Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1792 เล่ห์ใจคน
อาจารย์โม่ก้าวเข้ามา เขาดูอดรนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
“สหายยุทธ์ ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”
ม้วนหยกอยู่ในมือของหูหมิง แต่อาจารย์โม่กลับเหลือบสายตามองไปทางหลินสวิน ประสานมือกล่าว ท่าทางถ่อมตัวเป็นอย่างยิ่ง
“ได้”
หลินสวินพยักหน้า
เขาก็สังเกตเห็นอวี่อวิ๋นเจิงและหลันไฉ่อีเช่นกัน นัยน์ตาดำวาบประกายเย็นเยียบ
ฮู่ว…
อาจารย์โม่สูดหายใจเข้าลึกๆ รับม้วนหยกจากมือหูหมิงแล้วแผ่จิตรับรู้เข้าไปข้างใน
ทุกคนในที่นั้นต่างกลั้นหายใจจดจ่อ
อาจารย์โม่ หนึ่งใน ‘สี่ยอดปฐมาจารย์สลักลายมรรค’ แห่งโลกต้าอวี่ ผู้อาวุโสอันดับแนวหน้า ใครเล่าจะไม่รู้จัก
ภารกิจนี้เขาเป็นคนตั้ง ตอนนี้ภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ เขาเป็นคนที่มีสิทธิ์พูดมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
หลันไฉ่อีและอวี่อวิ๋นเจิงล้วนตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
ครู่ใหญ่ให้หลัง ทุกคนก็เห็นอาจารย์โม่ร้องเสียงหลงออกมาราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าเจือแววตื่นเต้นและเข้าใจกระจ่างอย่างยากปกปิด
ทุกคนต่างฮือฮาในชั่วขณะเดียว พลุ่งพล่านกันอย่างสมบูรณ์
คำตอบ ไม่ต้องพูดก็เข้าใจ!
แต่หลันไฉ่อีและอวี่อวิ๋นเจิงกลับใจเสีย สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง นี่… เป็นไปได้อย่างไร
กลับเห็นอาจารย์โม่สูดหายใจลึก สีหน้าถึงกับเจือความเลื่อมใสอย่างยากจะได้เห็น ทำท่าเหมือนขอคำชี้แนะ ประสานมือไปทางหลินสวินแล้วกล่าว “สหายยุทธ์ ข้าขอคำชี้แนะสักหน่อยได้หรือไม่”
“ท่านเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาหรือ”
หลินสวินเหลือบมองอวี่อวิ๋นเจิงและหลันไฉ่อีเล็กน้อย
อาจารย์โม่เผยรอยยิ้มขื่นทันที กล่าวอย่างละอายใจ “พูดตรงๆ อย่างไม่ปิดบัง ภารกิจนี้มาจากมือของข้าเอง เดิมต้องการหยั่งเชิงระดับความรู้ด้านลายมรรคของสหายยุทธ์เล็กน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะล่วงเกินสหายยุทธ์ ขอเจ้าโปรดอภัย”
เขาพูดพลางโค้งคำนับ
ทุกคนในที่นั้นต่างไหวหวั่น ตกตะลึงกันไปหมด อาจารย์โม่เป็นถึงปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า แต่ตอนนี้เขากลับก้มหัวต่อหน้าชายหนุ่มคนหนึ่งเหมือนกระทำความผิด
“อาจารย์โม่ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”
อวี่อวิ๋นเจิงลนลานแล้ว
อาจารย์โม่ส่ายหัว “เจ้าไม่เข้าใจ หลักการมีก่อนหลัง ผู้บรรลุได้ย่อมเป็นครู บนระดับความรู้ด้านลายมรรค สหายน้อยคนนี้บรรลุถึงขั้นสูงที่สามารถทำให้ข้าแหงนมองแล้ว ต่อให้ข้าต้องฝากตัวเป็นศิษย์ ขอแค่คลายข้อสงสัยในใจได้ก็ยอมทำด้วยความสมัครใจ”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็อดทอดถอนใจไม่ได้ อาจารย์โม่สมกับเป็นอาจารย์โม่ มารยาทและน้ำใจเช่นนี้จะไม่ให้คนนับถือล้วนยากนัก
หลินสวินกล่าว “หากท่านต้องการพูดคุย ประเดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้ ตอนนี้ข้าแค่อยากรู้ว่าค่าตอบแทนนี้ใครเป็นคนจ่าย”
อาจารย์โม่ยิ้มกล่าว “ข้าเป็นคนจ่ายก็ได้”
“ช้าก่อน”
หลันไฉ่อีก้าวเข้ามา “ค่าตอบแทนนี้ข้าเป็นคนแจ้ง แน่นอนว่าข้าต้องเป็นคนจ่าย หูหมิง เจ้าไปนำผลึกมรรคหนึ่งแสนชิ้นมา”
หูหมิงรีบพยักหน้ารับคำ
หอสมบัติศิลาเมฆนี้เดิมก็เป็นกิจการของสำนักปราณศิลาเมฆ หลันไฉ่อีเป็นถึงบุตรสาวของเจ้าสำนักหลันเทียนอวี๋ คำพูดของนางไม่ว่าใครก็ไม่กล้าต่อต้าน
“หึๆ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ”
อวี่อวิ๋นเหอยิ้มหยัน
ในใจเขาไม่พอใจมาก ภารกิจครั้งนี้เป็นสิ่งที่อวี่อวิ๋นเจิงลอบวางแผนไว้ แม้ว่าหลินสวินจะทำสำเร็จในท้ายที่สุด แต่กลับทำให้อวี่อวิ๋นเหอแค้นเคืองเป็นอย่างยิ่ง
“น้องหก เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
อวี่อวิ๋นเจิงตวาด สีหน้าอึมครึม
ในใจเขาก็โกรธจนแทบเป็นบ้าอยู่แล้ว เดิมคิดจะทำลายความหยิ่งทะนงของหลินสวิน อาศัยสิ่งนี้มาเคาะเตือนอวี่อวิ๋นเหอสักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าจะล้มเหลว!
“ข้าพูดอะไร”
อวี่อวิ๋นเหอระเบิดแล้ว “พี่สาม คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่าท่านมองข้าอย่างไร”
อวี่อวิ๋นเจิงเพิ่งหมายจะพูดอะไร หลันไฉ่อีก็มุ่นคิ้วกล่าว “พอแล้ว ยังทำเรื่องงามหน้าไม่พอรึ หรือพวกเจ้าสองพี่น้องอยากให้ทุกคนในที่นี้มองพวกเจ้าเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่เป็นตัวตลก”
อวี่อวิ๋นเจิงอ้ำอึ้ง
อวี่อวิ๋นเหอส่งเสียงฮึเย็นชา
แต่หลันไฉ่อีกลับมองไปทางหลินสวิน บนใบหน้าเยียบเย็นหยิ่งทะนงนั้นแย้มยิ้มกล่าว “คุณชายท่านนี้ เรื่องก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้ายินดีมอบห้าหมื่นผลึกมรรคเป็นค่าชดเชย”
ทุกคนในที่นั้นต่างส่งเสียงตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ แค่ขอโทษก็จ่ายให้ห้าหมื่นผลึกมรรค? มือเติบเสียจริง!
สิ่งที่เกินความคาดหมายกว่าคือ หลินสวินถึงกับปฏิเสธตรงๆ กล่าวราบเรียบ “ไม่จำเป็นแล้ว ข้านำไปแค่สิ่งที่ควรได้”
หลันไฉ่อีคิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ยังยิ้มกล่าว “คุณชายใจกว้างมีเมตตา ข้าเองนับถือเป็นอย่างมาก ที่นี่คนพลุกพล่าน มิสู้พวกเราไปคุยกันตามลำพังดีไหม”
หลินสวินชำเลืองมองนางคล้ายขบคิด แล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจไปยุ่งเรื่องของพวกเจ้า”
นัยน์ตากระจ่างของหลันไฉ่อีวาบประกายเย็นเยียบ โกรธแค้นอยู่ในใจ ในเมืองศิลาเมฆนี้ไม่เคยมีใครกล้าไม่ไว้หน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า
อวี่อวิ๋นเจิงเอ่ยปาก หน้าตาชั่วร้าย “สหาย ไฉ่อีแค่อยากคุยกับเจ้า ทำไมต้องไม่รักษาน้ำใจเช่นนี้ด้วย”
น้ำเสียงเจือความข่มขู่
หลินสวินอดยิ้มไม่ได้กล่าว “ข้าไม่อยากและไม่ยินยอม หากนี่เป็นการไม่รักษาน้ำใจ เช่นนั้นเจ้าก็มองเป็นไม่รักษาน้ำใจไปก็แล้วกัน”
บรรยากาศกดดันและตึงเครียดขึ้นในชั่วขณะ
ผู้เฒ่าโม่รีบออกมาไกล่เกลี่ย ยิ้มกล่าว “ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า ถอยกันคนละก้าวเป็นอย่างไร”
หลินสวินกล่าว “ได้ คิดเงินแล้วพวกเราจะไปทันที”
หูหมิงแววตาไหววูบ มองไปทางหลันไฉ่อี
หลันไฉ่อีสูดหายใจลึกกล่าว “หูหมิง หอสมบัติศิลาเมฆของพวกเราไม่มีธรรมเนียมเล่นลูกไม้ค้างบัญชี”
หูหมิงรับรู้แน่ชัดดี รีบไปเตรียมผลึกมรรคให้หลินสวิน
ไม่ทันไรหูหมิงก็กลับมา เขาส่งมอบถุงเก็บของใบหนึ่งแก่หลินสวินแล้วกล่าว “ภายในนี้มีสี่แสนสามหมื่นหกร้อยผลึกมรรค คุณชายโปรดตรวจสอบด้วย”
หลินสวินกวาดจิตรับรู้เข้าไปก่อนพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด”
จากนั้นเขาก็พาพวกอวี่อวิ๋นเหอและหนานชิวหันหลังจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหลือบมองหลันไฉ่อีและอวี่อวิ๋นเจิงอีก
“คุณชาย…”
ผู้เฒ่าโม่ร้อนรนอยู่บ้าง เขายังอยากขอคำชี้แนะจากหลินสวิน
“นี่คือเคล็ดวิชาแก้กระบวนผนึกบางส่วน ท่านนำไปดูเองเถอะ”
หลินสวินไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง โยนม้วนหยกหนึ่งออกมาตามสะดวก
ผู้เฒ่าโม่เหมือนได้ยอดสมบัติ เก็บลงไปอย่างระวัง ประสานมือไปทางเงาหลังของหลินสวินที่ค่อยๆ ห่างออกไป
…
“น่าชังนัก!”
ยังเป็นห้องหรูหราห้องนั้น อวี่อวิ๋นเจิงเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เขวี้ยงถ้วยชาในมือทิ้งจนแตกละเอียด
อวี่อวิ๋นเหอ เจ้าทึ่มทื่อที่ถูกเขาหยามเหยียดมาหลายปี ยามนี้กลับได้รับความช่วยเหลือจากปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่ง นี่ทำให้อวี่อวิ๋นเจิงไม่อาจยอมรับมาจนถึงตอนนี้
“ดูจากท่าทีของอาจารย์โม่ ความรู้ด้านลายมรรคของเจ้าหนุ่มนั่นเห็นได้ชัดว่าน่ากลัวยิ่งกว่า หากน้องหกหน้าโง่ของเจ้ามีเขาคอยช่วย ยามเข้าไปในแดนลับต้าอวี่จะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมากแน่ แต่สำหรับเจ้ากับข้า นี่กลับเป็นผลเสียอย่างยิ่ง”
หลันไฉ่อีวิเคราะห์อย่างเยือกเย็น “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าหลังการทดสอบประจำตระกูลของพวกเจ้า ถ้าอยากเป็นหัวหน้าตระกูลน้อยอย่างราบรื่น จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปที่แดนลับต้าอวี่ นำสมบัติโบราณที่ ‘จักรพรรดิอวี่’ บรรพชนของพวกเจ้าเหลือทิ้งไว้กลับมา ยามนี้น้องหกหน้าโง่คนนั้นของเจ้ามีคนผู้นั้นคอยช่วย จะต้องเกิดตัวแปรมากมายแน่”
อวี่อวิ๋นเจิงใจหดเกร็งกล่าว “ไฉ่อี เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไร”
หลันไฉ่อีกล่าวด้วยแววตาเยียบเย็น “ไม่วางยาพิษไม่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ลงมือก่อนได้เปรียบ!”
อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวเสียงหลง “เจ้า… จะให้ข้าสังหารน้องหกหรือ ไม่ได้เด็ดขาด ตระกูลของพวกเราไม่สนใจเรื่องต่อสู้กันในตระกูล แต่เมื่อฆ่าฟันกันเองจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเหี้ยมโหด”
หลันไฉ่อีส่ายหัวกล่าว “อวิ๋นเจิง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะบอกว่าให้สังหารเจ้าหนุ่มแซ่หลินนั่น เมื่อกำจัดเขา น้องหกหน้าโง่คนนั้นของเจ้าก็เท่ากับเสียที่พึ่งทั้งหมดไป ยังจะเอาอะไรมาสู้กับเจ้าได้อีก”
อวี่อวิ๋นเจิงนัยน์ตาเป็นประกายกล่าว “แผนนี้ใช้ได้”
แต่ไม่ทันไรเขาก็มุ่นคิ้วอีก “เรื่องยุ่งยากเพียงอย่างเดียวคือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนุ่มแซ่หลินนั่นเป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ฝีมือร้ายกาจคนหนึ่ง ถ้าหาก…”
“ไม่มีถ้าหาก!”
หลันไฉ่อีเฉียบขาด “ในรัศมีหลายหมื่นลี้นี้คืออาณาเขตของสำนักปราณศิลาเมฆของข้า แค่สังหารปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนเดียวเท่านั้น ไม่นับเป็นเรื่องยากอะไร”
อวี่อวิ๋นเจิงสูดหายใจลึก กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”
“แน่นอนว่าหากแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องลงมือ นั่นย่อมดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ข้าเข้าไปพูดคุยกับเจ้าแซ่หลินนั่น ก็แค่อยากลองหยั่งเชิงตัวตนที่แท้จริงและความเป็นมาของเขา…”
หลันไฉ่อีกล่าวเสียงขรึม “แต่ข้าจะลองดูอีกครั้ง อวี่อวิ๋นเหอให้ประโยชน์เขาเท่าไหร่ ข้าจะให้เขาเท่าทวี แย่งตัวเขามาสร้างประโยชน์ให้พวกเรา”
อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มกล่าว “ไฉ่อี มีเพียงเจ้าที่พิจารณารอบคอบ”
หลันไฉ่อียิ้มหวาน นัยน์ตาพราวระยับ เสียงอ่อนหวานมีเสน่ห์ “ทั้งหมดก็เพื่อเจ้าไม่ใช่หรือ”
อวี่อวิ๋นเจิงใจเต้น อดไม่ได้ที่จะดึงตัวสาวงามตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขน ขมีขมันมือไม้อยู่ไม่สุขขึ้นมา
…
“พี่หลิน ครั้งนี้ข้าทำให้ท่านติดร่างแหอีกแล้ว”
เมื่อก้าวออกมาจากหอสมบัติศิลาเมฆ อวี่อวิ๋นเหอก็กล่าวละอายใจ
หลินสวินย้อนถาม “จะว่าไปข้าก็เป็นศัตรูของเจ้า เจ้าไม่แค้นข้าหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอสะอึก กล่าวขมขื่น “ผู้แพ้ย่อมไม่มีสิทธิ์พูด แค่พี่หลินไว้ชีวิตข้า ข้าก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”
เขายิ้มเยาะตนเอง “ตั้งแต่เด็กข้าก็ถูกมองเป็นคุณชายเจ้าสำราญ หน้าโง่ไร้ความสามารถ ไม่เอาการเอางาน แต่พวกเขาต่างไม่รู้ว่าข้าแค่ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในตระกูล จึงได้หลบเลี่ยงเรื่องพวกนี้”
“แต่ทุกอย่างใช่ว่าจะได้ดั่งใจ ด้วยบิดาของข้าเป็นผู้นำตระกูล ต่อให้ข้าทำตัวเสเพล ไม่อาวรณ์อำนาจแค่ไหน พวกเขาก็ยังมองข้าเป็นหนามยอกอก…”
น้ำเสียงต่ำลึก เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
เขาเก็บงำคำพูดพวกนี้มาหลายปีแล้ว ไม่มีใครที่เล่าให้ฟังได้
หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “นี่เจ้าอยากให้ข้าเห็นใจแล้วช่วยเจ้าหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอรีบร้อนส่ายหน้า “จะกล้าได้อย่างไร”
หลินสวินกล่าว “พาข้าไปที่ตระกูลของพวกเจ้า หากได้เจอผู้อาวุโส ‘อวี่ชิงหยาง’ ข้าอาจช่วยเจ้าพูดได้”
อวี่ชิงหยาง!
หรือก็คือบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่งที่เจิดจรัสที่สุดในหมู่บรรพชนแห่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ พลังต่อสู้เหนือล้ำมาแปดพันปี สมญา ‘จักรพรรดิดาบชิงหยาง’ !
อวี่อวิ๋นเหออดกล่าวไม่ได้ “พี่หลิน ผู้อาวุโสชิงหยางไม่มีข่าวคราวมานานแล้ว ท่าน… รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
หลินสวินกล่าวในใจ ก็อวี่ชิงหยางถูกข้าช่วยไว้ ข้ามีหรือจะไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
แต่คำพูดพวกนี้อธิบายให้อวี่อวิ๋นเหอฟังลำบาก
หลินสวินกล่าว “รอไปที่ตระกูลของพวกเจ้าแล้วก็จะรู้เอง”
อวี่อวิ๋นเหอใจกระตุกเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าในมือของหลินสวินมีป้ายคำสั่งที่ผู้อาวุโสชิงหยางพกติดตัวอยู่ ไม่แน่ว่า… อาจรู้ความลับอะไรบางอย่างที่ตนไม่รู้จริงๆ ก็ได้!
“ไปกันเถอะ วันนี้ข้าล่วงเกินพี่สามและสะใภ้สามของเจ้าแล้ว ถ้าพวกเขาเกิดแค้นจนอยากทำร้ายข้าขึ้นมา ต่อให้อยากจะจากไปก็คงไม่ราบรื่นแล้ว”
หลินสวินพูดลอยๆ แววตาพิกล
อวี่อวิ๋นเหอกล่าวอย่างเดือดดาล “พวกเขากล้าหรือ!”
หลินสวินกล่าว “เจ้ารู้ไหมว่าบนโลกนี้สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเทพผีคืออะไร”
“อะไรหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอมึนงง
“ใจคน”
หลินสวินกล่าวทิ้งไว้สองคำก่อนเดินไปข้างหน้า