียมไว้ให้เขาอย่างแน่นอน!
ยามที่ตนยังไม่ได้คิดว่าควรเดินทางไปยัง ‘แท่นสักการะ’ ในแดนผนึกนี้อย่างไร ศิษย์พี่เขาก็เตรียมการไว้ให้ตนเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว
“อาหู ไป!”
หลินสวินไม่ลังเลอีก ก้าวไปข้างหน้า ชุดสีขาวพระจันทร์สะบัดโบก เงาร่างสูงตระหง่านงามสง่าดั่งเซียนสวรรค์
อาหูยิ้มพลางไล่ตามไป
นางสังเกตเห็นอย่างฉับไวว่าหลินสวินเหมือนดีใจขึ้นมากะทันหัน
ห่างออกไป เงาร่างของทั้งสองคนหายไปจากฟ้าดินที่มืดสลัวไร้ขอบเขต
บนซากปรักหักพังของยอดเขากักเทพสวรรค์หลังจากพังทลาย เงาร่างที่เหมือนว่างเปล่าร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ใส่เสื้อฟางกันฝน สวมหมวกไม้ไผ่ราวกับคนตัดฟืน
เขามองไปยังทิศทางที่หลินสวินและอาหูจากไป เกาหัวเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
“มีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ ให้ถามเคลื่อนคล้อย… ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องจำไว้นะ”
เงาร่างที่เหมือนว่างเปล่านี้ค่อยๆ หายลับจากไปทีละน้อย
…………………….