Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1830 ทายาทจักรพรรดิขาว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1830 ทายาทจักรพรรดิขาว
โลกใหญ่จินเทียนมีเมืองจักรพรรดิขาวที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า ถูกจัดเป็นหนึ่งใน ‘หกเมืองโบราณใหญ่ทางเดินโบราณฟ้าดารา’
เมืองจักรพรรดิขาวสร้างอยู่บนชั้นเมฆ ตัวเมืองสร้างขึ้นจาก ‘หินหิมะวิญญาณน้ำแข็ง’ ที่มีเพียงในสมัยดึกดำบรรพ์ หินหิมะนี้สว่างกระจ่างเรียบเนียน ไอหมอกคละคลุ้ง สามารถปรากฏทิวทัศน์มหัศจรรย์อย่างเมฆน้ำแข็งโคจร หิมะหนาโปรยปปราย
เมืองนี้ตั้งอยู่บนชั้นเมฆกลางฟ้า อาบอยู่ภายใต้แสงอรุณดารา ผ่านการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลาจนมาถึงตอนนี้ เก่าแก่และสง่างาม
ในสายตาคนทั่วไปในโลกใหญ่จินเทียน เมืองจักรพรรดิขาวสามารถเรียกว่า ‘เมืองเซียน’ แห่งหนึ่งโดยสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ในตำนานเล่ากันว่ามีแต่เทพเซียนจึงจะสามารถมาเยือนได้
และในสายตาของผู้ฝึกปราณ เมืองจักรพรรดิขาวราวกับสถานที่พบอริยะ เป็นเมืองแห่งการฝึกปราณที่เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
รวบรวมของล้ำค่าทั่วทิศ เก็บรวมสมบัติทั่วสี่สมุทร!
หลินสวินและหลิ่วชิงเยียนตัดสินใจจะไปดูเมืองนี้สักหน่อย ชื่นชมเมืองโบราณที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนี้
ใครจะคิดว่าเพิ่งเปิดประตูเรือนออก ก็เห็นผู้แข็งแกร่งหอเสียงสวรรค์กลุ่มหนึ่งปิดล้อมอยู่ตรงนั้นแล้ว
ผู้นำคือผู้อาวุโสระดับมกุฎราชันอริยะที่นามว่าอวี๋จวิ้น ที่เหลือคือราชันอริยะสามคนและศิษย์ระดับมกุฎมหาอริยะกลุ่มหนึ่ง
ในนั้นก็มีจั่นปิ่งที่เคยบอกว่าหลินสวินขี้ขลาด ตอนนั้นเคยมาท้าทายถึงที่ ไม่คิดว่าหลินสวินกลับไม่ตกหลุมพราง ไม่ได้สนใจเขา
“ศิษย์น้องชิงเยียน พวกเราได้รับคำสั่งว่าไม่อนุญาตให้เจ้าไปโลกใหญ่จินเทียนเป็นการส่วนตัว ในสามวันนี้ให้เจ้าอยู่ในเรือนเท่านั้น”
คนพูดคือจั่นปิ่ง เขาแสร้งยิ้ม มองข้ามหลินสวินโดยตรง
“แค่ข้าออกไปข้างนอกก็ไม่อนุญาตหรือ… นี่เป็นคำสั่งของใคร”
คิ้วงามของหลิ่วชิงเยียนขมวดมุ่น ดวงหน้างดงามเผยความกรุ่นโกรธ
“ถามเยอะแยะขนาดนี้ไปทำไม เจ้ารู้ไว้เพียงว่าเพราะเจ้า ทำให้อาจารย์ลุงอวี๋จวิ้นและทุกคนต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่ จับตามองความเคลื่อนไหวของเจ้าคนเดียว เจ้าคิดว่าพวกเราไม่อยากไปโลกใหญ่จินเทียนหรือ”
จั่นปิ่งพูดอย่างเหลืออด
หลิ่วชิงเยียนกวาดสายตามองพวกอวี๋จวิ้น เห็นพวกเขาสีหน้าเย็นชา ในใจก็อดหนาวสะท้านไม่ได้ นี่ก็คือผู้อาวุโสร่วมสำนักของนางหรือ!
“อ้อ ยังมีสวะอย่างเจ้าด้วย รู้ความหน่อยจะดีที่สุด อยู่กับศิษย์น้องชิงเยียนในเรือนพักดีๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าหอเสียงสวรรค์ของพวกเราไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนกับตระกูลอวี่”
สายตาจั่นปิ่งเหลือบมองหลินสวินอย่างดูถูกแวบหนึ่งพร้อมกล่าวเตือน
เพี๊ยะ!
หลินสวินลงมือกะทันหัน ฝ่ามือหนึ่งสะบัดใส่หน้าจั่นปิ่ง ตบจนอีกฝ่ายเซถอยล้มดังพลั่กลงพื้น เขาส่งเสียงร้องอนาถ จมูกปากหลั่งเลือด ทั้งใบหน้าบวมแดงขึ้นมา
ทุกคนต่างผิดคาด คิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นคนไม่มีความสำคัญดันกล้าลงมือ!
โดยเฉพาะอวี๋จวิ้น สีหน้ามืดทะมนลง ราชันอริยะคนหนึ่งรังแกผู้สืบทอดสำนักตนต่อหน้าตน นี่เป็นการท้าทายอย่างที่สุด
หลิ่วชิงเยียนเบิกตาโพลง ประหลาดใจไม่น้อย
ในความทรงจำของนาง ผู้อาวุโสอวี่เสวียนคนนี้อดทนอดกลั้นและเก็บตัวมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ จึงอาละวาดขึ้นมา
และตอนนี้เอง หลินสวินเอ่ยพูดอย่างเย็นเยียบ “สวะหรือ คนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ของข้า ใช่ผู้ที่คนรุ่นหลังอย่างเจ้าจะดูหมิ่นตามอำเภอใจได้หรือ พวกเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าสิ ข้าจะดูสิว่าหอเสียงสวรรค์ของพวกเจ้าจะอธิบายกับตระกูลอวี่ของข้าอย่างไร”
ประโยคเดียวทำเอาอวี๋จวิ้นที่เดิมทีหมายจะจับกุมหลินสวินชะงักไป สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด
หากแตกหักกันจริงๆ อวี๋จวิ้นก็ไม่กลัว
สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือ หลายวันก่อนผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนเพิ่งพูดว่า ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ภายใน
หากลงมือกับอวี่เสวียน เหลียงชวนจะต้องคิดว่า การที่พวกเขาจงใจเล่นงานหลิ่วชิงเยียนก็เป็นการต่อสู้กันภายใน!
“เจ้าถึงกับกล้าตีข้าหรือ”
จั่นปิ่งลุกขึ้น ใบหน้าเดือดดาลและยากจะเชื่อเต็มประดา
เพี๊ยะ!
หลินสวินสะบัดไปอีกฝ่ามือ ตบบ้องหูดังลั่น จั่นปิ่งส่งเสียงร้องอนาถ ล้มลงพื้นและหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
จั่นปิ่งคนนี้เป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง กลับถูกตบจนหมดสติไป แค่คิดก็รู้ว่าเรี่ยวแรงที่มือของหลินสวินหนักหน่วงเพียงใด
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
อวี๋จวิ้นเดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้จะตบหน้าจั่นปิ่ง แต่กลับทำให้เขาเองยังรู้สึกเสียหน้า ราวกับถูกท้าทายต่อหน้า
ทว่าตอนที่เขากำลังจะลงมือ พลันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่ราวกับเด็กหนุ่มแฝงความเย็นเยียบและรังเกียจ
“ที่ข้าพูดไม่นับหรือ”
เหลียงชวนพูดอย่างราบเรียบ
ร่างของอวี๋จวิ้นแข็งทื่อ เอ่ยอธิบายว่า “อาจารย์ลุง ท่านน่าจะเห็นแล้ว อวี่เสวียนนี่ลงมือทำร้ายกัน ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”
“ข้าถามว่า ที่ข้าพูดไม่นับหรือ”
ความรังเกียจตรงหว่างคิ้วของเหลียงชวนยิ่งเข้มลึก เขาลุ่มหลงในการฝึกปราณ สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือการจัดการเรื่องไร้สาระเช่นนี้
อวี๋จวิ้นหน้าเปลี่ยนสีไป ครู่ใหญ่จึงก้มหน้าพูดว่า “ที่อาจารย์ลุงสั่งสอนถูกต้องแล้ว”
“หึ! หากมีครั้งหน้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เหลียงชวนหมุนตัวจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้สนใจหลิ่วชิงเยียนและหลินสวินเลย
นี่ก็เป็นการพิสูจน์ว่า การมาของเขาครั้งนี้ เพียงแค่ปกป้องคำสั่งและความตั้งใจของตนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการทวงความเป็นธรรมให้กับทั้งสอง
หลินสวินมองอยู่เงียบๆ โดยตลอด เก็บท่าทีของเหลียงชวนไว้ในสายตา
“ช่างเถอะ”
อวี๋จวิ้นสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วถอนหายใจยาว “ที่อาจารย์ลุงเหลียงชวนสั่งสอนเมื่อครู่นี้ถูกต้องแล้ว ชิงเยียน หากเจ้ากับอวี่เสวียนอยากไปโลกใหญ่จินเทียน ย่อมสามารถไปได้ พวกเราจะไม่ขวางอีก”
พูดจบเขาก็พาทุกคนและจั่นปิ่งที่หมดสติอยู่จากไป
“สำหรับเจ้า ยานลมกรดนี่เท่ากับกรงขังแห่ง ตอนนี้เป็นโอกาสจะกางปีกโบยบิน จะจากไปหรือไม่”
สายตาของหลินสวินมองไปยังหลิ่วชิงเยียน
หากหลิ่วชิงเยียนตัดสินใจจากไป เขาจะช่วยนางแน่
ที่เหนือความคาดหมายคือ หลิ่วชิงเยียนกลับส่ายหน้า หมุนตัวเดินเข้าเรือน “ผู้อาวุโส หากพวกเราไปโลกใหญ่จินเทียนจริงๆ ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพวกเขาจะต้องลงมือจับตัวข้าทันที และผู้อาวุโสท่าน… เกรงว่าจะถูกพวกเขาฆ่า”
หลินสวินยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก
……
ใต้ภูเขารับแขก
รออยู่นานก็ไม่เห็นเงาร่างของหลินสวินกับหลิ่วชิงเยียน นี่ทำให้อวี๋จวิ้นอดขมวดคิ้วไม่ได้ ใบหน้ามืดทะมึนลง
นางชั้นต่ำนั่นดันไม่ตกหลุมพรางหรือ!
อย่างที่หลิ่วชิงเยียนคาดเดา อวี๋จวิ้นไม่มีทางใจดีถึงขนาดปล่อยพวกเขาออกจากยานลมกรดโดยไม่ทำอะไร
เป้าหมายเดียวของการทำเช่นนี้ คืออยากฉวยโอกาสฆ่าหลินสวินที่โลกใหญ่จินเทียน แล้วจับกุมตัวหลิ่วชิงเยียน
“อาจารย์อา ปล่อยไปทั้งอย่างนี้หรือ”
จั่นปิ่งฟื้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ใบหน้าบวมแดงราวกับหัวหมู ไม่เหลือเค้าเดิม
“ยังจะทำอย่างไรได้อีก เจ้าจะไปลองฝีมือของผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนหรือ”
อวี๋จวิ้นพูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป
อวี๋จวิ้นลนลานขึ้นมาทันที เร่งรีบตามไป
ไม่มีอวี๋จวิ้นดูแล เขาก็ไม่มีความมั่นใจจะไปหาเรื่อง ‘อวี่เสวียน’ ที่เป็นราชันอริยะ
“คนโง่พวกนี้ก็นับว่าโชคดี หากให้พี่ชายคนนั้นไปโลกใหญ่จินเทียนจริงๆ เจ้าโง่พวกนั้นแม้แต่ตายคงยังไม่รู้ตัว…”
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านที่ฟุบบนกำแพงมองดูความครื้นเครงมาโดยตลอดลอบพึมพำกับตัว
ทันใดนั้นเขาถอนใจคร่ำครวญอีกครั้ง
“น่าเสียดายๆ เมืองจักรพรรดิขาวเชียวนะ สถานที่แห่งการแจ้งมรรคของจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ ว่ากันว่าบนกำแพงเมืองนั่นประทับ ‘ภาพจักรพรรดิขาวเคลื่อนกระบี่ตัดมรรค’ สามสิบหกภาพ ภายในซ่อนความลึกลับชั้นสูงของมรรคกระบี่ ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่…”
หญิงชราที่ยืนอยู่ในเรือนยิ้มตาหยีมองเด็กหนุ่มชุดผ้าป่าน ในใจเองก็นึกถึงเมืองจักรพรรดิขาว
เพียงแต่ความคิดของนางกับเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านไม่เหมือนกัน
จักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ เป็นบุคคลชั้นยอดที่สุดยอดมากคนหนึ่งจริงๆ ทว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ในเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนกลับไม่มีบุคคลที่สะดุดตาซึ่งสามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ได้เลย
โดยเฉพาะพวกคนรุ่นเยาว์รุ่นนี้ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกได้ว่ามีความสามารถ
สำหรับเมืองจักรพรรดิขาวแห่งนั้น…
ก็ไม่ปรากฏ ‘เจ้าเมือง’ ที่สามารถได้รับการยกย่องจากผู้คนในใต้หล้าเหมือนอย่างจักรพรรดิขาวมานานมากแล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นความเห็นของหญิงชรา
ในเขตแดนดาราจักรพรรดิขาว รวมถึงทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนยังคงยิ่งใหญ่ไม่อาจดูเบาได้
……
ไม่ได้ไปเยือนเมืองจักรพรรดิขาว ในใจหลินสวินเองก็เสียดายเล็กน้อย
ยุคดึกดำบรรพ์ เรียกได้ว่าเป็นมหายุคทองคำของการฝึกปราณ ยุคสมัยนั้นให้กำเนิดระดับจักรพรรดิที่โดดเด่นเหนืออดีตและปัจจุบันมากมาย
จักรพรรดิขาวก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมืองจักรพรรดิขาวถูกมองว่าเป็นหนึ่งในหกเมืองโบราณฟ้าดารา ทั้งยังเป็นจักรพรรดิขาวสร้างขึ้นกับมือ ที่แห่งนั้นจะไม่ธรรมดาเพียงใด
สามวันหลังจากนั้น
ผู้ฝึกปราณที่มุ่งหน้าไปยังโลกใหญ่จินเทียน ไม่ว่าเพื่อทำการค้าหรือเพียงแค่เที่ยวเล่นล้วนทยอยกลับมา
และในขณะเดียวกัน บนยานลมกรดก็มีแขกเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่ม ต้องการโดยสารยานมุ่งหน้าไปโลกใหญ่หงเหมิง
จนกระทั่งยานลมกรดออกจากโลกใหญ่จินเทียนในวันนี้ ตอนที่เคลื่อนเข้าฟ้าดาราอันกว้างใหญ่ก็มีข่าวแพร่ออกมา…
บุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ส่วนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนปรากฏตัวบนยานลมกรด โดยสารยานนี้มุ่งหน้าสู่โลกใหญ่หงเหมิงเช่นกัน!
ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งทุกคนบนยานลมกรดต่างตะลึง
เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน นั่นเป็นถึงทายาทจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์!
ว่ากันว่าเพื่อต้อนรับเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนเหล่านี้ หอเสียงสวรรค์จัดเรือนพักบนเขารับแขกไว้ชุดหนึ่งโดยเฉพาะ
ว่ากันว่าในบรรดาแขกสูงศักดิ์จากตระกูลจินเทียน มีสาวงามชั้นเลิศคนหนึ่งชื่อว่าจินเทียนเสวียนเยวี่ย ฝึกปราณมาหนึ่งร้อยแปดสิบปี ก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอริยะแล้ว ชื่ออยู่ในอันดับที่สี่สิบเก้าของ ‘กระดานราชันอริยะปวงสวรรค์’
คนผู้นี้ท่าทางสง่างาม ผิวขาวกระจ่าง ราวกับผู้กล้าหญิงแห่งสวรรค์
ว่ากันว่าแขกสูงศักดิ์เหล่านี้ของตระกูลจินเทียนจะมุ่งหน้าไปโลกใหญ่หงเหมิง เพื่อเข้าร่วม ‘งานชุมนุมถกมรรค’ ที่หกเรือนมรรคใหญ่ร่วมมือกันจัดขึ้น
ว่ากันว่า…
ข่าวต่างๆ เกี่ยวกับเหล่าแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน ในคืนนี้ผุดออกมาราวกับหน่อไม้หลังฝน ดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงถอนหายใจด้วยความตกใจมากมายนับไม่ถ้วน
นอกจากแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนเหล่านี้แล้ว คนที่ขึ้นยานในครั้งนี้ยังมีผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เพียงแต่เมื่อเทียบกับแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนแล้ว ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก
แต่กลับมีเพียงหลินสวินที่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
ในบรรดาผู้ฝึกปราณเหล่านั้น มีภิกษุที่ใส่หมอกฟาง สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ เดินเท้าเปล่าอยู่กลุ่มหนึ่ง!
กลิ่นอายบนร่างของภิกษุเหล่านี้ ทำให้หลินสวินได้กลิ่นแปลกๆ อยู่รางๆ
นั่นเป็นกลิ่นอายของผู้สืบทอด ‘แดนกษิติครรภ์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่โลกมืด!
ต่อให้พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดภิกษุสีดำ ต่อให้พวกเขาเรียกตัวเองว่ามาจากสำนักผู้บำเพ็ญธรรมที่ชื่อว่า ‘อารามหยก’ ทว่ายังคงปิดหลินสวินไม่ได้
เขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายของผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์มากเกินไปแล้วจริงๆ เขาซึ่งฝึกคัมภีร์มหาครรภ์จุติ สามารถจับกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
‘หรือลาหัวล้านแดนกษิติครรภ์เหล่านี้สังเกตเห็นร่องรอยของข้าแล้ว’
หลินสวินนั่งคิดอยู่ในเรือน สายตายิ่งลึกล้ำ