Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1760 จักรวาลฟ้าดารา เร้นลับดุจมืดมน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1760 จักรวาลฟ้าดารา เร้นลับดุจมืดมน
จุดเปลี่ยนสักการะ!
ทุกคนในที่นี้มองออกตั้งแต่จังหวะแรก จวนอวี๋เหิงหยั่งถึงจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งของมหามรรคจักรวาลนั่น มีโอกาสสักการะอริยมรรคแล้ว
วู้ม!
ส่วนลึกจักรวาลกว้างไพศาล ดาวดวงหนึ่งภายในนั้นส่องแสงสว่างจ้า แสงสีทองที่ร่วงโปรยลงมาปิดครอบจวนอวี๋เหิง
เขาสาวเท้าเดินไปทางแท่นมรรคห้าสีที่อยู่ไกลๆ เงาร่าสว่างไสว พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ
สุดท้าย เขาปีนขึ้นแท่นมรรค ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายทั้งตัวคนล้วนเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์และคลุมเครืออย่างหนึ่ง
ตูม!
ช่วงท้าย ดาวงดาวที่ส่องแสงสว่างจ้าดวงนั้นถึงกับหลอมเป็นแสงสีทองที่ขุ่นหนาดุจน้ำตก ร่วงโปรยลงมา ถูกจวนอวี๋เหิงดูดซับหมดจด
และในเวลาเดียวกันนี้ เสียงธรรมเป็นระลอกๆ ดังก้องขึ้น ห้วงอากาศเหนือจวนอวี๋เหิง มี “ลักษณ์แห่งสรรพชีวิต” ปรากฏขึ้นมารำไร ไพศาลไร้ขอบเขต
ส่วนจวนอวี๋เหิงก็เหมือนนายเหนือหัว กำลังรับความศรัทธาและสักการะจากสรรพชีวิต
“ใช้แรงปรารถนาสรรพชีวิตสักการะ!”
หลินสวินและคนอื่นๆ ไม่มีใครไม่ใจสั่นสะท้าน บ้างก็อิจฉาชื่นชม บ้างก็ร้องอุทาน และบ้างก็คล้ายผิดหวังอยู่บ้าง แตกต่างกันออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลักษณ์ประหลาดทั้งหมดล้วนหายไป
และบนแท่นบูชาห้าสีก็ปรากฏศิลาสีดำเก่าแก่อันหนึ่ง คละคลุ้งด้วยแสงมรรคเป็นสายๆ มีไอแรกกำเนิดห้อมล้อม
ศิลามรรคสักการะ!
มีเพียงพวกสักการะเป็นอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะสามารถครองศิลามรรคที่เป็นของตน สลักชื่อและเจตจำนงของตนไว้บนนั้นได้
ศิลานี้จะดำรงอยู่บนฟ้าสูงเก้าพันจั้งบนแท่นสักการะชั่วนิรันดร์ ได้รับโชควาสนาจากเบื้องบนช่วยส่งเสริม!
ชั่วขณะเดียว ทุกคนในที่นี้ล้วนอดร้อนรนเล็กน้อยไม่ได้
บนทางเดินโบราณฟ้าดาราลือกันอยู่ตลอด ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามสามารถรอดชีวิตออกจากแหล่งสถานคุนหลุนได้ ในกาลเวลาภายหน้า เพียงพอจะมีโอกาสแจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิได้!
อย่าเห็นว่าเป็นเพียงโอกาสหนึ่งเท่านั้น ทว่าล้วนเพียงพอจะทำให้บุคคลกึ่งจักรพรรดิและระดับจักรพรรดิครึ่งก้าวนับไม่ถ้วนบ้าคลั่งได้!
และโอกาสนี้ สิ่งที่อ้างถึงก็คือได้รับพลังโชควาสนาเวิ้งฟ้าจากศิลามรรคสักการะบนแท่นสักการะนี้
บนแท่นมรรคห้าสี หลังจากจวนอวี๋เหิงใช้พลังเจตจำนงแห่งตน สลักชื่อของตนลงบนศิลามรรคแผ่นนั้นแล้ว
พร้อมกับแสงประกายเสียดฟ้าระลอกหนึ่ง ศิลามรรคสักการะแผ่นนี้พุ่งเหินขึ้นฟ้า ค่อยๆ ทะยานขึ้นสูงฟ้าสูง
หนึ่งพันจั้ง
สองพันจั้ง
สามพันจั้ง
…จนกระทั่งไปถึงบริเวณเจ็ดพันจั้ง ศิลามรรคสักการะแผ่นนี้จึงหยุดลงทันควัน ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ถูกแสงดาราแผ่ครอบ
“ความสูงเจ็ดพันจั้ง สุดยอด!”
มีคนร้องอุทาน
หลินสวินอึ้งไป ก็ได้ยินอาหูรีบสื่อจิตอยู่ข้างๆ
‘ตำแหน่งของศิลามรรคสักการะยิ่งสูง หมายความว่าหลังจากสักการะเป็นอริยบุคคล การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็ยิ่งแกร่ง พลังโชควาสนาเวิ้งฟ้าที่ได้รับก็ยิ่งมาก’
‘ศิลามรรคสักการะของจวนอวี๋เหิงสามารถลอยเด่นอยู่ระดับความสูงเจ็ดพันจั้งได้ ไม่ธรรมดายิ่งจริงๆ’
คราวนี้หลินสวินเข้าใจบ้างแล้ว
ในภาพเบื้องหน้าของเขา ฟ้าสูงบนแท่นสักการะ มีศิลามรรคสักการะแออัดขนัดแน่นแผ่ลอยอยู่ บ้างก็เจิดจรัสสว่างไสว ดุจดั่งดวงดารา บ้างก็มืดสลัวดั่งอุกกาบาต
หนำซ้ำ ระดับความสูงของศิลามรรคสักการะเหล่านี้ ก็ไม่เหมือนกันจริงๆ
บริเวณใกล้เคียงระยะสามพันจั้ง ศิลามรรคสักการะที่กระจายอยู่มากที่สุด จำนวนเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกายแสงมืดสลัว ดุจดั่งอุกกาบาตอย่างไรอย่างนั้น
บริเวณใกล้เคียงระยะหกพันจั้ง เมื่อเทียบกันแล้วเริ่มน้อยลงบ้าง ด้วยจิตรับรู้ของหลินสวิน กวาดสำรวจเบาๆ ก็ชี้ขาดได้อย่างแม่นยำ ที่นั่นมีศิลามรรคเจ็ดร้อยเก้าสิบแปดแผ่น
ตอนนี้ ศิลามรรคสักการะของจวนอวี๋เหิงก็ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ด้วยเช่นกัน ซ้ำยังตำแหน่งล้ำหน้ามาก
บริเวณใกล้เคียงระยะเก้าพันจั้ง ปริมาณเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ มีศิลามรรคสักการะเพียงสี่สิบเก้าแผ่น ซ้ำส่วนใหญ่ก็อยู่ใต้ระดับเก้าพันจั้ง เหนือแปดพันจั้ง
มีเพียงศิลามรรคเพียงแค่สามแผ่นเท่านั้น ที่พอจะเรียกได้ว่าบรรลุถึงพื้นที่เก้าพันจั้ง
ศิลามรรคในพื้นที่แถบนี้ แต่ละแผ่นส่องสว่างโชติช่วง สว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาว ลักษณ์ไพศาล หาใช่ของธรรมดาทั่วไปจะเทียบชั้นได้
จำนวนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยสักการะเป็นอริยบุคคลบนแท่นสักการะในกาลเวลาจากอดีตสืบมาเหลือทิ้งไว้!
ในใจหลินสวินรู้สึกแปลกไปเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ มกุฎมหาอริยะสิบอันดับแรกบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราอย่างจวนอวี๋เหิง แต่ศิลามรรคสักการะของเขากลับลอยหยุดอยู่ที่ระดับความสูงเจ็ดพันจั้งเท่านั้น
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ศิลามรรคสักการะที่อยู่เหนือกว่าจวนอวี๋เหิงเหล่านั้น จะเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งน่าสะพรึงปานใดเหลือทิ้งไว้กันแน่
“น่าเสียดาย…”
บนแท่นมรรคห้าสี จวนอวี๋เหิงปรนลมหายใจเฮือกหนึ่ง
สำหรับคนอื่นแล้ว สามารถสักการะอริยมรรค ทำให้ศิลามรรคดำรงอยู่คงนิรันดร์ในที่แห่งนี้ได้ ก็เป็นศุภโชคเหนือสุดที่น่าทึ่งแล้ว
แต่เห็นได้ชัดยิ่ง จวนอวี๋เหิงกลับไม่พอใจอยู่บ้าง
เขาส่ายหน้าเบาๆ หันตัวเดินลงจากแท่นบูชาห้าสี
และในขณะนี้ หลินสวินสัมผัสได้ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายรอบตัวจวนอวี๋เหิง ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ล้วนเจืออานุภาพอย่างหนึ่ง
ดุจดั่งบุคคลแนวหน้าอริยมรรค กลิ่นอายเปี่ยมด้วยอานุภาพขึงขัง!
นี่คือท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของอริยบุคคล แตกต่างจากอริยะ ‘พบอริยุคคลให้เอาอย่าง’ ที่เรียกกัน กลายเป็นอริยบุคคล เทียบเท่ากับมีรากฐานพลังกลายเป็นมกุฎราชันอริยะแล้ว!
ดวงตาทุกคนหรี่ลง และต่างก็เผยสีหน้าแปลกไป
จวนอวี๋เหิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาสุ่มหาสถานที่หนึ่ง หย่อนตัวนั่งขัดสมาธิ คล้ายจะสงบจิตหนั่งถึงการเปลี่ยนแปลงรอบกาย
นี่ทำให้คนไม่น้อยต่างลอบถอนหายใจโล่งอก
ในกาลเวลาที่ผ่านมา เคยมีเรื่องที่หลังจากบุคคลชั้นเลิศสักการะเป็นอริยบุคคลแล้ว ก็ออกมือขัดขวางคนอื่นไม่ให้ช่วงชิงศุภโชค ซ้ำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว!
แต่ละครั้ง ต่างนองเลือดไม่หยุด บาดเจ็บล้มตายชวนตกใจ
ยังดี จวนอวี๋เหิงไม่ได้ทำเช่นนี้
ในเวลาถัดมา ไม่ว่าจะเป็นพวกฮว่าซิงหลี ถังซู หรือหลินสวินกับอาหูสองคน ต่างสลัดความคิดฟุ้งซ่าน เริ่มตั้งจิตไปสัมผัส
จักรวาลไพศาล เงียบเชียบ มโหฬาร มีดวงดาวนับร้อยล้านส่องประกายอยู่ในนั้น และมีพลังแก่นแท้มหามรรคปวงสวรรค์ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น
ขอเพียงแค่จับทางถึงจุดเปลี่ยนเสี้ยวหนึ่งภายในมหามรรคปวงสวรรค์นั่นได้ ก็จะเป็นเหมือนกับจวนอวี๋เหิง สักการะเป็นอริยบุคคลในคราวเดียว!
เวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิด
วู้ม!
ระลอกคลื่นมหามรรคอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง ดวงดาวหนึ่งกลางจักรวาลเวิ้งฟ้าส่องแสงสว่างจ้า ร่วงโปรยช่อแสงสีชาดสายหนึ่งลงมา อาบชโลมชายผอมแห้งที่สวมเกราะสีเขียวคนหนึ่งไว้ภายในนั้น
“เนี่ยเจี้ยนเฉิน! เป็นเขาได้อย่างไร…”
มีคนประหลาดใจ คล้ายคิดไม่ถึงว่าชายผอมแห้งคนนี้จะเป็นคนที่สองที่หยั่งถึงจุดเปลี่ยนเสี้ยวหนึ่ง
เช่นเดียวกับจวนอวี๋เหิง เนี่ยเจี้ยนเฉินก้าวขึ้นแท่นมรรคห้าสีทีละก้าว พลังปราณรอบกายก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ห้วงอากาศเหนือศีรษะเขาก็ปรากฏ ‘ลักษณ์แห่งสรรพชีวิต’ ขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
นี่ยืนยันว่าเขาเองก็หยิบยืม ‘แรงปรารถนาสรรพชีวิต’ ในการสักการะ
จากนั้น ศิลามรรคสักการะแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น ตอนที่เนี่ยเจี้ยนเฉินฝากชื่อไว้บนนั้น จวนอวี๋เหิงที่นั่งขัดสมาธือยู่บริเวณไกลๆ ก็ลืมตาขึ้น
เพียงแต่ตอนที่มองเห็นศิลามรรคสักการะของเนี่ยเจี้ยนเฉิน ลอยขึ้นเพียงระดับความสูงแค่ห้าพันจั้ง จวนอวี๋เหิงก็หลับตาลงอีกครั้ง
แม้จะเป็นเช่นนี้ เนี่ยเจี้ยนเฉินก็ปลื้มใจไม่หายแล้ว สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ ลงจากแท่นมรรคห้าสี กวาดมองรอบสี่ทิศ สุดท้ายก็เป็นเหมือนกับจวนอวี๋เหิง เลือกพื้นที่จุดหนึ่ง สงบจิตนั่งสมาธิ
ทุกคนสีหน้าแปลกไป สภาพอารมณ์ก็แตกต่างกันออกไป
…
มีเพียงหลินสวิน ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด เขาตั้งจิตหยั่งสัมผัส จิตรับรู้ดุจดั่งบินขึ้นมา เหินไปทางฟ้าสูง บินไปทางส่วนลึกของจักรวาล…
ความรู้สึกเวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูกวูบหนึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
จักรวาลเวิ้งว้าง ความใหญ่ปานใด ดุจดั่งไร้ขอบเขตไร้จุดจบ ตัวอยู่ภายในนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเล็กจ้อย สับสนเป็นิเศษ
ไม่รู้ว่าที่ไหนคือหนทางเบื้องหน้า และไม่รู้ว่าที่ไหนคือเส้นทางวกกลับ!
ค่อยเป็นค่อยไป จิตรับรู้หลินสวินยิ่งบินยิ่งลึก เริ่มไกลออกไปทุกที สิ่งที่พบเห็นตลอดทาง เต็มไปด้วยดวงดาวเวิ้งว้าง วัฏจักรว่างเปล่าเงียบงัน…
วู้ม!
หลินสวินไม่ได้สัมผัสถึงแต่อย่างใด บนตัวของเขา ก้อนทองแดงสีดำสนิทที่ ‘เตามารดาหลอมสมบัติ’ เหลือทิ้งไว้ก้อนนั้น เจือระลอกคลื่นคลุมเครือวูบหนึ่งขึ้นเงียบๆ
และพร้อมกันนั้น ในจิตรับรู้ของหลินสวิน แตะสัมผัสถึงพิกัดวัฏจักรว่างเปล่าที่เดือดพล่าน แสบตา ดุจดั่งหินหนืดพลิกตลบ กลายเป็นวังน้ำวนเปลวเพลิงขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง
ยักษ์ที่สูงหมื่นจั้ง อยู่ตรงหน้าวังน้ำวนเปลวเพลิงแห่งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวกที่เล็กจ้อย มันใหญ่เกินไปแล้ว เหมือนถ้ำมืดมหึมากลางเวิ้งจักรวาล เพียงแต่กลับไหลเวียนด้วยเปลวเพลิงน่าสะพรึง
ดวงดาวที่อยู่แถววังน้ำวันเปลวเพลิงล้วนดุจดั่งกำลังลุกโหม แดงชาดหาใดเปรียบ สาดพรมเพลิงเทพกระแสไฟโหมกระหน่ำออกมา
ชั่วอึดใจ จิตรับรู้ของหลินสวินเจ็บปวดหาใดเปรียบ
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีพลังพยั่งรู้อันคลุมเครือและลึกลับทะลักสู่กลางใจ…
แหล่งกำเนิดมรรคหลอมสมบัติ!
สถานที่ต้นกำเนิดมหามรรคที่ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงหลอมสมบัติเกือบหมื่นชนิดทั่วหล้าบนล่างแห่งหนึ่ง
เตามารดาหลอมสมบัติที่เคยกลั่นหลอมศาสตราจักรพรรดิออกมาเก้าชิ้น ก็ถือกำเนิดจากวังน้ำวนเปลวเพลิงที่ถูกเรียกว่า ‘แหล่งกำเนิดมรรคหลอมสมบัติ’!
ในใจหลินสวินผุดคลื่นระลอกหนึ่ง
เขาคิดไม่ถึงสักนิดว่าตอนที่หยั่งสัมผัสจุดเปลี่ยนสักการะนี้ ถึงกับยังสามารถสอดส่องความลับตะลึงโลกเช่นนี้ได้อีกด้วย!
จนกระทั่งสภาพจิตใจกลับสู่ความสงบ จิตรับรู้ของหลินสวินเริ่มโฉบพุ่งไปยังส่วนลึกเวิ้งจักรวาลต่อ ตลอดเส้นทางนี้ เขาเคยหยั่งสัมผัสหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
แต่ว่า สภาวะจิตของเขากลับเยือกเย็นและผ่องแผ้วถึงขีดสุด
เพราะแต่เดิมเขาก็ไม่ได้มีความคิดจะคว้าให้ได้อะไรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะหยิบยืมแรงปรารถนาสรรพชีวิตสักการะ หรืออาศัยแรงปรารถนามหามรรคสักการะ สำหรับเขาไม่ใช่ปัญหาตั้งนานแล้ว
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จิตรับรู้ของหลินสวินลอยห่างออกไปไม่รู้กี่มากน้อย เจาะลึก สัมผัสไม่หยุดหย่อนอยู่ท่ามกลางจักรวาลเวิ้งว้าง ทำให้จิตวิญญาณของเขาอดเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาไม่ได้
“มหาอริยะ ใหญ่และไร้ขอบเขต แต่อยู่ต่อหน้าจักรวาลไพศาลฝ่ายนี้…กลับเห็นได้ชัดว่าเล็กจ้อยเกินไปแล้ว…”
ในใจหลินสวินล้นทะลักความเปลี่ยวว้างอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา ทะเลดาราเวิ้งว้าง วัฏจักรว่างเปล่าไร้สิ้นสุด ดุจดั่งเดินอยู่คนเดียวลำพัง สี่ทิศเงียบสงัด ทำให้ผู้คนกดดัน ทำอะไรไม่ได้ และท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก
ค่อยเป็นค่อยไป จิตสำนึกของเขาล้วนเหมือนจะหลอมละลาย หลงทางอยู่กลางจักรวาลที่ไร้ขอบเขตไร้สิ้นสุดนั่น
ไม่สิ!
ทันใดนั้น สภาวะจิตของหลินสวินเกิดความระวังตัวโดยสัญชาตญาณ
จิตรับรู้ที่กำลังแผ่กว้างอยู่ในส่วนลึกของจักรวาลก็ชะงักกึกโดยพลันเช่นกัน จักรวาลเวิ้งว้าง แม้จะลึกเข้าไปไม่หยุด แต่เมื่อไหร่จะถึงสุดปลายทาง
ทว่าหากไม่เจาะลึกเข้าไป แล้วจะสัมผัสถึงโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในจักรวาลฝ่ายนี้ได้อย่างไรกัน
เดิมที หลินสวินเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ไม่ได้เรียกร้องอะไรต่อเรื่องนี้ แต่เมื่อเริ่มสัมผัสอย่างแท้จริง จิตรับรู้สัมผัสถึงส่วนลึกของจักรวาลแถบนี้แล้ว จะละทิ้งทั้งอย่างนี้ เขากลับไม่เต็มใจ
เช่นนั้นก็…
ลองดูอีกครั้ง!
หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง จิตรับรู้แผ่สัมผัสไปทางส่วนลึกของจักรวาลต่อไป
ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว กดดัน ทำอะไรไม่ถูก ท้อแท้อันแสนคุ้นเคยเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เพียงแต่ หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป
จิตรับรู้ของเขาดุจจันทร์เพ็ญทะเลมรกต แสงจันทร์สะท้อนกลางบ่อ ไม่ได้รับอิทธิพลจากเงาเมฆแสงฟ้าอีกต่อไป
ค่อยเป็นค่อยไป จิตสำนึกของเขาปรากฏความว่างเปล่าอย่างหนึ่ง ไม่สะเปะสะปะและหลงทาง แต่เป็นความรู้สึกลืมตัวตนโดยสิ้นเชิงหลังจากจิตใจฟุ้งซ่าน
และไม่รู้นานเท่าใด เสียงที่เหมือนระฆังย่ำรุ่งกลองสายัณห์สายหนึ่งกำลังดังก้องอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขา คล้ายมีแต่ไม่มี เบาหวิวไร้อัตตา
และในจิตรับรู้ของหลินสวิน ราวกับสัมผัสสายฟ้า ซ้ำยังเหมือนถูกกระบองฟาดกลางหัว เกิดการหยั่งถึงสุดวิเศษอัศจรรย์อย่างหนึ่ง!
——